[OS] Tears of Rain (ParuMilky) | Oneshot 2015.05.31

Fanfiction

 

[PG] Penitence (YuiParu)

 

 

One Shot

 

[PG] Hypocrite (MaYuki)

Tears of Rain (ParuMilKy)

 

 

 

 

 

Hypocrite

(Mayuki)

 

 

 

ร่างเล็กบางนั่งสั่นเทิ้มอยู่บนเตียงนอนนุ่มเพียงลำพัง เสียงกรีดร้องถูกส่งผ่านออกมายังริมฝีปากสวยแม้พยายามกัดฟันข่ม เธอส่งเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความทรมาน สองมือกอบกำผ้าที่ใช้คลุมนอนจนยับยู่ยี่ เธอกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ผมยาวสวยถูกปล่อยทิ้งปรกบนใบหน้า เด็กสาวกอดกระชับตนเองแน่น เล็บบาดจิกลึกเข้าไปถึงเนื้อใน กอบกุมหน้าอกบริเวณที่มีหัวใจทำงานอยู่

 

 

 

เธอกดมันไว้ เธอกอดมันไว้ เธอร่ำไห้อย่างไม่สามารถอดกลั้น

 

 

 

เธอร้องไห้

เธอร่ำไห้

อย่างไม่มีทีท่าสิ้นสุด

 

 

 

ร่างกายหนักอึ้ง

 

 

 

ภายในอกเหมือนมีเข็มหลายเล่มกำลังทิ่มแทง เม็ดเหงื่อไหลปะปนกับน้ำตาของเธอทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอกำลังรับความเจ็บปวดที่มากขนาดไหน แขนขาชาจนลามไปถึงหน้าไม่มีท่าทีจะหยุดหย่อน หญิงสาวตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

 

 

 

เธอกลัวมากจริงๆ เธอเหมือนคนกำลังจะตาย ตายโดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือ ตายอย่างเพียงลำพังในห้องที่มืดมิดและไม่มีใครล่วงรู้ถึงความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับ

 

 

 

ร่างปวดหน่วงเสียจนต้านทานแทบไม่ไหวแม้แต่คิดที่จะลุกยังทำไม่ได้ เด็กสาวร้องไห้ออกมา

 

 

 

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เสียงนุ่มหวานปลอบประโลมคนตัวสั่น อ้อมแขนอันอบอุ่นโอบล้อมร่างที่กำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย ลมหายใจร่างบางติดขัดเล็กน้อย “ฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหน” ร่างที่สูงกว่ากล่าวเพื่อคลายความกังวลคนตัวเล็ก เธอเกลี่ยซับน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “เธอจะต้องไม่เป็นอะไร” สิ้นเสียงอีกฝ่ายยังคงหอบหายใจถี่อย่างห้ามไม่ได้แม้พยายามสะกดกลั้นลดช่วงจังหวะหายใจให้ช้าลงก็ตามแต่เสียงสะอื้นยังคงหลงเหลือให้ได้ยิน

 

 

 

“กิริน… ยูกิริน” เด็กสาวร้องเรียกหาอีกฝ่ายที่เป็นที่พักพิง

 

 

 

มักจะเป็นเสียแบบนี้การที่เธอจะมานั่งและปล่อยโฮเป็นเด็กๆ  ปวดไปทั้งร่างกาย ชาไปทุกสัดส่วน เธอเหมือนจะตาย เธอคล้ายเหมือนคนที่วิญญาณจะออกจากร่างได้ทุกเมื่อ

 

 

 

ได้แต่เฝ้าหวังภาวนาให้มันดีขึ้นเร็วๆ

ทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นนี้.. จะต้องดีขึ้น

อยากให้ทุกอย่างไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ความเหงาเป็นจริงของเธอ… ความรักเป็นจริงของเธอ… ที่เกิดไม่ใช่เรื่องจริง

 

 

 

เธอกำลังจะตาย

 

 

 

ไม่…

 

 

 

เธอกำลังจะตาย

เธอกำลังจะตาย

 

 

 

ขอร้องล่ะ…

 

 

 

หัวใจเธอเต้นเร็วคล้ายคนรัวกลอง

 

 

 

“ฉันอยู่นี่” ยูกิกล่าวพลางลูบหัวคนเด็กกว่า

 

 

 

“กลัว…” เธอพูดด้วยเสียงสั่นเทา เด็กขี้แยกอดตัวเองแน่น มองไปรอบห้องทีไรทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนี้กันนะ

 

 

 

มันเป็นภาพที่คอยย้ำเตือนเธออยู่เสมอ ภาพของความอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว

 

 

 

“ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” คนที่แก่กว่ากอดร่างเล็กอย่างอ่อนโยน

 

 

 

คนตัวเล็กพยักหน้าอย่างยากลำบาก

 

 

 

“ฮื่อ” เธอพยักหน้าอีกครั้ง เงยหน้ามองเจ้าของอ้อมกอด “อยู่ด้วยกันนะ” น้ำเสียงปนขอร้องเว้าวอน

 

 

 

“อยู่ด้วยกัน” ยูกิพูดพลางก้มลงจูบเปลือกตาอีกฝ่าย

 

 

 

“ห้ามไปไหน-“

 

 

 

“จะไม่ไปไหน” จูบจมูกแดงระเรื่อของคนขี้แย

 

 

 

“จะอยู่เคียงข้างฉัน-“

 

 

 

“จะอยู่เคียงข้างมายุ…” กุมมือคนตัวเล็ก สอดนิ้วประสานและยิ้มให้อีกฝ่าย

 

 

 

“รักฉัน-“

 

 

 

“ฉันรักมายุ- วาตานาเบะ มายุ” ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ผ่านไปอีกไกลเท่าใดก็จะอยู่เคียงข้าง ยูกิกดจูบลงบนริมฝีปากบางของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล คนตัวเล็กตอบรับมันเชื่องช้า “อยากนอนพักมั้ย?” ถามหลังจากเห็นท่าทีอีกคนที่ผ่อนคลายลง

 

 

 

“อื้ม” มายุเอนกายลงตามแรงผลักเบาๆ ของอีกฝ่าย ยูกิปัดหน้าม้าเธอออกและมอบรอยจูบแสนอบอุ่นนั่นอีกครั้งบนหน้าผากมน

 

 

 

ไม่อยากให้เธอไปไหน ยูกิ… ไม่อยากให้เธอห่างออกไป อยากให้เธอคอยอยู่ใกล้ๆ คนตัวเล็กจับแขนเสื้ออีกคนที่ทำท่าจะลุกออกจากเตียง “อยู่นะ” อีกฝ่ายหันมายิ้มกว้างอย่างเอ็นดู ยูกิพยักหน้าให้ ก่อนเอนกายตามลงข้างๆ บนเตียงกว้าง

 

 

 

มายุ เธอไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว

 

 

 

ยูกินอนหันข้างเข้าหาเด็กขี้แยเพื่อจะได้เฝ้ามองใบหน้ายามหลับของสาวร่างบาง มายุทำแบบเดียวกับเธอ ทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกันโดยไร้คำเอื้อนเอ่ยใด คนแก่กว่ากุมมือเด็กสาวพลางบีบมันไว้เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอจะอยู่ไม่ให้ห่าง แรงบีบจากคนแก่กว่าไม่เบาและไม่แรง มันอ่อนนุ่มสำหรับมายุ ซึ่งคนตัวเล็กก็ยิ้มตอบ

 

 

 

พวกเธอขออยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

 

 

 

กลิ่นหอมรวยริน

ยูกิกอดอีกฝ่ายจนทั้งคู่ผล็อยหลับ

 

 

 

รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็เดินผ่านมาถึงกลางดึก ยูกิกวาดสายตาหันมองนาฬิกาที่วางไว้บนหัวเตียง…

 

 

 

ตีสอง

ทำไมถึงตื่นมาในเวลาแบบนี้นะ

 

 

 

เธอลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกถึงมือบางของคนข้างๆ ที่รั้งเอวเธอไว้ เธอค่อยๆคลายพันธนาการนั้นออกช้าๆ และระมัดระวังให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวตื่น เธอเดินย่องเข้าครัวไปหวังหาน้ำดื่มเย็นๆ แต่เพียงไม่กี่นาทีที่เดินก้าวเดินออกมา เสียงใสที่ขดตัวนอนอยู่บนเตียงก็ร้องเรียกหาเธอจนเธอต้องรีบเดินกลับไปเพื่อเฝ้าดูเด็กที่แสนออดอ้อนแต่เมื่อลองมองดูดีๆ คนตัวเล็กไม่ได้ตื่นแต่อย่างใด เห็นแบบนั้นยูกิก็แอบที่จะหัวเราะในลำคอไม่ได้ เธอใช้นิ้วเรียวสัมผัสบนแก้มนุ่มของคนที่ละเมอหาเธออย่างนึกหยอกล้อ อีกฝ่ายย่นหน้าใส่และปัดมือออกเบาๆ คล้ายรำคาญที่มีอะไรมาไต่ตอมยุกยิกบริเวณใบหน้า

 

 

 

ยูกิโน้มศีรษะกดจูบแผ่วเบาที่แก้มใส

 

 

___

 

 

 

“ไปก่อนนะ” มายุพูดพลางเปิดประตูบ้าน คนแก่กว่ายิ้มให้พร้อมกล่าวให้อีกฝ่าย ไปดีมาดีนะ

 

 

 

มายุยังเรียนอยู่ เธอเป็นเด็กมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน น่ารัก รอยยิ้มสดใสขนาดที่สามารถทำให้ใครหลายคนหันมาสนใจเธอและอยากศึกษาเธอให้มากกว่านี้ เธอก้าวขึ้นรถไฟทางสายประจำที่ใช้ไปมหาวิทยาลัย ช่วงเวลานี้คนค่อนข้างแน่นพอควร มายุพยายามบดเบียดกับฝูงชนมากมายและไปยืนเกาะราวตรงมุมหนึ่ง เธอใส่หูฟังอุดหูสองข้างเปิดเพลงคลอสบายเฉกเช่นทุกวัน

 

 

 

ไม่นานก็มาถึงจุดหมายปลายสถานี

 

 

 

เธอก้าวขาออกจากรถไฟและรีบเดินไปทางสถาบัน

 

 

 

วันนี้เธอเรียนถึงแค่ช่วงบ่ายเท่านั้น เธอคิดอยากชวนยูกิรินออกไปข้างนอกหลังจากเรียนภาคบ่ายเสร็จ บางทีคงไปนั่งชมวิวทิวทัศน์ที่สวนสาธารณะใกล้บ้านของพวกเธอหรือชวนไปกินชาบูชาบูก็น่าจะเข้าท่าดี คิดแบบนั้นก็เผลอยิ้มให้กับตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

 

 

 

“ชิมาซากิซัง!” เงยหน้าขึ้นก็พบเจอกับเพื่อนร่วมคณะที่ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรจึงเผลอออกตัวเรียกเสียอย่างนั้น ที่มักจะไม่เจออีกคนเพราะอีกฝ่ายมีงานที่ทำประจำซึ่งเป็นงานในวงการและตารางงานรัดตัวพอสมควร

 

 

 

“วาตานาเบะซัง…” ทักทายด้วยการเรียกชื่อและสีหน้าไร้อารมณ์อย่างทุกที มองไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน “ดีค่ะ”

 

 

 

“งานเป็นยังไงบ้าง?” มายุถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ

 

 

 

“เรื่อยๆ” คำตอบสั้นๆ ตามสไตล์ของเจ้าตัว จนไม่รู้จะยิงคำถามแบบไหนไปอีกจึงได้แต่ตอบตะกุกตะกักไป

 

 

 

“ระ- เหรอ” ถึงอย่างนั้นพวกเธอสองคนก็เดินไปยังห้องเรียนด้วยกันแม้บทสนทนาระหว่างกันจะมีไม่มากก็ตาม พวกเธอสองคนคงเหมือนเป็นแค่คนที่พอรู้จักกันเท่านั้น เพื่อนร่วมคณะ จะว่าแบบนั้นดีไหม แค่เป็นบุคคลที่รู้จักหน้าค่าตาและชื่อ แบบนี้คงจะถูกกว่า

 

 

 

ไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่ก็ไม่ใช่คนสนิท

 

 

 

“นั่งด้วยกันมั้ย?” อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ถามโดยไม่ทันตั้งตัว จนมายุเผลออ้าปากตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าสังคมเท่าไรนักมาชวนเธอแบบนี้

 

 

 

บางทีก็ไม่พบเจอหน้าชิมาซากิที่มหาวิทยาลัยไปซักพักเพราะตารางงานเจ้าตัวแต่การเรียนนั้นกลับอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดีพอสมควรจนใครต่างก็นับถือ

 

 

 

“อ่ะ เอ๊ะ ฉันเหรอ… เอาสิๆ” ตอบรับอย่างงงๆ หากปฏิเสธคำชวนคงจะเป็นการเสียมารยาทไม่น้อยเผลอๆ อาจโดนเขม่นใส่แทน

 

 

 

แต่ถ้าดูๆ ไปแล้วชิมาซากิก็ดูยิ้มบ่อยขึ้นกว่าเก่าถึงหน้าจะยังดูนิ่งๆ เหมือนเดิม

 

 

 

อาจได้เจอเรื่องดีๆ ที่ทำให้มีความสุข

 

 

 

ถึงจะไม่บ่อยนักแต่เคยบังเอิญเจอพารุอยู่กับคนที่ชื่อโยโกยามะมาบ้าง ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนแต่คงสนิทกับคนข้างๆ ในระดับหนึ่ง ก็เจ้าตัวล่อยิ้มหวานอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน คงเป็นอีกมุมหนึ่งที่คนทั่วไปไม่มีวันได้สัมผัส เหมือนเวลาที่เด็กสาวได้อยู่กับยูกิริน

 

 

 

“อะไรเหรอ วาตานาเบะซัง?” คนข้างๆ ถามอย่างงวยเมื่อ เห็นมายุอมยิ้มและมองมาที่เธอ

 

 

 

“เอ้ย เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” มายุโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “แค่คิดว่าคุณดูมีความสุขดีนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็ทำหน้ามึนใส่แต่ก็รีบเบนหน้าหนีไปทางอื่น เคอะเขิน? เห็นแบบนี้ชักน่าแกล้งหน่อยๆ ซะแล้วสิ

 

 

 

แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงของผู้มาใหม่ก็ดังก้องไปทั่วห้องเรียน

เป็นอาจารย์ประจำวิชาของพวกเธอ

 

 

 

“วาตานาเบะซัง…” มายุหันไปตามเสียงซึ่งเสียงของคนที่นั่งข้างเธอ

 

 

 

“อะไรเหรอ?”

 

 

___

 

 

 

“กลับมาแล้ว” กล่าวพลางถอดรองเท้า วันนี้ไปเพียงเพื่อเรียนวิชาเดียวแล้วกลับมาพักผ่อนต่อที่บ้าน ถ้าเทียบกับวันอื่นถือว่าวันนี้เป็นวันที่สบายที่สุดแล้ว รีบมองหาและร้องเรียกคนที่คิดว่าน่าจะอยู่บ้านแต่กลับไร้สัญญาณการตอบกลับ ตระเวณตามหาตัวห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องอาบน้ำแต่กลับไม่เจอ ไปไหนกันนะ ทั้งที่น่าจะรู้ว่าวันนี้เธอจะกลับมาเร็ว กะจะชวนไปข้างนอกสองคนแท้ๆ แต่ถ้ายูกิจะไปธุระถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรขอแค่อีกฝ่ายรีบกลับมา ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ขอแค่ยูกิยังอยู่กับเธอก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก

 

 

 

ก่อนที่เธอตรงดิ่งเข้าห้องนอนหวังนอนพักซักงีบก็มีสัมผัสจากด้านหลัง ปิดตาทั้งสองให้มืดสนิท ได้ยินแต่เสียงคนข้างหลังหัวเราะคิกคัก ให้เธอทายเจ้าของมือนี้เป็นของใคร… ถึงแม้จะโตกว่า แก่กว่า แต่บางอารมณ์ก็เล่นเป็นเหมือนเด็กๆ ในบ้านนี้ก็มีแค่เธอกับอีกคนเท่านั้นจะมีใครอื่นอีกได้อย่างไรล่ะ

 

 

 

“เล่นอะไรเนี่ย” พูดพลางอ้อมแขนไปตีคนที่กำลังสนุกอยู่ข้างหลัง ขณะที่ตนถูกปิดตาอยู่

 

 

 

“ตอบมาสิ” น้ำเสียงของคนข้างหลังดูก็รู้ว่าสนุกแค่ไหน

 

 

 

“อะไรล่ะ-” มายุอ้อมแขนจับเสื้ออีกฝ่ายไว้แม้อีกคนจะพยายามถอยตัวหนี “ยูกิริน” โพล่งชื่อออกไปและงัดแงะมือที่ปิดตาทั้งสองข้าง

 

 

 

“ก็ถูก แต่ไม่ปล่อยหรอก” ถึงจะพยายามงัดมืออีกฝ่ายให้หลุดไปแค่ไหนก็ยังไม่เป็นผล เมื่อคนที่แก่กว่านั้นมีแรงที่มากกว่าเธอ

 

 

 

“ปล่อยเลย”

 

 

 

“ไม่เอา-“

 

 

 

“งั้นโกรธนะ”

 

 

 

“ตอบมาอีกสิ” พวกเธอทั้งสองเถียงกันเป็นเด็กๆ

 

 

 

“ยูกิ!”

 

 

 

“เรียกเค้าหวานๆ หน่อย”

 

 

 

“คาชิวากิ-“

 

 

 

“บู่ววว”

 

 

 

“กิริน”

 

 

 

“ห้วนไปนะมายุ”

 

 

 

“แล้วจะเอาอะไรล่ะ” พูดอย่างหัวเสีย เมื่อพูดทั้งชื่อจริง ชื่อเล่นไปจนหมดแต่อีกคนยังไม่มีท่าทีจะปล่อย “เล่นเป็นเด็กๆ”

 

 

 

ซักพักเริ่มรู้สึกถึงไออุ่นจากต้นคอ ลมหายใจของคนสูงกว่าจรดรดลงมา ริมฝีปากขบหลังใบหูเชื่องช้า มายุเผลอส่งเสียงอู้อี้ ยกมือตัวเองขึ้นปิดปาก สลัดอีกฝ่ายให้หลุดเพราะไม่อยากโดนแกล้งไปมากกว่านี้แต่อีกฝ่ายก็ยังรั้งเธอไว้ได้และดันคนตัวเล็กให้เดินไปตรงไหนซักที่ มายุทำตามอย่างว่าง่าย รู้ตัวอีกทีก็ถูกผลักหลังหงาย หล่นลงบนโซฟา คนสูงกว่าไม่รอช้าล้มตัวลงคร่อมมายุไว้

 

 

 

ลิ้นร้อนยูกิยุแหย่อยู่บนริมฝีปากคนเบื้องล่าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายสั่นระริกยิ่งไม่ยอมละจูบออก ซักพักมายุก็ยอมเปิดปากรับรสจูบจากคนอายุมากกว่า แขนของมายุคล้องรอบคอคนด้านบนแน่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายผละออกไปอย่างง่ายๆ

 

 

 

เสียงหายใจหอบถี่ดังสลับกับเสียงคราญครางร้องระงม

 

 

 

มายุเป็นฝ่ายดันคนด้านบนออกก่อนเมื่อหายใจไม่ทัน

 

 

 

“มายุ”

 

 

 

“อื๋อ?” ตอบรับขณะสูดลมหายใจเข้าให้ได้มากที่สุด

 

 

“เรียกที่รักหน่อยสิ”

 

 

 

“จะไปกล้าเรียกได้ยังไง ยูกิบ้า”

 

 

“สำหรับมายุ ฉันคืออะไรเหรอ?” คนด้านบนก้มลงมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกคน ทำเอาเธอเผลอใจเต้น หน้าขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

“คุณแม่-” พูดยังไม่ทันจบ ก็ลงไม้ลงมือปิดปากอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี เลื่อนมือลูบไล้ตามแผ่นหลังและไซร้คอเด็กสาว

 

 

 

“จะให้โอกาสตอบใหม่” พูดในขณะที่หน้ายังฝังอยู่ที่ซอกคอคนตัวเล็กที่กำลังกำเสื้อของอีกฝ่ายจนแทบขาดเพราะสัมผัสซ่านที่คนด้านบนมอบให้เธอ

 

 

 

“อือ…” เว้นช่วงซักพักพยายามเค้นเสียงออกมาให้ได้มากที่สุด “ร- รัก”

 

 

 

“อะไรน้า~” แกล้งทำทีเป็นไม่ได้ยิน อีกคนอึกอักไม่ยอมตอบ “ขอคำตะกี้” ไม่ว่าเปล่า เริ่มปลดเปลื้องเนื้อผ้าท่อนบนอย่างช้าๆ

 

 

 

“คะ- คนรัก” ยูกิกระตุกยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ ถึงจะรู้ตัวว่าแกล้งแรงไปหน่อยแต่แค่อยากได้ยินคนที่อยู่เบื้องล่างพูดอะไรหวานๆ บ้างเท่านั้นเอง

 

 

 

ส่วนเรื่องที่กำลังทำอยู่เป็นผลพลอยได้

 

 

 

ยูกิแทะเล็มริมฝีปากคนตัวเล็กและสอดมือเข้าใต้เสื้อโดยไม่ฟังคำร้องขอของคนที่อยู่ใต้ล่างใดๆ

 

 

 

จะบอกว่าเป็นแม่ลูกตลอด ก็ไม่ได้รู้สึกดีด้วยหรอกนะ

 

 

 

“วาตานาเบะซัง ยูกิซังเป็นยังไงบ้าง”

 

 

 

“ก็สบายดีเหมือนเดิมนะ” มายุตอบชิมาซากิที่กำลังนั่งเลคเชอร์อาจารย์หน้าห้อง

 

 

 

“ได้ยินแบบนี้ก็ดีค่ะ” ยูกิรินกับชิมาซากิซังรู้จักกันมาก่อน แม้จะจำไม่ได้ว่าเมื่อไรแต่ก็นานมาแล้ว น่าจะหลายปีก่อนหน้า ก่อนที่เธอจะได้พบกับยูกิ บางทีการที่คนข้างๆ เข้ามาคุยกับมายุก็มักจะถามถึงคนที่อาศัยอยู่ที่เดียวกับเธอ “ไม่ได้เจอนานเลย”

 

 

 

“อื้ม นั่นสินะ” มายุลังเลนิดหน่อยก่อนเอ่ยประโยคถัดไป “ไปหาที่บ้านฉันมั้ยล่ะ?” ถามเผื่ออีกคนอยากเจอ ยังไงวันนี้ยูกิก็อยู่บ้าน ชิมาซากิชะงักเล็กน้อย มายุมองอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาเพื่อนร่วมคลาส ปากกาในมือหยุดจดโน็ตบนสมุด

 

 

 

“วาตานาเบะซัง ไม่เป็นอะไรเหรอ?”

 

 

 

มายุส่งเสียงทำหน้าไม่เข้าใจคำถามและอากัปกิริยาคนนั่งข้างๆ “ก็ไม่นี่”

 

 

 

นางแบบสาวไม่พูดอะไรต่อและก้มหน้าก้มตาจดโน็ตตามเดิม ปล่อยให้มายุย่นคิ้วมองอย่างงงงวย

 

 

 

ถ้าหากยูกิเจอกับชิมาซากิบ้างซักหน่อยก็ดีเหมือนกันในเมื่อสองคนนี้รู้จักกันอยู่แล้ว มันก็ไม่เห็นจะแปลก แต่ทำไม เพราะอะไรเพื่อนชั้นเดียวของเธอถึงได้มองเธอแบบนั้น ถึงเธอจะสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไร

 

 

 

“เมื่อคืนฉันฝัน…” ร่างเล็กกระชับผ้าห่มให้พอดีตัวและขยับเข้าหาอีกฝ่ายและกอดหมับ

 

 

 

“ฝันอะไรเหรอ?” คนแก่กว่ากอดกลับ

 

 

 

“อืมม เหมือนฝันร้ายเลย” พูดพลางกอดให้อีกคนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม “ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว… ยูกิทิ้งฉัน” มายุพูดเสียงสั่น

 

 

 

“ก็แค่ฝัน” ยูกิแตะจูบบนริมฝีปากบางอีกคนปลอบคนขวัญเสีย “ฉะนั้นอย่าคิดมาก ฉันไม่ทิ้งมายุไปไหนซักหน่อย”

 

 

 

เพราะแบบนี้หรือเปล่าเมื่อคืนมายุถึงได้พร่ำเรียกหาเธอราวกับเด็กตัวเล็กตัวน้อยที่ร้องเรียกหาพ่อแม่

 

 

 

ยังไงสุดท้ายมันก็เป็นแค่ฝันที่ไม่มีวันที่จะเป็นจริง

 

 

 

เรื่องที่ไม่มียูกิอยู่นั้นไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะตัวเธอได้ให้สัญญาไว้แล้วจะอยู่เคียงข้าง คอยเป็นกำลังใจให้เด็กคนนี้ เพื่อที่จะไม่ให้คนรักของเธอเหงาหงอย ไม่ให้เด็กสาวที่น่ารักของเธอนั้นเศร้าสลด ไม่ว่าเมื่อไร มันจะไม่มีภาพที่ว่างเปล่าแบบนั้น เธอจะคอยยืนหยัดเพื่อคนในอ้อมกอดคนนี้

 

 

 

เห็นคนตัวเล็กที่เริ่มงัวเงียก็พรมจูบลงบนหน้าผากตามเคยและปล่อยให้เธอหลับ

 

 

 

“ขอบคุณนะยูกิ” เสียงแผ่วแทบกระซิบแต่เธอได้ยินมันชัดเจน ก็ห้องเงียบเสียขนาดนี้แถมอยู่ด้วยกันสองคน เธอยกยิ้มให้กับร่างตรงหน้าที่กำลังหลับตาพริ้ม ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งชวนให้เคลิบเคลิ้ม วาตานาเบะตัวน้อย

 

 

 

ทุกวันที่จะคอยส่งมายุเข้านอน ทุกวันที่แอบมองหน้าเด็กสาวยามหลับ จิ้มแก้ม จุ๊บปาก สารพัดสุดท้ายก็ทำจนติดเป็นนิสัย แค่พยายามทำให้อีกฝ่ายไม่ตื่นเท่านั้นแหละ มายุเองก็ชอบส่งเสียงใสเจื้อยแจ้ว มุ้งมิ้งมาให้ฟังตลอดเพราะแบบนี้ไงคนตรงหน้าถึงเป็นเด็ก เป็นลูกสาวสำหรับยูกิ แม้อายุอานามจะถือว่าโตบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ยังไงๆ ก็ยังเป็นลูกสาวที่น่าเอ็นดูสำหรับเธออยู่ดี

 

 

 

ก็มายุน่ารักซะขนาดนี้

 

 

___

 

 

 

“มายุตื่นได้แล้วนะ” ยูกิดึงผ้าห่มที่มายุคลุมโปรงออก เหมือนคุณแม่กับคุณลูกอีกแล้ว ถึงจะบอกว่าเป็นคนพิเศษยิ่งกว่านั้นก็เถอะ

 

 

 

มายุทำทีท่าไม่พอใจก่อนดึงผ้าห่มกลับ งอแง ไม่อยากลุกจากเตียงที่กำลังดูดตัวเธอไว้ในเช้านี้

 

 

 

“ใครเป็นคนชวนฉันออกไปกินข้าวเนี่ย” ฟุดฟิดฮึดฮัดนิดหน่อยเมื่ออีกคนที่เป็นคนออกปากชวนกลับนอนจุมปุกแกะจากเตียงไม่ออกซะอย่างนั้น

 

 

 

“งืมม รู้แล้วละน่า” พูดเสร็จก็พลิกตัวหายูกิที่นั่งลงข้างเตียง ลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณแม่ข้างหนึ่ง “ขออีก 5 นาทีไม่ได้เหรอ?”

 

 

 

“พอเลย!”

 

 

 

“เข้าใจแล้วๆ” รีบเด้งตัวขึ้นเมื่อคุณแม่ทำท่าจะองค์ลงแต่เช้า… ก็ไม่ถึงกับเช้าเสียทีเดียว เหลือบมองนาฬิกาอีกห้านาทีก็สิบโมงแล้ว สายโด่งเลยต่างหาก ควรจะตื่นอยู่หรอก “นี่…”

 

 

 

“หือ?”

 

 

 

“มอร์นิ่งคิส”

 

 

 

“ไม่มีทาง” ยูกิดันหน้าอีกฝ่ายที่มาทำปากจู๋ใกล้ๆ

 

 

 

“ใจร้าย ใจดำ” ทำแก้มป่อง ทั้งที่ยูกิจะตามใจตลอดแท้ๆ

 

 

 

“ไปอาบน้ำ” ใช้น้ำเสียงให้ดุขึ้นเมื่ออีกฝ่ายชักงอแงแต่ก็ได้ผลเมื่อมายุสะบัดก้นลุกจากเตียงไปได้เสียที เด็กสาวหันกลับมายิ้มหน้าบานอีกทีก็ตอนที่ยูกิตะโกนไล่หลังมา “อาบเสร็จค่อยมาเอานะ มอร์นิ่งคิสน่ะ”

 

 

 

ถ้าในโลกทั้งใบมีแค่เธอกับฉัน ฉันก็ยินดี เพราะฉันจะเป็นคนทำให้เธอมีความสุขที่สุดและเชื่อว่าเธอจะทำให้ฉันมีความสุขเช่นกัน

 

 

 

“ยูกิ” คนตัวเล็กร้องเรียกให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าสนใจชิ้นเนื้อที่เธอคีบให้รอจ่อที่ปาก “อ้ามๆ”

 

 

 

เมื่อเห็นอย่างนั้นก็หยุดที่จะยิ้มให้กับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ได้ ยูกิรีบงับชิ้นเนื้อที่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะน่าอายสายตาคนอื่นนิดๆ

 

 

 

อยากหยุดเวลาในช่วงที่มีความสุขที่สุด ถ้าหากหยุดได้ก็อยากให้หยุดไปตลอดกาล ในระหว่างที่เราสองคนยังอยู่ด้วยกัน ได้ทำอะไรด้วยกัน แบบคนรัก ทั้งจับมือกัน หอมแก้ม จูบอรุณสวัสดิ์ กินอาหารด้วยกัน มันยังมีอะไรที่พิเศษไปมากกว่านี้อีกไหม มีอะไรที่มันน่าจดจำมากกว่านี้อีกรึเปล่า

 

 

 

หลังท้องอิ่มทิ้งทั้งสองก็ตกลงปลงใจไปช็อปปิ้งต่อ มายุได้ชุดติดไม้ติดมือกลับมามากมายทั้งกระโปรง เสื้อสีหวานน่ารัก ยูกิมักแซวเธอเสมอกว่าเป็นคนที่แต่งตัวเก่ง ให้ความรู้สึกผู้นำแฟชั่น มายุก็มักจะเป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้ยูกิที่ชอบแต่งตัวจืดสนิท กว่าพวกเธอจะเสร็จธุระช็อปแหลกท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีส้มแล้ว รวมทั้งอากาศที่เริ่มเย็นลงหน่อย

 

 

 

“นี่… มายุ” ยูกิเรียกคนตัวเล็กที่เดินหน้ายิ้มแป้นแล้นอยู่ข้างๆ

 

 

 

“อะไรเหรอ?”

 

 

 

ยังไม่ทันที่ยูกิจะพูดอะไรต่อเสียงริงโทนของเจ้าเครื่องมือสื่อสารก็ดังแทรกขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเธอ เป็นเสียงโทรศัพท์ของมายุ คนตัวเล็กควานหาโทรศัพท์พักหนึ่งก่อนรีบกดรับสายโดยไม่ทันดูว่าใครเป็นคนโทรมา

 

 

 

“อ๊ะ

 

 

 

อื้มๆ

 

 

 

กำลังกลับบ้านน่ะ

 

 

 

มาหายูกิมั้ย?”

 

 

 

คุยอยู่อีกสองสามประโยคก็ตัดสายจากอีกฝ่ายและหันมาคุยกับยูกิที่กำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เธอไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

 

 

 

“มายุ-” ยูกิพูด “เรื่องเมื่อกี้” มายุเงียบรอให้คนตัวสูงกว่าพูดต่อให้จบ “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ใครโทรมา”

 

 

 

“อ้อ ชิมาซากิซังว่าจะแวะมาบ้านน่ะ อยากมาหายูกิ-” มายุจับมือยูกิ “ไม่ได้เจอกันนานแล้วใช่ม้า?”

 

 

 

ยูกิใช้นิ้วเรียวแตะที่คางตัวเองคล้ายคนใช้ความคิดซักพักก่อนตอบมายุ “อืมม ก็นานพอควร-” ว่าพลางกระชับมืออีกฝ่ายที่กอบกุมกันอยู่ให้แน่นขึ้น “มายุสนิทกับพารุแล้วเหรอ?”

 

 

 

“ไม่นะ แต่ก็คุยมากกว่าเก่า” เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร พักหลังๆ มานี้ชิมาซากิที่ไม่ค่อยจะสนใจใครกลับมาคุยกับเธอมากขึ้น ถึงในใจเธอจะคิดว่าเพียงแค่เห็นตัวเธอนั้นอาศัยอยู่กับยูกิที่เป็นคนรู้จักกันนานแต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี

 

 

 

“เป็นเพื่อนกันแล้วสิ”

 

 

 

“ไม่หรอก”

 

 

 

“ดีจังน้า มายูยุ~” จิ้มแก้มอีกฝ่ายรัวๆ อย่างที่ทำประจำเวลานึกอยากแกล้ง มายุผลักยูกิออกเต็มรัก แก้มขึ้นสีระเรื่อ ยูกิขำอย่างชอบใจ “แค่แซวเล่นเอง”

 

 

 

เดินมาตามทางเรื่อยจนใกล้ถึงบ้านของพวกเธอสองคน

 

 

 

“เดี๋ยวก็มาแล้ว” ยูกิยิ้ม พยักหน้ารับรู้ช้าๆ

 

 

 

ไม่กี่นาทีที่เธอเข้าบ้านเก็บข้างของสัมภาระที่เพิ่งได้มาไว้ในห้องนอน เสียงออดที่บ่งบอกถึงผู้มาเยือนใหม่ก็ดังขึ้น มายุรู้อยู่แล้วว่าใครจะมาจึงรีบเปิดประตูต้อนรับทันที

 

 

 

บนใบหน้านางแบบสาวถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางขับใบหน้าคมใสให้สวยงาม ดูจากรูปการคงเพิ่งเลิกงานและกำลังบ้าน จึงแวะเข้ามาหาเธอก่อน มายุทักทายชิมาซากิที่ยิ้มน้อยๆ ให้ที่หน้าประตูก่อนรีบเชิญเข้าบ้านเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา

 

 

 

“เอาน้ำหน่อยมั้ย?” ตั้งแต่เข้ามาในห้องเจ้าตัวก็เอาแต่มองไปทั่วห้องโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว บ้านของมายุกับยูกินั้นมีเฟอร์นิเจอร์อยู่ไม่มาก จะมีก็เพียงแค่กรอบรูปตั้งโต๊ะที่พวกเธอทั้งสองถ่ายเล่นกัน ชิมาซากิยืนมองรูปเหล่านั้น

 

 

 

“อื้ม รบกวนด้วยนะวาตานาเบะซัง” ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชิมาซากิมาบ้านเธอ เคยมีครั้งหนึ่งที่เข้ามาหายูกิริน ถ้าให้พูดถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้คงเหมือนพี่สาวน้องสาวที่สนิทกันมาก นางแบบสาวหย่อนตัวลงนั่งโซฟาในห้องนั่งเล่น มายุกลับจากห้องครัวโดยมีแก้วน้ำเปล่าในมือสองใบ “วาตานาเบะซังชอบที่นี่มั้ย?” ชิมาซากิรับแก้วน้ำในมือไป

 

 

 

“ชอบสิ-” มายุคลี่ยิ้มให้อีกคนที่มองมาด้วยสีหน้าแววตานิ่งงัน “เพราะเป็นที่ที่ฉันอยู่กับยูกิ”

 

 

 

ทั้งที่ชิมาซากิมาหายูกิแต่กลับไม่ถามถึงยูกิแม้แต่น้อย ก่อนที่เธอกับยูกิจะถึงบ้านยูกิขอแยกตัวไปร้านสะดวกซื้อก่อนและจะรีบกลับเข้ามาเธอพูดแบบนั้นกับมายุ

 

 

 

ยูกิตั้งใจหลบหน้าน้องสาวตัวเองหรือยังไง

 

 

 

“วาตานาเบะซัง”

 

 

 

“ว่าไง ชิมาซากิซัง” มายุทำเสียงในลำคอระหว่างยกแก้วน้ำดื่มขึ้นดื่มสองสามอึก คนตรงหน้าลุกขึ้นและไปยังโต๊ะตัวเดิมที่มีกรอบรูปวางเรียง รูปของมายุกับยูกิรินที่ถ่ายคู่กัน

 

 

 

“วาตานาเบะซัง… มีความสุขมั้ย?” ชิมาซากิไม่ได้หยิบยกกรอบรูปขึ้นมาแต่กลับก้มลงมองด้วยสีหน้าแววตาเศร้าสร้อย ถึงจะไม่แน่ใจแต่เธอรู้สึกอย่างนั้นซึ่งทำให้มายุไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่

 

 

 

“หมายความว่ายังไง-“

 

 

 

“ยูกิซังเคยพูดไว้” เพื่อนร่วมคลาสหันกลับไปเพื่อเผชิญหน้ากับมายุตรงๆ “อยากทำให้มายุมีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้”

 

 

 

ยูกิ…

พูดแบบนั้น…

 

 

 

“ฉันดีใจนะที่ได้เห็นยูกิซังอยากทำอะไรให้ใครซักคน รักใครซักคน เพราะยูกิซังเป็นเหมือนพี่สาวของฉัน” ชิมาซากิพูดต่อโดยมีเธอนั่งเงียบอยู่ตรงมุมโซฟา “อยากจะอยู่เคียงข้างมายุ… ให้ได้ตลอด

 

 

 

นั่นเป็นคำพูดวันสุดท้ายที่ฉันได้พบยูกิซังค่ะ

 

 

 

ยูกิ

 

 

 

เคยพูดแบบนั้นให้เธอฟังตรงๆ แล้วเหมือนกัน

 

 

 

ไม่ว่าจะฟังกี่ฟังๆ ก็รู้สึกอบอุ่นเสมอ

 

 

 

เพราะชิมาซากิซังหันหลังให้เธอทำให้ไม่รู้ว่ากำลังทำหน้าแบบไหน

 

 

 

ทั้งที่นางแบบสาวเพิ่งมาที่บ้านแต่เธอสองคนกลับคุยต่อเพียงไม่กี่ประโยค ชิมาซากิก็ขอกลับก่อนเนื่องจากเธอมีที่อื่นที่ต้องไปต่อโดยที่ไม่อยู่รอเจอยูกิ เธอทิ้งท้ายก่อนกลับด้วยข้อความเพียงสั้นๆ เท่านั้น

 

 

 

ฝากความคิดถึงยูกิซังด้วยนะคะ

 

 

 

ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมคนขาวซีดนั่นถึงมาพูดเรื่องแบบนี้ให้เธอฟังแต่ลึกๆ ภายในใจอยากบอกขอบคุณบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงอย่างบอกไม่ถูก คนแก่กว่าที่คอยดูแลเธอเสมอมา ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างร่วมกับยูกิ ที่ผ่านมาเธอมีความสุขมาก

 

 

 

แม้จะไม่ใช่ความสุขที่จีรังยั่งยืน

 

 

___

 

 

“ยูกิ…” เสียงใสเอ่ยเรียกชื่อคนรักที่บอกจะรีบกลับ แต่ยังไม่มาเสียที ทำให้เธอนั่งกร่อยอยู่แบบนี้

 

 

 

หลายนาทีผ่านไป หลายชั่วโมงผ่านไป ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมืดครึ้มตามช่วงเวลาหัวค่ำ

 

 

 

ลำพัง…

เดียวดาย

 

 

 

“ยูกิ”

 

 

 

มายุนั่งชันเข่าบนโซฟา กดรีโมทเปิดทีวีกดจิ้มสุ่มตัวเลขเพราะไม่มีรายการไหนที่เธออยากจะดูเป็นพิเศษ เธอหันมองนาฬิกาเป็นช่วงๆ ด้วยสีหน้ากระวนกระวายที่ปิดไม่มิด มายุดูโทรทัศน์เพื่อฆ่าเวลารอคนรัก บางทีระหว่างที่ชิมาซากิกำลังออกไปจากบ้านของเธออาจจะไปพบกับยูกิเข้าบังเอิญและคุยกันเพลิน

 

 

 

มันจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า?

 

 

 

“ไม่เอาน้ามายุ อย่าร้องไห้ซี่~ แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง”

 

 

 

มายุเอี้ยวตัวหันมองซ้ายขวา

 

 

 

ห้องสุดกว้าง ถ้าอยู่เพียงคนเดียว ไม่ใช่ ห้องมันไม่ได้กว้างอะไร มันแค่กว้างไปสำหรับการอยู่คนเดียว… คนเดียว?

 

 

 

เธอไม่ได้ตัวคนเดียว

เธอมีคนรัก

เธอมีคนที่รักเธอ

 

 

 

ทำไมถึงได้ว้าเหว่

 

 

 

เธอไม่ได้เดียวดาย

เธอคิดเช่นนั้น

 

 

 

“พารุ ฉันควรจะทำยังไง ควรทำยังไง… บอกหน่อยได้ไหม” มายุพูดพร้อมเสียงสะอื้น

 

 

 

“มายุซัง…”

 

 

 

“ทำไมถึงได้ยังนิ่งแบบนี้ได้อยู่อีก เธอมีความรู้สึกบ้างมั้ย เจ็บเป็นบ้างมั้ย ร้องไห้เพื่อใครซักคนบ้างจะได้มั้ย!?”

 

 

อาการปวดหน่วงพลันแล่นทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว แขนชาจนทำเอาใบหน้าซีดเผือก ขาชาไปหมดจนต้องขดกอดตัวเองจมอยู่บนโซฟาคล้ายกลัวร่างของตนจะหายไปเมื่อร่างกายจมดิ่งอยู่ในสภาวะไร้ความรู้สึก หัวใจหญิงสาวเต้นหน่วงซักพักก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น มายุหอบหายใจถี่ เป็นความรู้สึกเดิมที่เคยเกิด เธอเหมือนกำลังจะตายอีกครั้ง… สิ้นลมอย่างเดียวดาย ยิ่งพยายามให้หายใจช้าลงเท่าไร เธอยิ่งเหมือนใกล้ขาดใจ เธอนอนทรมานอยู่บนโซฟายาวพลางกอบกุมหน้าอกคล้ายช่วยให้เธอหายใจได้สะดวกขึ้น ในใจพร่ำเรียกร้องหาคนรักที่ยังไม่กลับมา

 

 

 

ยูกิ

ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก

 

 

 

“นี่ มายุ”

 

 

 

“หืม”

 

 

 

“ฉันสัญญานะ” ยูกิกล่าวพลางยิ้ม “จะดูแลมายุให้ดีๆ เลยยย”

 

 

 

ถ้าเคยพูดแบบนั้น

ก็รีบกลับมาซักทีสิ ยูกิ

กลับมาหาเร็วๆ ได้โปรด

 

 

 

“อยู่ดีๆ พูดอะไรเนี่ย” หลบตาคนสูงกว่าด้วยความเขินอาย

 

“มายุ”

 

“หืม” ตอบรับด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ ไม่กล้าสบตาคนสูงกว่าตรงๆ

 

 

 

ยิ่งเธอหอบหายใจถี่เท่าไรยิ่งเหมือนวิญญาณตัวเองจะออกจะออกจากร่างให้ได้แต่มันก็ไม่เคยเป็นแบบนั้น

เพียงแค่สิบนาที ยี่สิบนาที ครึ่งชั่วโมงมันก็เริ่มบรรเทาลงแต่กว่าช่วงเวลาสงบจะเดินมาถึงมันเป็นช่วงที่ทรมานที่สุด

 

 

 

มันทรมานมากเลยนะยูกิ ถ้าฉันตายได้จริงก็คงดี

 

 

 

มายุรู้มั้ย ฉันน่ะนะ รักมายุ- รักที่สุดเลย

 

 

 

“คุณลูกสาว” ยูกิจิ้มแก้มคนตัวเล็ก มายุตีมือคนแก่กว่าเต็มแรง

 

 

 

“ไม่ใช่ลูกสาวซักหน่อย!”

 

 

 

“โฮ่~” ยูกิลูบมือที่ถูกมายุตีไปมาด้วยความแสบแปลบๆ “ไม่ใช่อะไรล่ะ ยังเรียกฉันว่าคุณแม่อยู่เลยนี่นา” เมื่อมายุมีท่าทีเถียงไม่ออก ยูกิก็ได้ทำแต่ปล่อยขำออกมาอย่างไม่แคร์คนข้างๆ

 

 

 

“ยูกิ…” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองคนตัวเล็กที่จ้องเธออย่างจริงจัง ดวงตาของทั้งคู่ส่อประสาน พวกเธอต่างมองลึกเข้าไปข้างในนั้นราวกับค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ บางสิ่งที่พวกเธอคิดว่ามันเป็นสมบัติ สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดเพราะสุดท้ายเธอทั้งสองจะได้ค้นพบด้วยกัน ได้รับรู้และสัมผัส มายุโน้มตัวลงหวังประกบริมฝีปากเรียวเล็กของคนตรงหน้า ยูกิทำเช่นเดียวกับเธอ

 

 

 

มันคือความหลง มันคือกิเลส มันคือความรักของพวกเธอทั้งสอง นั่นคือสิ่งที่เธอไม่อยากเสียมันไป

 

 

 

ต่างฝ่ายต่างเอื้อนเอ่ยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ คำบอกรักพรั่งพรูผ่านริมฝีปากของพวกเธอทั้งสองไม่ขาดสาย

 

 

 

เธอปลดกระดุมเม็ดบนหวังให้หายใจได้สะดวกที่สุด ตอนนี้เริ่มจะดีขึ้นมาบ้างเพราะแขนกับขาที่เริ่มชาน้อยลง ความรู้สึกหวิวคล้ายเป็นลมก็ลดลงไปมากพอควร

 

 

 

ทั้งที่ยูกิควรจะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ เธอ จับมือเธอเอาไว้ ลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนและบอกกับเธอว่าเธอจะไม่เป็นอะไร ยูกิจะทำแบบนี้ แต่กลับไม่-

 

 

 

วาตานาเบะใช้แขนข้างหนึ่งวางลงหน้าผากเมื่ออาการทุเลา มันดีขึ้นพอที่จะประครองสติได้ดีกว่าเดิม

 

 

 

“ฉันรักยูกินะ”

 

 

 

คำพูดที่กระซิบอย่างแผ่วเบาภายในห้องกว้าง ไร้พลัง ไร้น้ำหนัก มันเบาเสียจนถึงอีกฝ่ายจะอยู่ด้วยก็คงไม่ได้ยินอยู่ดี น้ำตารื้นไหลรินอาบแก้มทั้งสองอย่างห้ามไม่ได้และมักจะเป็นอีกฝ่ายที่จะคอยเข้ามาเกลี่ยซับน้ำตาให้เธอเสมอ กอดปลอบประโลมลูบแผ่นหลังเบาๆ ให้เธอได้รู้สึกดี ให้เธอได้รู้สึกว่ายังมีคนสำคัญอยู่บนโลกนี้อยู่

 

 

 

เหมือนพระเจ้ากำลังเล่นตลก

 

 

 

“ถ้ามายุซังอยากให้ช่วยอะไร บอกได้นะคะ” เสียงนุ่มใสกล่าวกับเธอขณะยิ้มให้

 

 

 

จริงสิ… ทำไมเธอถึงนึกไม่ออกนะ

 

 

 

เธอกับชิมาซากิซัง

 

 

 

ก่อนหน้านี้เราสนิทกันมาก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราเลิกเรียกนามสกุลกันจนตอนนี้มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่ พวกเธอคุยทั้งเรื่องยูกิ ทั้งเรื่องที่สนุกสนานตามประสาผู้หญิง นั่งเรียนข้างกันทุกครั้ง เวลาว่างก็จะชวนไปกินข้าว พวกเธอทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทจนใครหลายคนยังพูดเป็นเสียงเดียว ซึ่งยูกิเองก็ดีใจที่เห็นทั้งสองซี้กัน

 

 

 

มายุปาดเม็ดเหงื่อที่ติดตามไรผม

 

 

 

แต่ครั้งนี้ที่ชิมาซากิเข้ามาคุยกับเธอมันต่างออกไป แววตาของคนตรงหน้าที่มองมายังเธอ มันไม่เหมือนเดิม ทำไมถึงได้มองราวกับกำลังสงสารเธอ

 

 

 

ทุกอย่างบิดเบือน

 

 

 

“อื้ม… ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

 

ไม่ได้อยากให้ใครมาสนใจอะไร เธอดูแลตัวเองได้ เธอจะอยู่คนเดียว ในห้องนี้ บ้านนี้ เธอไม่เป็นอะไร

 

 

 

เธอจะเป็นคนดูแลยูกิ

 

 

 

“มายุซัง ฉันเข้าใจนะ”

 

 

 

“เธอจะเข้าใจอะไร?!”

 

 

 

“เข้าใจว่าคุณนั้นโง่ไงคะ”

 

 

 

“…”

 

 

 

“สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้คือไม่ว่าจะทำยังไง เขาก็ไม่มีวันกลับมาค่ะ…”

“ลืมตามามองความเป็นจริงเถอะ มายุซัง”

 

 

 

“ไม่มีวันกลับมา?”

 

 

 

“คุณทำแบบนี้ได้ไม่ตลอดหรอก”

“ถ้างั้นฝากความคิดถึงให้ยูกิซังด้วยนะคะ”

 

 

 

“อย่าทำเหมือนฉันเป็นตัวตลกได้ไหม”

 

 

 

มายุแค่นหัวเราะในลำคอ

 

… มันเป็นแบบนี้เอง

 

แบบนี้เอง…

 

 

 

“ไร้ค่ามากเลยค่ะ มายุซัง”

“ตัวคุณน่ะ”

 

 

 

พารุ… ที่เธอมาหาวันนี้ มันเพราะอะไร สงสาร ห่วงใยหรือสมเพช อย่างไหนกันแน่?

 

 

 

“แบบนี้ดีแล้วเหรอคะ?”

 

 

 

ยูกิ ห้องนี้กว้างจังเลยเนอะ ทั้งกว้างและว่างเปล่าจริงๆ

 

 

 

เธอคิดแบบนั้นเหมือนกันใช่มั้ย ก็ห้องนี่น่ะเป็นห้องที่เราอาศัยอยู่ด้วยกัน… ตอนนี้มันไม่เหลืออะไรแล้ว

 

 

 

เด็กสาวไม่ได้ลืมอะไรไปแต่เธอกำลังบิดเบือนและสร้างภาพทุกอย่างให้กลับคืน

 

 

 

“อย่าลืมความผิดบาปของตัวเองนะคะ”

 

 

 

รู้อยู่แล้วล่ะ รู้อยู่เต็มอก… ว่าต่อให้ร้องไห้ให้ตาย กรีดร้องให้ดังแค่ไหน เธอคนนั้นก็จะไม่มีวันได้ยิน ไม่มีวันได้เห็นหน้าเด็กสาวอีก พวกเธอทั้งสองจะไม่มีวันได้สวมกอดกัน ไม่มีวันที่จะได้บอกรักเป็นครั้งที่สอง ยูกิที่เก่งเรื่องครัวเรือน คอยทำอาหารเช้าให้ตลอด แต่ตอนนี้ข้าวของใช้ทุกอย่างมันกลับยังอยู่ที่เดิมก็เพราะมายุไม่อยากแตะต้องมันเพราะกลัวภาพของเธอที่อยู่ที่นี่มันจะมันสลายหายไป

 

 

 

ความคิดเหมือนเด็กๆ

 

 

 

ยูกิที่กำลังไปซื้อของ บอกเธอว่าเดี๋ยวจะรีบกลับมา

 

 

 

คำหลอกลวงแสนโง่เง่า

จากตัวเธอเอง

 

 

 

ชิมาซากิถึงได้ขอกลับไปก่อนโดยที่ไม่รอพบหน้าพี่สาวที่ตัวเองรัก พารุรู้ว่ามายุกำลังเป็นอะไรและคงทนรับไม่ได้กับความน่าสมเพชนี้

 

 

 

พารุรู้อยู่แล้วว่าจะไม่มีใครกลับมาที่นี่

 

 

 

เพราะคนที่เด็กสาวเรียกว่าแม่หรือคนรักไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว-

 

 

 

คาชิวากิ ยูกิไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้ ไม่ได้อยู่เคียงข้างเด็กสาว ไม่ได้อยู่เคียงข้างคนตัวเล็กอีกต่อไปและเธอจะไม่มีวันกลับมา

 

 

 

“นี่ มายุ…”

 

 

 

ทำไมมันถึงต้องกลายเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจเลย

 

 

 

ยูกิ กลับมาเคียงข้างกันอีกไม่ได้เหรอ…

 

 

 

ต่อให้ต้องก้มหัวขอร้องเธอ ต้องรั้งเธอไว้แค่ไหนก็จะทำ เธอเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ เธอคือทุกอย่าง

 

 

 

ยูกิ

 

 

 

ทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ ฉันคิดถึงเธอ คิดถึงเธอเหลือเกิน

 

 

 

“มายุซังถามฉันทำไมไม่ร้องไห้… ฉันจำเป็นต้องร้องด้วยเหรอคะ?”

 

 

 

ยูกิ

ยูกิ

 

 

 

“สุขสันต์วันเกิดน้ามายุ~” ยูกิถือเค้กก้อนโต ด้านบนประดับด้วยผลไม้นานาชนิดสีสันสดใส ตรงกลางเขียนตัวเลขอายุครบรอบของเธอ มันคงจะไม่น่าอายเท่าไร หากเจ้าตัวไม่ทำรูปหัวใจดวงโตซะกลางเค้กเป็นแบล็คกราวน์ชื่อของเธอขนาดนี้ เซอไพรส์สุดน่ารักจากยูกิหลังเธอกลับมาจากการเรียนอันหนักหน่วง เปิดประตูมาก็เจอกับคนตัวสูงถือเค้กร้องเพลงให้ซะแล้ว เห็นแบบนั้นก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ “เป่าเค้กๆๆ กันนนน” คนสูงกว่าเร่งเร้า

 

 

 

“รู้แล้วๆ” สาวเท้าเข้าใกล้เค้กในมืออีกคน ก้มตัวลงจะเป่าเทียนที่ส่องแสงสว่างไสวในห้องมืด แต่ก่อนจะได้เป่า อีกฝ่ายก็แกล้งเอานิ้วจิ้มที่เค้กป้ายเข้าหน้ามายุอย่างจริงจัง มายุเผลอร้องลั่นที่ถูกกลั่นแกล้งไม่ทันตั้งตัว มิวายอยู่เฉยทำแบบเดียวกันกลับใส่ยูกิจนกลายเป็นสงครามเค้กขนาดย่อม แม้จะผลไม้บนหน้าเค้กจะลงกระเพาะทั้งสองแต่เนื้อครีมทั้งหลายนั้นเหมือนจะเอามาเล่นสนุกจนเลอะเทอะไปหมด

 

 

 

เมื่อมองหน้ากันก็ต้องขำกับสภาพของอีกฝ่ายที่ไม่ต่างกันมากนัก ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้กิน แต่การที่ได้อยู่ร่วมวันเกิดกับคนรักของเธอนั้นมันก็ทำให้เธอมีความสุขมากพอ

 

 

 

มันไม่จำเป็นต้องหรูหรา มันไม่จำเป็นต้องดูดี มายุขอแค่ยูกิเท่านั้นแค่ได้อยู่กับยูกิ

 

 

 

ใช่ นั่นคือคำอธิษฐานในวันเกิดของวาตานาเบะ มายุ

 

 

___

 

 

 

“ทำไมล่ะยูกิ… สัญญากับฉันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

 

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเร็วราวกับโกหก เกิดเหตุการณ์ที่เธอไม่เคยได้นึกคิดมาก่อน เหตุการณ์ที่ทำให้เธอปวดร้าวหน่วงไปทั้งจิตใจและเจ็บปวดที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมา

 

 

 

คนรักของเธอ…

 

 

 

คาชิวากิ ยูกิ

 

 

 

เสียชีวิตลง

 

 

 

 

ไม่ยุติธรรมซักนิดเพราะต่อให้รักแค่ไหน อ้อนวอนขอให้เธออยู่ยังไง แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อีก ก็เพราะยูกิน่ะ…

 

 

 

ตายจากเธอไปได้ครึ่งปีแล้ว

 

 

 

“ฉันจะอยู่กับมายุนะ”

 

 

 

ยูกิจากไปโดยไม่พูดอะไรกับเธอซักคำ จากไปทั้งที่เธอไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ อยากจะหัวร่อให้ตัวเองจริงๆ เพราะอีกคนจากไปโดยทิ้งเพียงจดหมายงี่เง่าฉบับหนึ่งที่พารุนำมาให้เธอหลังห้องไฟหน้าห้องฉุกเฉินดับลงเท่านั้น จดหมายงี่เง่าที่อยากจะเขวี้ยงทิ้งไปไกลๆ จดหมายบ้าๆ ที่ไม่อยากที่เปิดขึ้นมาอ่าน อยากจะฉีกทิ้งและกองไว้ตรงนั้น เพราะตรงกลางซองกระดาษนั่นมันสลักทุกอย่างไว้ชัดเจนเกินไป มันเกินทนกว่าที่เธอรับไหว

 

 

 

“ขอโทษนะมายุ”

 

 

 

แทบล้มทั้งยืน มายุกรีดร้อง ร้องไห้เหมือนเป็นคนบ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัด ปากพร่ำตะโกนเรียกชื่อยูกิไม่หยุดหย่อน เธอไม่อายสายตาใครทั้งนั้น พารุกอดประครองเธอไว้แน่น เด็กสาวปล่อยน้ำตาไหลอาบลงปกคอเสื้อคนหน้านิ่งที่แม้แต่สถานการณ์นี้ยังเพียงแค่น้ำตาซึม เธอกำจดหมายที่ถูกทิ้งไว้เป็นของดูต่างหน้าของคนรักจนยับยู่ยี่ เธอไม่อยากจะเปิดมันขึ้นมาอ่าน ไม่มีความคิดแบบนั้นแม้แต่น้อย

 

 

 

ยูกิ… แบบนี้ไม่เอานะ

 

 

 

เพียงได้แต่คิดว่าทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ นั่งเฝ้าเว้าวอนขอให้เธอฟื้น ขอร้องให้เธอรีบตื่นขึ้นมาคุยกันเหมือนเดิม ตื่นมาเล่นเกมโจรสลัดที่เธอกลัวนักกลัวหนาจนต้องคอยมาหลบอยู่ข้างหลังฉัน ตื่นมากอดร่างของฉันที่เธอมักบอกเสมอว่าชอบ จะไม่โกรธที่เธอแอบกินไอติมในตู้เย็นแล้วนะ จะตื่นเช้ามาช่วยเธอทำอาหาร จะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น เวลาเธออยู่กับฉันจะได้มีความสุขกว่านี้ไง

 

 

 

ขอโอกาสแก้ตัวนะ ยูกิ

 

 

 

เพราะงั้นลืมตาขึ้นมาสิ

 

 

 

เธอจะจากไปแบบนี้ไม่ได้นะ จะทิ้งฉันไว้ลำพังแบบนี้ได้ยังไง ยัยคนโกหก สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอจะอยู่ข้างๆ ฉัน

 

 

 

“ฉันฝันว่ายูกิทิ้งฉัน”

 

 

 

ถ้าสิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้ามันเป็นเพียงความฝัน มันก็คงเป็นฝันที่โหดร้ายที่สุด

 

 

 

แต่หากเป็นเพียงความฝัน ทำไมถึงเจ็บปวดแบบนี้

 

 

 

ยูกิ เธอยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าฉันรักเธอแค่ไหนเพราะงั้นช่วยตื่นขึ้นมาฟังทีสิ

 

 

 

ฉันรักยูกินะ รักเหลือเกิน

 

 

 

เพราะงั้นกลับมาเถอะ

 

 

 

รัก

รัก

รัก

 

 

 

สุดท้ายจดหมายฉบับนั้นมายุก็ยอมอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

 

สิ่งสุดท้ายสิ่งเดียวที่คนสำคัญของเธอได้เหลือเอาไว้

 

 

___

 

 

 

“ไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันหรอกค่ะ”

 

 

 

เด็กสาวในชุดขาวสะอาดนั่งกัดเล็บฟังผลการตรวจจากหมอสาวที่จ้องเธอสลับไปมากับพารุที่อยู่ข้างเธอ

 

 

 

“คุณหมอจะรักษาใช่มั้ยคะ?” พารุถามหมอสาว

 

 

 

“แน่นอนค่ะ คนที่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนจะระแวงกลัวมันจะเกิดขึ้นอีก หมอจะให้ยาไปทานนะคะจะได้ดีขึ้น”

 

 

 

“ขอบคุณนะคะ ทีแรกนึกว่าเป็นอะไรหนักซะแล้ว”

 

 

 

“มันเกิดจากความกลัว ความเครียดสะสมน่ะค่ะ ร่างกายเลยแสดงออกมาแบบนั้น”

 

 

___

 

 

“ถ้าอยากเจอเขาอีกก็ลบฉันและสิ่งที่เคยเกิดขึ้นสิคะ”

“จะได้พบเขาอีกครั้งไง”

 

 

 

ภายในห้องที่มืดมิด ได้ยินเพียงแต่เสียงกระหืดกระหอบจากคนๆ เดียวคล้ายกับคนเพิ่งไปวิ่ง

 

 

 

อา

 

 

 

คนรักของเธอจะไม่ได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง

 

 

 

เธอจะไม่กลับมายังโลกใบนี้อีกต่อไป

 

 

 

มันเป็นเพียงการกระทำชั่ววูบที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ มันเป็นการกระทำที่เธอไม่ทันรู้ตัว ทั้งเธอและคนรัก

 

 

 

เธอปฏิเสธภาพที่เกิดอยู่ตรงหน้าว่าไม่ใช่ฝีมือเธอทั้งที่หลักฐานมันก็แสดงให้เห็นอยู่ชัดเจน

 

 

 

มายุกำมีดที่ตัวเองถือไว้แน่น มองร่างไร้วิญญาณที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ไร้ซึ่งความวิตก ไร้ซึ่งความเศร้า ความรู้สึกไร้ผิด ใบมีดคมโชกด้วยเลือดไปถึงด้าม น้ำข้นสีแดงเข้มกระเซ็นไปทั่วห้องรวมถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มายุสวมใส่ก็เปื้อนไปด้วยเลือดเช่นกัน มายุเช็ดปาดเลือดที่เปรอะใบหน้าเธอก่อนปล่อยทิ้งมีดให้ร่วงหล่นลงพื้นข้างศพ เธอปล่อยเสียงหัวเราะคิกคักต่อหน้าคนรักและทรุดตัวลงเข้ากอดร่างที่นอนแน่นิ่ง เธอกระซิบกระซ่านใส่หูคนตรงหน้า คนที่จะไม่มีวันได้ยินเธออีก

 

 

 

“ยูกิ ฉันขอโทษ”

 

 

 

มันไม่ใช่ความจริงที่วาตานาเบะ มายุแทงคาชิวากิ ยูกิโดยไร้ความปราณี มันไม่ใช่เรื่องจริงหรอก ทุกอย่างมันก็แค่หลอกลวง จริงๆ แล้วยูกิยังมีชีวิตอยู่ ต้องมีอยู่แน่ๆ

 

 

 

ในเสี้ยวความทรงจำซักแห่งยังมีชื่อของยูกิอยู่บนโลก

 

 

 

ก็แค่บิดเบือนมันอย่างที่เคยทำ เพื่อรักษาตนเองกับสภาพจิตใจที่อ่อนแอ

 

 

 

มายุหยิบมีดเล่มเดิมที่ทิ้งไว้ข้างลำตัว เธอทาบโลหะแหลมคมลงบนคอของอีกฝ่ายที่นิ่งงัน ริมฝีปากของมายุขยับเป็นคำพูดที่ไม่อาจเข้าใจได้ มือของเธอสั่นรน หากเธอลงแรงเพียงนิดเดียวใบมีดนั้นจะปาดลึกเข้าคอได้อย่างง่ายดาย มายุปล่อยน้ำตาตัวเองให้ไหลรวยรินตามแก้มทั้งสองข้าง เธอเศร้าโศกโดยที่เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังเป็นอะไร เธอรู้เพียงแต่ว่าเธอไม่ควรอยู่ที่นี่ เป้าหมายความแหลมคมของมีดนั้นได้เปลี่ยนมายังคนที่ถือมัน เธอหลับตาลง จ่อมีดที่คอหอย พร้อมจะจบชีวิตตนเองแต่ก็ต้องชะงักและตกใจเมื่อปลายคมแหลมของใบมีดที่กำลังพุ่งเข้าที่คอหอยนั้นหยุดลงกะทันหัน เมื่อเธอเปิดเปลือกตาก็พบกับยูกิที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแม้จะดูซีดเซียวลงไปมากก็ตามที

 

 

 

ยูกิเป็นคนหยุดมีดเล่มนั้น

 

 

 

“ยูกิ…”

 

 

 

ณ ตอนนั้นยูกิยังมีลมหายใจอยู่ปกติถึงแม้จะรวยรินแต่บาดแผลที่ได้รับไม่ใช่บาดแผลที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในทันที แน่นอนมายุรู้เรื่องนี้ดี

 

 

 

เพราะเธอเป็นคนโทรแจ้งรถพยาบาลด้วยตนเองและเป็นคนไปส่งยูกิรวมถึงเฝ้ารอพารุอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน

 

 

 

เธอภาวนาขออย่าให้คนรักเป็นอะไร เธอพร้อมยอมทุกอย่างขอแค่แลกชีวิตยูกิ

 

 

 

“ยูกิซังไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”

 

 

 

ถึงอย่างนั้นยูกิก็เสียชีวิตลงด้วยฝีมือของเธอ ซึ่งมันเป็นความจริงอันแสนโหดร้ายและเป็นความจริงที่เธอไม่สามารถหนีมันได้

 

 

 

เธอป่วย

 

 

 

มันกำลังหนักขึ้นทุกที

 

 

 

และเธอต้องการตาย เพราะเธอไม่อยากทำร้ายคนที่เธอรักไปมากกว่านี้

 

 

 

ทำไมยูกิถึงไม่ปล่อยเธอซะ ทำไม?

 

 

 

บนโลกใบนี้มีอะไรที่จริงบ้าง… ยูกิเคยรักฉันครั้งหนึ่งจริงๆ ใช่ไหม ฉันเคยเป็นคนรักของเธอด้วยใช่ไหม ตอนนั้นเรามีความสุขดีใช่รึเปล่า ได้ยิ้มออกมาอย่างธรรมชาติ ได้กระซิบบอกรักและทำเรื่องแบบนั้นเหมือนคนรักทั่วไปใช่หรือเปล่า?

 

 

 

ฉันเสียใจเหลือเกินยูกิ กี่ครั้งแล้วที่เธอถูกทำร้ายเพราะฉัน

 

 

 

 

 

ขอโทษนะมายุ

 

ขอโทษจริงๆ

 

 

 

ฉันน่ะนะอยากอยู่กับมายุที่สุดเลยก็เธอเป็นเด็กน้อยของฉันนี่ ขาดฉันไปจะดูแลตัวเองได้ยังไงล่ะ เนอะ… ฉันอยากจะเป็นคนสำคัญของมายุอันดับหนึ่งแต่ฉันไม่รู้ว่าสำหรับมายุฉันจะเป็นคนนั้นได้หรือเปล่า ทั้งๆ ที่คิดแบบนี้แท้ๆ ไม่รู้ทำไมในความรู้สึกดีๆ ของฉันมันกลับมีความกลัวแฝงอยู่ด้วย ฉันไม่รู้จริงๆ

 

 

 

อ่ะ

 

 

 

รู้แล้วล่ะ

 

 

 

สงสัยเพราะเธอน่ะ…

 

 

 

น่ากลัวยังไงล่ะ

 

 

 

มายุ

 

 

 

ฉันรู้ว่าเธออาจจะฆ่าฉันก็ได้

 

 

 

ซึ่งเธอคงจะฆ่าฉันซักวันจริงๆ แต่ไม่เป็นอะไรหรอก หากเป็นเธอแล้วล่ะก็…

 

 

 

ฉันรักมายุ

 

 

___

 

 

 

ภายในห้องสีขาวมีเพียงโต๊ะทำงานที่วางด้วยเอกสารน้อยนิด หมอสาวเปื้อนยิ้มมองหน้าผู้ป่วยที่นั่งตาลอย มีเพียงชิมาซากิ ฮารุกะที่สนทนาโต้ตอบกับคุณหมอสาวคนเดียว

 

 

 

“รีบรักษาตอนนี้ก็ยังดีกว่าปล่อยไปสินะคะ” พารุถามหมอสาวอีกครั้ง

 

 

 

“ค่ะ”

 

 

 

“แล้วอาการเดิมก่อนหน้านี้ล่ะคะ?

 

 

 

คุณหมอ”

 

 

 

“บิดเบือนมันไปสิคะอย่างที่คุณทำมาตลอด คุณที่รับความจริงไม่ได้จนต้องใช้วิธีการโกหกมาทั้งชีวิต สร้างทุกอย่างขึ้นจากความทรงจำ หนีจากความผิด หลอกลวงตัวเองเพื่อรักษาจิตใจ ทำแบบนั้นต่อไปคุณจะได้พบกับเค้าและจมปลักอยู่กับห้องแคบๆ ถ้าแบบนั้นก็ดีหากเป็นสิ่งที่คุณต้องการ…

 

 

 

วาตานาเบะซัง

 

 

 

ฉันช่วยคุณเท่าที่ทำได้… ตามที่ยูกิซังขอเท่านั้น

 

 

 

__________

 

 

จง งง แรง! ต้องมีคนด่าแน่ๆ เราเขียนอะไร

เรื่องนี้เขียนไว้นานมากแต่ทิ้งลืมเพราะเขียนแล้วสับสน555 … ยำมายุแหลกเลยค่ะ *วิ่งหนีโดยเร็ว

 

ตอบปัญหาเล็กน้อยที่อาจสงสัย

ว่าแล้วเชียว
บริบทชวนคิดมากเลยว่ายูกิไม่ใช่คน -.-“

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆค่ะ ^^

ใช่งง5555555แต่ก็รู้เรื่องล่ะนะ
คือเป็นฟิคที่มีความรู้สึกหลากหลายอ่ะะ
ทั้งน่ารักทั้งหดหู่55555555

มึนตึ้บแต่เข้าใจค่ะ55555555

น่ารักปนเครียด+เครียดมากกก อ่านไปขมวดคิ้วไป-.- แบบอ้าว!ยูกิตายแล้ว อ่านต่อลงมา ชิบละไหงมายุฆ่ายูกิล่ะเห้ยย0.0

สรุป ย้วยมันไม่ปกติตั้งแต่ยูกิมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ยคะ พี่กิรินนี่แม่พระไปละค่ะ ใจดีมากกกT^T 

 

-ขอบคุณที่แต่งOne-Shortเรื่องนี้นะคะ-

งงตับเลยค่ะ ตอนแรกมาดราม่า กลางๆแฮปปี้หวานกำลังดี ท้ายมา ห๊ะอะไร

ตกลงยูกิตายเพราะมายุแทงยูกิ สาเหตุเกิดจากความเครียด?
#กลั่นกรองจากสมองอันกลวงของรีดเดอร์คนนึง

อ่านแล้วเวียนหัว+งงด้วยล่ะนะ อ่านไปคิดตามไป
แอบคิดเหมือนกันว่าเป็นวันช็อตที่ยาวจุง…

เอ๊ะใจตรงประโยคที่มายุพูดถึงยูกิกับพารุนี่แหละค่ะ
แล้วก็ว่าแล้วววววววววววววววว!!
ฮรืออออออออออออ เศร้า เศร้าเกินไปแล้วค่ะ T________T

จ้าาาาาาาา…….

เป็นเรื่องที่เศร้านะคะ TT^TT 

แวะเข้ามามอยเรื่องมายุนิดนึง

คือเราใส่คำๆนึงเข้าไปในเรื่องด้วยแต่มันยังคงไม่น่าทำให้สะกิดใจ… นี่แอบคิดไซด์สตอร์รี่มายุไว้ด้วยแต่ก็ได้แค่คิด ไม่เขียน *โดนตรบ

 

ที่เราบอกว่ายำนางซะเละเพราะว่า…

Spoiler