[Fic] [PG] Penitence (YuiParu) | Chapter9 [END] 2015.06.25

 

Penitence

Chapter 1  Chapter 2  Chapter 3  Chapter 4

Chapter 5  Chapter 6  Chapter 7  Chapter 8  Chapter 9 [END]

 

 

 

 

* ขอบอกก่อนค่ะ เรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านบุคคลที่หนึ่ง มีการบรรยายใช้คำว่า ‘ฉัน’

 

 

 

_____________________________

 

 

Chapter 1

 

ในช่วงวัยนี้เป็นอีกหนึ่งช่วงที่จะเกิดการพลิกผันในชีวิตครั้งใหญ่ หากพูดถึงเรื่องการงานคงหมายถึงความมั่นคง บางคนก็เลือกที่จะหาคู่ชีวิตซักคนและเข้าวิวาห์แต่งงานอย่างรวดเร็วเพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด

 

 

 

แต่ฉันไม่เคยสนใจเรื่องแบบนั้น

 

 

 

ชายหนุ่ม

ความรัก

 

 

 

… มันไร้สาระเกินไป

 

 

 

หากแค่ต้องการความสุขทางกายก็หาคู่นอนดีๆ ซักคน ระบายความใคร่ ระบายความต้องการออกมาดังสมใจอยาก

ไม่ต้องยึดติดอะไรเป็นพิเศษ

 

 

 

ได้ความสุขทั้งสองฝ่าย ทั้งเขาและเรา

แบบนี้ก็ได้เหมือนกัน…

 

 

 

ใช่มั้ยล่ะ?

 

 

 

เสียงหายใจครวญครางจากริมฝีปากสวยที่อยู่เบื้องล่างบ่งบอกถึงความสุขที่เอ่อล้น ฉันก้มสัมผัสเสื้อเชิ้ต ปลดกระดุมอย่างลวกๆ ให้พอสอดมือเข้าไปได้ง่าย

มือบีบรัดเคล้นคลึงหน้าอกอีกฝ่ายให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่าน เธอคนนี้เหมือนจะชอบใจเป็นอย่างมากกับการถูกกระตุ้นอารมณ์อย่างต่อเนื่อง

เธอพยายามเกาะแกะถอดเสื้อฉันพลางหอบหายใจถี่ ฉันปัดมือเธอออกและกดแขนทั้งสองลงกับเตียงนุ่มภายในห้อง

ขบเม้มซอกคอจนเกิดสีแดงระเรื่อ เธอใต้ล่างส่งเสียงครางในลำคอเย้ายวน รีบโอบรัดรอบคอราวกับกลัวฉันหายไปไหน

ฉันยิ้มมุมปากให้กับความสนุกสนานยามราตรีนี้

เป็นอีกคืนที่จะได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นมาแสนนาน

โดยที่คนตรงหน้า

 

 

 

ไม่ใช่คนรักของฉันแต่อย่างใด

 

 

 

 

 

 

“จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไหร่” ฉันมองหญิงสาวที่เปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มหนาสีขาว โดยที่ยังไม่เห็นวี่แววอีกฝ่ายจะลุกขึ้นแต่อย่างใด จนต้องเดินไปสะกิดไหล่แรงๆ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อคนที่อยากจะปลุกนั้นกลับทำเพียงพลิกตัวไปอีกด้านและนอนต่อ ฉันจิ๊ปาก ในใจเริ่มพาลหงุดหงิด

“บอกให้ตื่นได้แล้ว!” ว่าพลางลากคนที่นอนอยู่บนเตียงให้เกือบหล่นลงพื้นถึงจะยอมลุกขึ้นนั่งขยี้ตาหันมองเขม่นฉันอย่างเสียอารมณ์

 

 

 

อา… ดีจริงๆ ความสัมพันธ์ฉันกับผู้หญิงตรงหน้าที่แสนน่ารังเกียจคนนี้

 

 

 

“ไปอาบน้ำแล้วรีบกลับซะ ก่อนที่แฟนเธอจะมาที่ร้านฉัน” ฉันว่าพลางยิ้มบุหรี่มวนนึงขึ้นคาบไว้ที่ปากและจุดไฟที่ปลายมวน ดูดเอาสิ่งเสพติดที่ทำให้จิตใจสบายเข้าปอดอย่างไม่คิดอะไรมาก

 

 

 

“กับฉันนี่โหดจริงๆ เลยนะ” หญิงสาวที่ยังนั่งอยู่บนเตียงบ่นกระปอดกระแปดก่อนที่ฉันจะโยนผ้าเช็ดตัวให้ จนอีกคนต้องยอมพาร่างนั้นหนีหายเข้าห้องอาบน้ำอย่างว่าง่าย โดยไม่ลืมที่จะส่งสายตาไม่พอใจกลับมา

 

 

 

ฉันหัวเราะในลำคอ

 

 

 

แล้ว… ผู้หญิงแบบเธอ ฉันจำเป็นต้องใจดีด้วยหรือเปล่าล่ะ?

 

 

 

ฉันมองกลุ่มควันที่ตัวเองพ่นผ่านริมฝีปากอย่างสบายใจ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งมากกว่าการขลุกตัวเองอยู่ในห้องกับหญิงสาวอีกคน แม้จะรู้ว่าไม่ดีแต่ก็หาได้ใส่ใจ

เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่ใกล้ถึงเวลาเริ่มงานก็ต้องรีบดับบุหรี่ที่ยังหมดไม่ถึงครึ่งและเดินกลับเข้าห้องนอน เตรียมคีย์การ์ด เสื้อโค้ท ที่เหลือก็แค่รอไล่คนที่ยังอยู่ในห้องอาบน้ำกลับบ้านไปโดยเร็วที่สุด

ฉันหรี่ตามองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่ปรากฏแม้แต่เงาของดวงอาทิตย์

 

 

 

ฉันยิ้มอย่างตื่นเต้น แต่ ไม่ใช่เพราะการที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งสาง

 

 

 

 

 

 

“จะมาหาอีกนะ” หญิงสาวยิ้มตาปิดอย่างน่ารัก ฉันเบนสายตาไปทางอื่นแบบไม่รู้สึกรู้สาและหันหลังให้พร้อมเดินแยกจาก

 

 

 

“ไปเคลียร์กันดีๆ เถอะกับเพื่อนฉันน่ะ” ฉันพูดอย่างหงุดหงิดเมื่ออีกคนเดินเข้ามาเกาะแขนไม่ยอมไปเสียที

 

 

 

“ยุยนี่ใจดีจังนะ” ฉันสะบัดแขนออกด้วยท่าทีรำคาญก่อนทำมือโบกไปมาเป็นสัญญาณไล่อีกคนให้กลับไปเร็วๆ จนเมื่อเห็นอีกคนยอมเดินไปดีๆ จึงตั้งหน้าตั้งหน้าตั้งตากระชับเสื้อโค้ทตัวเองและเดินข้ามไปอีกฝั่ง เมื่อเดินต่ออีกพักนึงก็เลี้ยวเข้าตรอกซอยเล็กๆ เข้าทางประตูหลังของร้านๆ หนึ่งอย่างที่ทำประจำ

 

 

 

หยิบกุญแจมาไขและดันประตูเข้าไป

ดูท่าเพื่อนตัวแสบจะยังไม่มา

 

 

 

แต่ไม่นานเกินรอหลังจากเข้าไปทำความสะอาดร้านและเตรียมตัวนิดหน่อยสำหรับการเปิดร้านก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยจากผู้มาใหม่คละกับเสียงเหนื่อยหอบหายใจจากการวิ่ง

 

 

 

“ไง โทษทีที่มาช้า” ฉันมองตามเพื่อนสนิทที่บัดนี้รีบวิ่งเข้ามาหน้าตื่น รีบจัดการตัวเองก่อนจะตรงมายังที่ที่ฉันยืน “เดี๋ยวฉันเปิดหน้าร้านให้เอง” ฉันพยักหน้าเมื่อหันมองนาฬิกาเรือนใหญ่ภายในร้าน

 

 

 

อีกหนึ่งนาทีกว่าๆ

 

 

 

ฉันยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์จัดขนมหวานภายในตู้ให้น่ารับประทาน

 

 

 

ภายในร้านก็เริ่มมีกลิ่นกาแฟหน่อยๆ เมื่อเริ่มลงมือทำแก้วแรกสำหรับของตัวเองในวันนี้ ฉันมองน้ำสีดำที่ถูกบรรจุอยู่ในภาชนะยกขึ้นมาสูดดมรับความหอมหวานก่อนลงมือดื่มมันอย่างที่ทำทุกเช้า

 

 

 

ฉันมองตามแผ่นหลังเพื่อนสนิทที่ทำงานอย่างกระฉับกระเฉง เปิดประตูหน้าร้านหันป้ายที่เขียนว่า Close เป็น Open รวมถึงกวาดสายตามองรอบร้านที่บัดนี้จัดอยู่ในสภาพพร้อมรับลูกค้าทุกเมื่อ แต่เช้าแบบนี้ยังไม่ค่อยมีลูกเค้าเสียนักหรอก

 

 

 

เพียงแต่ว่า…

 

 

 

ฉันยิ้มให้กับกาแฟในมือตัวเองและเงยหน้ามองประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับฟังเสียงกระดิ่งยามเมื่อสันขอบประตูกระทบ ปรากฏร่างของผู้มาใหม่ประจักษ์สู่สายตา

 

 

 

ถึงจะเช้าแค่ไหน แต่วันนี้เธอคนนั้นคือลูกค้าคนแรกของฉัน

 

 

 

เด็กน้อยเดินเข้ามาท่าทีคุ้นชิ้นกับสถานที่ ฉันมองตามเธอที่กำลังเดินตรงไปยังโต๊ะในสุด เบาะที่นั่งอยู่ติดริมกับกระจกใสบานใหญ่หน้าร้าน ซึ่งเป็นมุมประจำของเธอ ฉันคลี่ยิ้มบาง

ถ้าปกติทั่วไปแล้ว ครั้นเห็นลูกค้าเข้ามานั่งเฉยๆ คงแอบส่งสายตาไม่พอใจไปให้เพราะร้านไม่มีบริการเดินถามหาออเดอร์ลูกค้า แต่จะให้ลูกค้าเดินมาสั่งที่เคาน์เตอร์เอง หากมีคิวหรืออยากนั่งดื่มสบายๆ ก็สามารถหาโต๊ะนั่งตามที่จัดได้แม้ร้านไม่ได้ใหญ่โออ่าอะไร

 

 

 

แต่เธอเป็นข้อยกเว้น

 

 

 

เมื่อฉันเหลือบมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่ริมสุด สิ่งที่สังเกตเห็นมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาคือการกระทำเดิมๆ ของเจ้าตัว

เธอมองออกไปนอกกระจกบานใหญ่นั้นพร้อมกับสายตาอันล่องลอยราวกับคิดอะไรตลอดเวลา

ฉันยกเครื่องดื่มไปให้พร้อมกับขนมเล็กน้อย เมื่อวางมันลงก็พบกับดวงตากลมโตที่มองย้อนกลับมา

 

 

 

“โกโก้เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ” ฉันถามพลางวางแก้วในมือลงบนโต๊ะประหนึ่งรู้คำตอบที่จะตามมาอยู่แล้ว เธอพยักหน้า

 

 

 

ฉันวางมันลงพร้อมกับจานคุกกี้ในมือและนั่นทำให้เธอมองฉันอย่างไม่เข้าใจ

 

 

 

“เซอร์วิสต์พิเศษ” ฉันระบายยิ้มบนใบหน้าพร้อมจ้องเข้าในนัยน์ตาใสของอีกฝ่ายที่กำลังจะทำท่ายกมือขึ้นปฏิเสธ “เธอเป็นลูกค้าประจำของฉัน รับไว้เถอะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงปฏิเสธ ก็พยายามพูดโน้มน้าวต่ออีกสองสามประโยคจนยอมรับแต่โดยดี ฉันยิ้มให้กับความน่ารักของคนตรงหน้าที่กำลังนั่งเรียบร้อยคล้ายกับเด็กน้อยจนเผลอแอบหัวเราะในลำคอและก็ต้องขอโทษเมื่อรู้ว่าเป็นการเสียมารยาท

 

 

 

“ชอบร้านฉันเหรอ” ฉันถือวิสาสะชวนคุย เมื่อเห็นบรรยากาศโดยรอบไม่ได้อึดอัดและคนตรงหน้าก็เริ่มหยิบคุกกี้ในจานงับเข้าปาก โดยเริ่มที่คุกกี้ลายเด็กผู้หญิง เด็กน้อยพยักหน้าให้ฉัน “ฉันนั่งด้วยได้มั้ย?” เด็กน้อยพยักหน้าอีกครั้ง

 

 

 

ในตอนนี้ที่ยังเช้าเกินกว่าจะมีลูกค้า ฉันเหลือบมองเพื่อนร่วมงานที่ผ่อนคลายอยู่

 

 

 

มองคนตรงหน้าที่ไม่แม้แต่จะสบตากัน เมื่อก้มดูบนโต๊ะก็พบกับหนังสือสองเล่มกองอยู่ พร้อมกับกระเป๋าขนาดน่ารักที่คาดว่าใส่เครื่องเขียน

วันนี้มีเรียน?

 

 

 

ฉันครุ่นคิดครู่หนึ่ง

เรียนอยู่ที่ไหน?

 

 

 

“ทุกทีฉันนึกว่าเด็กจะชอบดื่มน้ำหวานๆ” ฉันชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบ ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่ออีกคนละสายตาหันกลับมามองอย่างไม่เข้าใจคำถาม “โกโก้หวานน้อยของโปรดใช่มั้ย?” ฉันถามต่อ เจ้าของผิวขาวเนียนก็ได้แต่ยิ้มบางรับ “คุกกี้นี่ก็แบบหวานน้อยนะ” เด็กน้อยมองคุกกี้ในมือตัวเองก่อนจะพยักหน้าให้ฉันอีกรอบ

“ฉันทำให้เธอเฉพาะ” ฉันพูดพลางสังเกตปฏิกิริยาอีกฝ่ายที่ไม่ทำอะไรนอกจากพยักหน้าและยิ้มให้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอพยักหน้าคล้ายขอบคุณและหันกลับไปมองนอกบานกระจกต่อ ฉันมองตามเธอออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าเธอคนนี้มองไปยังสถานที่ใดและเพราะอะไร

 

 

 

เด็กคนนี้ที่เข้าร้านมาก็จะนั่งแต่มุมเดิมๆ สั่งของเดิมๆ และไม่พูดไม่จา

 

 

 

ทุกครั้งที่ยิ้มก็เป็นเพียงยิ้มบางๆ จากริมฝีปากสวยนั่น ดวงตากลมโตที่คิดว่ามันควรจะเป็นเสน่ห์ของเด็กน้อย หากพอมองไปก็รู้สึกว่ามันเป็นสายตาที่ไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่ากระไร

 

 

 

ฉันขมวดคิ้ว ลอบถอนหายใจที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ริมทางเดินธรรมดาเท่านั้นและเช้าขนาดนี้แทบจะไม่มีคน

 

 

 

“กำลังมองอะไร” ฉันถามออกไป แม้คล้ายกับคำถามโง่ๆ เด็กน้อยกลับเพียงส่ายหน้าให้ฉันโดยไม่แม้แต่หันกลับมาสบตา ไร้เสียงจากคนตรงหน้าดังเดิม บางทีเธออาจจะสนุกกับการมองอะไรไปเรื่อย ฉันมองอีกคนที่กระชับผ้าพันคอให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อยบดบังริมฝีปาก ฉันดูตามมือเด็กน้อยแลเห็นผิวบางๆ นั่นพอทำให้เดาออกว่าคงเป็นขี้หนาวแม้ในร้านจะมีเครื่องฮีตเตอร์ที่ทำให้อุ่นพอสมควร

 

 

 

เมื่อเห็นคนตรงหน้าที่ยกดื่มโกโก้ร้อน จากจิบธรรมดาเป็นดื่มรวดเดียวหมดชวนทำเอาคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถามออกไป “เอาอีกมั้ย?”

และได้รับสัญญาณขอเพิ่มจากการผงกหน้าลงดังเช่นทุกครั้ง ฉันลุกขึ้นพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้เจ้าตัวอีกครั้งก่อนกลับไปที่เคาน์เตอร์ด้านใน

 

 

 

เพื่อนสนิทที่สังเกตว่าฉันกำลังเดินมาก็อาสาจะเป็นคนทำให้ แต่ฉันโบกมือเป็นการบอกไม่ต้องและลงมือทำเอง

 

 

 

“เด็กคนนั้นมาประจำเลยนะ” ฉันลอบมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางเตรียมแก้วและวัตถุดิบ “กี่เดือนแล้วหว่า” เห็นเพื่อนที่กำลังยกนิ้วขึ้นมานับกับหน้าครุ่นคิด ฉันรีบตอบให้โดยทันที

 

 

 

“สาม”

 

 

 

“โฮ่ จำแม่นจริง” ฉันขมวดคิ้วมองอย่างตำหนิเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มเอ่ยแซว “ไม่น่าเชื่อว่าจะใส่ใจเรื่องแบบนี้ด้วย”

 

 

 

“พูดมาก”

 

 

 

“เย็นชาจัง” จ้องเขม็งเพื่อนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร “นึกว่าแกจะตายด้านไปแล้วซะอีก”

 

 

 

“อะไร-“

 

 

 

“เรื่องความรักไง” ไม่ทันพูดจบก็ถูกแทรกด้วยเสียงร่าเริงจากเพื่อนข้างๆ ฉันถอนหายใจ

 

 

 

“เป็นลูกค้าประจำ ก็ต้องบริการดีๆ”

 

 

 

“เมื่อกี้ยังเห็นเข้าไปคุยด้วยอยู่เลย” เห็นเพื่อนสาวที่ยิ้มกวนประสาทก็อยากจะแกล้งทำโกโก้หกรดใส่หัว “เอาคุกกี้ไปให้เขาด้วย ไม่ยักจำได้ว่าร้านเรามีคุกกี้หน้าตาแบบนั้น” ฉันขมวดคิ้วพยายามไม่สนใจคำพูดของเพื่อนตัวดี

 

 

 

“หนึ่งในการบริการ”

 

 

 

“หืม~ งั้นเหรอ” ทำเสียงในลำคอสูง กอดอกพิงเคาน์เตอร์ “แกก็ไม่โง่เรื่องแบบนี้ซะทีเดียวนี่” ฉันหยิบแก้วโกโก้ตั้งใจเดินกลับเอาไปให้เด็กสาวที่นั่งเหม่อมองอยู่มุมร้านแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักชั่วครู่เมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนสาวเอ่ยในเวลาถัดมา “เด็กคนนั้นก็น่ารักก็จริงแต่ว่า… ไม่ควรยุ่งจะดีกว่านะ” ฉันกลับไปมองหน้าคนที่ยังพิงเคาน์เตอร์อย่างไม่เข้าใจความนัยสิ่งที่จะสื่อ เมื่อตั้งใจจะถามก็พบสีหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนสาวตัวดีที่ยังคงกอดอกอยู่อย่างนั้น จึงเดินออกมาและพับคำถามเก็บไป

 

 

 

ถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืน

 

 

 

ฉันวางแก้วลงบนโต๊ะเบาๆ พร้อมถามขอนั่งคุยต่อได้ไหม ซึ่งสาวเจ้าผงกหัวให้อย่างไม่ขัดขืน ฉันมองเด็กน้อยที่ยื่นมือทั้งสองยกเครื่องดื่มจากแก้วใบนั้นขึ้นและดื่มอย่างปกติ เมื่อละออกมาสายตาเด็กน้อยก้มลงมองสีของน้ำอย่างพินิจพิเคราะห์แต่ก็เป็นสายตาที่เลือนลอย จับจุดชัดๆ ไม่ได้ว่าเธอกำลังมองเฉยๆ หรือกำลังใช้ความคิด ฉันมองตามทุกกิริยาของเธอ แต่มันก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิมเมื่อเธอเบนสายตากลับไปมองด้านนอกอีกครั้งโดยที่ไม่สนใจฉันแม้แต่น้อย

 

 

 

โกโก้ปกติ แต่ครั้งนี้ใส่น้ำตาลลงไปมากกว่าทุกที แต่เมื่อไร้ปฏิกิริยาการตอบกลับก็ทำได้เพียงแค่นเสียงหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นเด็กที่เข้าใจยากสมกับบุคลิกและหน้าตา

 

 

 

“นี่ เด็กน้อย” ฉันเรียกอีกฝ่ายด้วยโทนเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จำได้แต่หากการเรียกแบบนี้อาจเป็นการเสียมารยาท แต่ฉันไม่สน เมื่อในสายตาของฉันเห็นเธอเป็นเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง อย่างน้อยก็อายุคงน้อยกว่า  “ชื่ออะไรเหรอคะ?” ถามออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าอีกคนจะตอบหรือเปล่า

 

 

 

ไม่สิ พูดให้ถูก

ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้านี้จะหันมามองถึงห้าวิมั้ย นึกแล้วก็แอบอยากขำขึ้นมาอีก

 

 

 

ฉันคลี่ยิ้มให้กับลูกค้าประจำ

ครั้นคิดไปก็เท่านั้นเมื่ออีกคนหันมามองฉันไม่นานก็หันกลับไป

ไร้เสียงการตอบกลับ อย่างน้อยก็แอบคิดเหมือนกันว่าจะยอมบอกชื่อ แต่สงสัยจะเป็นการคาดหวังที่มากเกิน ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากขำตัวเอง

 

 

 

“งั้นอายุเท่าไหร่แล้ว?” เหมือนคำถามนี้คงจะดีกว่าครั้งที่แล้วเมื่อเด็กน้อยหันกลับมา ฉันมองลึกเข้าไปนัยน์ตานั้น เด็กน้อยยกนิ้วเรียวขึ้นมาข้างหนึ่ง เธอชูนิ้วชี้และเปลี่ยนเป็นยกสองมือโชว์จำนวนนิ้วเพิ่มออกมาค้างไว้ซักพัก

 

 

 

ฉันมองหน้าอีกคน ในใจคิดไม่ตกปนสงสัย

สิบเก้า? จริงหรือ?

 

 

 

ฉันขมวดคิ้ว นึกว่าเด็กน้อยที่นั่งอยู่นี้จะเป็นมัธยมต้นเสียอีก แต่ก็ต้องเผลอยิ้มออกมาพอเห็นอีกฝ่ายเก็บกำปั้นนั้นไปแล้วหันไปมองด้านนอกต่อ เป็นเวลาเดียวกันกับเสียงกระดิ่งในร้านดังขึ้นพร้อมกับลูกค้ากลุ่มอื่นที่ทยอยเข้ามา ฉันไม่ได้เอี้ยวตัวหันกลับไปมองเพราะได้ยินเสียงเพื่อนสนิทของตนต้อนรับอย่างปกติ มองเคาน์เตอร์ที่ตอนนี้มีเพื่อนสนิทรอรับออเดอร์จากลูกค้าที่เข้ามาเมื่อครู่

 

 

 

ฉันโฟกัสเด็กคนตรงหน้า เด็กน้อยที่บริสุทธิ์คนนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งอยากรู้อะไรหลายอย่างให้มากขึ้น ทั้งๆ ที่สำหรับเธอ ฉันอาจเป็นคนแปลกหน้าและในสายตาฉัน เธอคือลูกค้าของร้าน

ราวกับเป็นความรู้สึกที่ผิดที่เกิดขึ้นมาในจิตใจ

ฉันจ้องมองเด็กสาวไม่วางตา

 

 

 

หน้าเหมือนตุ๊กตา สีผิวขาวอย่างกับเจ้าหญิง

 

 

 

เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้เลยนะ

ฉันเผลอลอบยิ้มมุมปาก

 

 

 

“โยโกยามะ ยุย” จดจ้องคนตรงหน้าที่ยังคงมองไปนอกบานกระจก  “ชื่อของฉัน”

 

 

 

การที่เธอเข้ามาร้านแห่งนี้มันเป็นเรื่องที่ปกติและคงเป็นกิจวัตรของเธอกับการมานั่งดื่มและเหม่อมองออกไปด้านนอก แต่วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากทุกวัน

 

 

 

กับเธอมันคงเป็นเรื่องไม่น่าใส่ใจ… แต่สำหรับฉัน

คือการที่ฉันได้คุยกับเธอเป็นครั้งแรก

 

 

 

 

เรื่องที่ฉันโง่ความรักอาจจะจริงดังที่ว่าเพราะฉันไม่เคยสนใจมันมาก่อน มองที่เคาน์เตอร์ที่บัดนี้เพื่อนสนิทกำลังจัดแจงทำเครื่องดื่มให้กับลูกค้าอยู่คนเดียว

 

แล้วถ้าหากฉันถามเรื่องนี้กลับไปบ้าง จะเป็นยังไงนะ?

 

 

 

หญิงสาวที่ฉันมอบไออุ่นพร้อมกับฟังเสียงครางที่เร่าร้อน

หญิงสาวที่แอบมาหาฉันยามวิกาล โผเข้ากอดอย่างไม่ฟังคำทักท้วง

หญิงสาวที่แลกลิ้นร้อนและกอดรัดฉันอย่างโหยหา

 

 

 

มันคือตราบาปของฉัน แต่ใช่มีความรู้สึกผิด

 

 

 

หญิงสาวที่แอบมีความสัมพันธ์ทางกายกับฉัน

ร้อนแรงจนหาคำใดเปรียบไม่ได้

 

 

 

คือคนๆ เดียวกับคนที่บอกว่าเป็นแฟนแกไง

 

 

 

ยามาโมโตะ ซายากะ

 

 

 

 

 

แบบนี้ฉันยังโง่อยู่ไหม?

 

 
 
 
 
________________________
 
เรื่องเรื่อยๆเอื่อยๆ คุณผู้อ่านอาจเบื่อได้
ไม่เคยเข้ามาอ่านฟิคที่เว็บนี้แบบจริงๆจังๆ ใครแต่งฟิคอยู่ไซโครมาได้นะคะ ตามไปอ่าน คือเห็นมีเยอะแล้วเลือกไม่ถูกเบย ;w;
 
สุดท้ายนี้ สวัสดีทุกคนค่ะw

ตกลงว่า เน่พลุ เป็นแฟนกัน
แต่พลุชอบมาหายุยเพื่อทำออกกำลังกายบ่อยๆ
อืมมมม
แย่แล้น!

ปล.เด็กคนนั่นจะเป็นใครละเนี่ย?

น่าสนุก ติดตามค่ะ

ยุยแทงข้างหลังเน่แบบนี้เลยหรอ จะโหดกันไปละ
แล้วเด็กคนนั้นเป็นใครกันหละเนี่ย

ยุยหักหลังเน่เหรอ
เน่เป็นแฟนพลุ?
พลุเป็นกิ๊กยุย?

รอต่อนะคะ

แต่เอ๊ะ กลับมาอ่านอีกรอบ
ร้อนแรง,ยิ้มตาปิด,แฟนเน่ ไม่น่าจะใช่พลุ น่าจะเป็นมิ้ว

พี่เน่มีแฟน
แต่แฟนพี่เน่มาอะไรอะไรกับปรี้ยุย
ปรี้ยุยเจอเด็กน้อย หืมมมมมมม น่าสนใจมากค่ะ ><

อื้มมมมมยุยนะยุยยรักเด็ก แต่ก้น่ารักจริงๆแหละเด็กน้อย
ซายาเน่รู้อยู่แล้วหรือป่าวนะ

เด็กน่ารัก ><
เรื่องนั้นเราจะไม่ยุ่ง…

ความสัมพันธ์สุดงงนี่มันคืออะไร!?

คือ… ยุยเน่เป็นเพื่อนกัน? ยุยแอบแซ่บแฟนเน่? ยุยชอบแอบมองเด็กคนนึงในร้าน?(ที่คาดว่าน่าจะเป็นอิปรุ?)

ถ้าเข้าใจถูกก็เป็นเรื่องที่สุดยอดแห่งความน่าติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

รอตอนต่อไปครัช!

ขอทวนแปป

เน่แฟนพลุ พลุกิ๊กยุย ยุยกะจะหักหลังเน่เพื่ิอเอาพลุไป…

รอตอนต่อไป

ว้าววเพื่อนรักหักเลี่ยมโหด
รอตอนต่อไปน้าา

ชอบจริงๆอะไรแบบนี้ จิบชารอ

ปรี้ยุยสุดยอดเลยอ้ะ

เน่ขอให้จับได้เร็วๆๆๆๆๆๆเน้อ

กลิ้งลงบันไดรอเลยค่ะ55555

อิปรี้แกจะแทงข้าวหลังเน่เรอะ
อิเน่จับให้ได้เร็วเลย 5555

อ่านซ้ำหลายๆครั้ง เพื่อความชัวร์ 555

เรื่องนี้ปริศนาเเสนเยอะ555 แต่เพ่ยุยแอบร้าย

รุ้สึกว่าเราจะเข้าใจเเตกต่างจากคนอื่นจรุมม
ปล. เข้าใจว่าเด็กเปนพลุ
ปล.2 แฟนเน่ต้องมิลกี้สิ
*โทรเรียกหมอรอถ้าหน้าเเตก*

ยุยไม่โง่เลยค่ะ ได้แฟนเพื่อนถือเป็นยอดคน

รอลุ้นว่าเด็กน้อยคือใคร ^^

Chapter 2

 

 

เมื่อเห็นว่าเลยเวลาในช่วงเช้าจนถึงเรียกว่าสายแล้วจึงขอสละหน้าที่ให้เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ รับช่วงต่อ หากเด็กสาวคนนั้นไม่มาในช่วงเวลาเช้า แปลว่าภายในวันนั้นจะไม่มาเยี่ยมเยียนที่แห่งนี้ ฉันตบบ่าเพื่อนให้พอหันมามองและโบกมือลา หนีหายเข้าไปหลังร้านและเดินออกไป

 

 

ก้มดูนาฬิกาอีกทีพลางนึกถึงของภายในห้องที่ใกล้หมด ไหนๆ วันนี้ก็เลิกงานเร็ว รีบออกตัวเดินหวังแวะร้านซื้อของใช้และอาหารการกิน

เดินถัดไม่กี่ช่วงตึกแต่พอมาถึงสถานที่จำเป็นเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างนัก

 

 

ฉันมองหน้าร้านที่ใกล้ที่สุดจากที่พักแต่ก็ต้องพบกับป้ายที่แปะประกาศหน้าร้านว่าปิดปรับปรุง เนื่องจากกำลังจะขยายให้กว้างขึ้น ฉันย่นคิ้วจนชิดติดกัน

 

 

 

ในใจหงุดหงิดทันทีเมื่อต้องเดินไปร้านอื่นที่อยู่ไกลออกไป ฉันรีบก้าวขาเพื่อให้ไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด สัมผัสรองเท้าบู๊ทที่กระทบกับพื้น

 

 

กว่าจะถึงที่หมายล่อเสียไปครึ่งชั่วโมง ฉันรีบเดินเข้าไปเลือกของด้วยความเซ็งและเบื่อหน่าย

 

เป็นความโชคร้ายของวันๆ หนึ่งที่ต้องแบกสังขารมาถึงนี่ทั้งที่ไม่จำเป็น

 

ฉันรีบเร่งเลือกซื้อโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุดเพื่อจะได้มีเวลานอนพักอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบของตัวเองเพิ่มมากขึ้น

 

 

ของไม่ได้มากมายจึงใช้เวลาไม่เยอะ

 

 

เตรียมจะกลับ พอเดินออกมาก็รู้สึกลมเย็นๆ วิ่งผ่านเข้ากระทบใบหน้า มือที่ว่างล้วงเข้ากับเสื้อนอกกักเก็บความอบอุ่นพร้อมเดินต่อ ก่อนที่จะได้พาตัวเองเลี้ยวกลับบ้านก็เห็นร่างที่คุ้นตาเดินก้มหน้ามองแต่พื้น จ้องซักพักถึงได้แน่ใจ เธอใช้ผ้าพันคอคนละสีกับวันก่อนดึงมันขึ้นมาปิดปากเหมือนที่ทำตอนอยู่ที่ร้าน เห็นดังนั้นก็แอบหัวเราะในลำคอกับความน่ารัก

 

 

อยู่แถวนี้?

 

 

“ไง” เมื่อเห็นเด็กสาวที่ต้องการทักเงยหน้าขึ้นมามองก็ไม่รอช้าพ่นคำถามต่อ “อยู่แถวนี้เหรอ?” ฉันมองเด็กคนนั้นกระพริบตาถี่ๆ ราวกับประมวลคำถาม หรือบางทีอาจจะกำลังนึกหน้าฉันอยู่

เด็กสาวพยักหน้า

 

 

“งั้นเหรอ”  ที่ร้านกับตรงนี้ก็ไม่ได้ใกล้เท่าไรนะ ฉันมองอีกคนที่ยิ้มบาง เธอยังคงไม่ปริปากพูดอะไร “วันนี้ไม่มีเรียน?” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ เห็นแบบนี้แล้วก็อยากยิ้มให้อีกฝ่ายที่น่าเอ็นดู แก้มขาวๆ เนียนของอีกฝ่ายทำเอามองเคลิ้ม แต่คงเพราะอากาศข้างนอกหนาวเกินไปอีกฝ่ายจึงดูซีดผิดปกติ ฉันตัดสินใจวางของในมือ เอื้อมประครองแก้มทั้งสองข้างของเด็กน้อยที่มองมาอย่างงงงวยแต่ก็ยอมให้จับโดยดี ไม่ปัดมือออกหรือขัดขืน

ฉันยิ้มให้

เธอก็ยิ้มเช่นกัน

 

 

“หนาวใช่มั้ย?” ฉันถามด้วยท่าทีกันเองราวกับรู้จักกันมานาน หวังมอบความอุ่นผ่านมือทั้งสองข้างของตน เห็นเด็กน้อยพยักหน้าอีกรอบตอบรับคำถาม “มาซื้ออะไรคะ ให้ช่วยมั้ย?” ถ้าพูดตามจริงความหงุดหงิดที่มีมาก่อนหน้าหายวับไปเมื่อเจอเด็กคนนี้

เธอจับหลังมือฉันที่ประครองใบหน้าไว้อยู่

ฉันยังคงยิ้มให้เธอด้วยท่าทีสบายๆ ยิ้มให้กับความโชคร้ายที่ต้องเหนื่อยเดินมาไกลเพื่อมาซื้อของและยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองที่ได้เจอกับใครคนหนึ่ง

 

 

ความบังเอิญที่ได้พบเธอ

 

 

และครั้งนี้เองฉันรับรู้ถึงรอยยิ้มของเด็กน้อยตรงหน้าแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย เหมือนจะกว้างขึ้นแม้ดวงตากลมนั้นยังคงเรียบนิ่ง

ก็ไม่ถึงแปลกจากเดิมเสียทีเดียว

บางทีอาจจะคิดไปเอง

 

 

เด็กสาวส่ายหน้าสองครั้ง

 

 

ฉันส่งสายตาเป็นอันเข้าใจและไม่ต้องการเซ้าซี้จึงยอมปล่อยมือของตัวเองที่จับใบหน้าเด็กสาวขณะที่เด็กสาวยังสัมผัสกับหลังมือฉันอยู่ แม้ลึกๆ แอบคิดเสียดาย ฉันยกมือขึ้นบอกลาและเดินหันหลังจากไป

ได้ยินเพียงแต่เสียงฝีเท้าเด็กน้อยเดินเข้าร้านไล่หลังผ่านทางสายลม

 

 

… และฉันไม่ได้หันกลับไปมอง

 

 

ก้มลงดูถุงพลาสติกที่บรรจุของเครื่องใช้ระหว่างเดินกลับ

 

 

อย่างน้อยๆ ถ้าว่างอยู่ก็น่าจะมาที่ร้านหน่อยนะ เด็กน้อย

 

 

 

 

 

 

สุดท้ายก็ใช้เวลาไปกับการนอนแทบทั้งวัน ตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดไปแล้วเสียอย่างนั้นจึงได้แต่นั่งเนือยๆ ไปเรื่อย

 

พอตกดึกจะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้อยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ช่วงเวลาที่ความคิดในหัวจะงอกเงยอย่างไร้สิ้นสุด… ฉันแหงนหน้าพ่นควันบุหรี่ในมืออย่างที่ทำทุกที ปล่อยให้สมองโล่งที่สุดเท่าที่จะได้เพื่อสูดรับสิ่งหนึ่งเข้าปอด

ควันโขมงสีเทาล่องลอยอยู่ซักพักก็ถูกสายลมยามค่ำคืนพัดปลิดปลิวหายไป ฉันกระชับเสื้อคลุมหนาเล็กน้อยกวาดสายตามองลงล่างจากตรงระเบียงก็เห็นเพียงทางเดินยาว ร้านค้าเล็กๆ และผู้คนที่เริ่มบางเบาตามเวลา

 

ฉันหยิบมือถือที่อยู่ข้างตัวขึ้นมากดเมลล์หาเพื่อนสนิทซักพักก็วางมันลงไว้ที่เดิม

 

 

[ พรุ่งนี้ขอฝากดูร้านเหมือนเดิมนะ ]

 

 

แต่แล้วเสียงจากเครื่องมือสื่อสารที่ถูกวางไว้บนโต๊ะข้างตัวดังขึ้นขัดกับความเงียบสงบ เหลือบดู ไม่ใช่เบอร์ของคนที่ส่งข้อความหาเมื่อกี้

ฉันปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ทำหน้าที่กรีดร้องอยู่บนโต๊ะอย่างไม่ยี่หระ

 

 

หนึ่งสายผ่านไป

สองสายผ่านไป

สายที่สามผ่านไป

ฉันก้มลงมองหน้าจอที่ยังคงสว่าง ปรากฏมิสคอลล์ ไม่นานนักสายที่สี่ก็ถูกต่อตรงมา ฉันจำใจกดรับกรอกเสียงใส่เจ้าเครื่องมือสื่อสาร

 

 

“มีอะไรอีก-“ เสียงของฉันดูไม่พอใจมากกว่าที่ตั้งใจไว้

[ไปหาได้มั้ยคะ?ฝ่ายตรงข้ามพูดเสียงน่ารัก ให้เดาก็พอรู้ว่ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ ฉันจิ๊ปากใส่

 

 

“ฉันไม่ว่าง” พูดเสร็จก็รีบตัดสาย ทิ้งมือถือประจำตัวลงบนโต๊ะดังเดิม

 

 

แต่ทำได้ไม่ถึงนาที เสียงกดออดหน้าห้องก็ดังขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร ฉันถอนหายใจพลางดับบุหรี่ที่ยังถือไว้และเดินไปเปิดประตูอย่างไม่เต็มใจ

 

 

“ไหนว่าไม่ว่างไงคะ” ไม่ทันที่อ้าประตูได้กว้าง ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าห้องก็แทรกตัวเองเข้ามาในห้องหน้าตาเฉย ฉันมองตามด้วยสายตาตำหนิ

 

 

“มาทำไม” ฉันจ้องอีกคนที่ยิ้มตาปิดตามฉบับ ถ้าหากเปรียบได้คงเป็นรอยยิ้มที่น่าขยะแขยงที่สุดในความคิดฉัน

 

 

“คิดถึง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด เธอถลาเข้ามากอดฉัน

 

 

“ขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต”

 

 

“พี่พนักงานเขาให้ฉันผ่านดีๆ อยู่แล้วน่า ก็ฉันมาบ่อยขนาดนี้” ฉันเลิกคิ้ว ไม่พอใจกับการที่คนตรงหน้านั้นขึ้นมาง่ายๆ แบบนี้เท่าไรแต่อย่างนั้นก็รู้ดีว่าตัวเองผิดที่เคยไปบอกพนักงานไว้ว่าถ้าคนนี้มาล่ะก็ไม่เป็นไร “แต่ยังไงก็เขี้ยวจริงๆ น่ะแหละ พวกพี่รปภ.น่ะ” หญิงสาวยังคงกอดฉันแน่นจนฉันต้องพยายามดันตัวออกไป ทั้งอึดอัดและไม่ชอบ

 

 

“ยุยจัง” หญิงสาวพูดแผ่วเบา จนฉันต้องมองหน้าอีกฝ่ายพลางฉวยโอกาสผละออกเว้นระยะหายใจ

 

 

คนตรงหน้าไม่ละความพยายามเดินเข้ามาใกล้ รีบสอดมือเข้าใต้เสื้อที่ฉันสวมใส่และไม่ทันไรก็รู้สึกถึงริมฝีปากนุ่มบริเวณของตัวเอง

 

 

เวลานั้นเอง ได้ยินถึงเสียงลมหายใจที่หยุดลง

 

 

ฉันตอบรับจูบนั้นนุ่มนวลเหมือนทุกครั้ง ปลายลิ้นของคนตรงหน้ากำลังแทะเล็มบนปากช่วงๆ รสจูบที่โฉบฉวย ฉันปล่อยให้ลิ้นร้อนของคนตรงหน้าผ่านเข้ามาอย่างง่ายดายและไม่รีรอให้เวลาสูญเปล่า ฉันดันอีกคนจนติดกำแพงห้อง

 

 

“มิยูกิ”

 

 

ภายในอกเริ่มกลับมาร้อนรุ่มด้วยเพียงการกระทำของหญิงสาว แม้ในใจบางส่วนคิดต่อต้านแต่ฉันกลับปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่ควรเป็น

 

 

ฉันถอดเสื้อโค้ทหนาที่อีกคนใส่มาอย่างรีบร้อน

 

 

อุณหภูมิภายนอกที่กำลังเย็นลงทุกวัน แต่ภายในห้องกลับเพิ่มขึ้นจนแทบถึงขีดสุด

 

 

มือหญิงสาวปัดป่ายไปทั่ว พยายามถอดเสื้อฉันออกให้พ้นตัว

ยามใบหน้าหวานกำลังหอบหายใจ สายตาเว้าวอนที่ถูกส่งมายังดวงตาคู่นั้น

ฉันจดจ้องอย่างไม่วางตา

 

 

ด้วยความสมเพช

 

 

แขนเรียวของคนตรงหน้ายกขึ้นโอบรอบคอฉัน ขาของเธอสั่นจนพับลงไปนั่งกับพื้น ได้ยินเสียงกระเส่าร้องขอให้ช่วยรีบเร่งถอดอาภรณ์ชิ้นด้านล่าง ไม่รอช้าเธอจับมือฉันข้างหนึ่งสอดเข้าใต้เสื้อและฉันทำตามอย่างไม่ขัดข้อง

 

 

หญิงสาวที่ต้องการให้ปลุกเร้า แอ่นอกรับสัมผัสอย่างเต็มที่

 

 

ฉันเอื้อมมือปลดตะขอบราอย่างชำนาญ สลัดชิ้นผ้าที่อยู่ด้านบนให้หมดไปให้เหลือเพียงส่วนด้านล่างเจ้าปัญหา ผิวหนังของเราสัมผัสกันแล้วกันเล่า แลกไออุ่นกันและกันจนแทบมอดไหม้ ฉันเลื่อนชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่เป็นป้อมปราการส่วนสุดท้ายของคนตรงหน้าลงและยันตัวขึ้นจูบกับริมฝีปากเจ้าของบราสีขาวที่เพิ่งโยนไปไกลๆ

 

 

เธอพึงพอใจ เธอชอบและเธอรักมัน

รักการมีความสุข รักฉันหรือเซ็กส์?

 

 

ฉันได้ยินเสียงของหญิงสาวเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ฉันมองร่างของเธอบิดเร้าด้วยแรงอารมณ์ที่กำลังประทุเพิ่มขึ้นทุกวินาที เสียงครางอื้ออึงดังเล็ดรอดจากริมฝีปากนั้นอย่างไม่ขาดสาย

ความรู้สึกโลดแล่นราวกับล่องลอยอยู่บนสถานที่ไม่มีอยู่จริง

 

 

มันว่างเปล่า ปวดหน่วง คับแคบ อึดอัด ไม่สบาย ไม่มีแม้ความอ่อนโยนและไร้ซึ่งความอ่อนหวาน เพราะฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นคือสิ่งที่ผิดจริงหรือไม่

 

 

หญิงสาวตรงหน้าไม่เคยเหนียมอาย

ทั้งไร้จิตสำนึก

และฉันเองไม่เคยคิดใส่ใจ

 

 

ฉันมองคนตรงหน้าที่ต้องการให้ทำมากขึ้นกว่าเดิม

เธออ้อนวอน เธอจับฉันแน่น กอดฉันไว้และกระซิบข้างหูพร้อมเป่าลมเบาๆ

 

 

“ยุย”

 

 

หญิงสาวจับมือฉันไปยังช่วงล่าง ส่งสายตาร้องขออีกครั้ง ฉันยิ้มให้และสอดแทรกมันลงไปอย่างรุนแรงจนคนข้างล่างกระตุกและจิกแขนฉันราวกับเป็นที่ระบาย

 

 

ถ้าหากเจ็บจงร้องออกมาดังๆ เพราะฉันเฝ้าดูเธออยู่

จงส่งเสียงให้มากกว่านี้หากเธอปรารถนาในตัวฉัน

 

 

มันคงเจ็บแต่ก็คงรู้สึกดีไม่แพ้กัน เมื่อฉันเห็นใบหน้าที่เปื้อนความสุขจากคนใต้ล่าง

และมันก็ยากที่จะหยุดมือ ฉันกระแทกมันลงไปสองสามครั้งติดต่อกัน ไม่รอให้ร่างคนเบื้องล่างปรับจังหวะได้ ก็ต้องลอบยิ้มทันทีเมื่อเห็นอีกคนนั้นกอดและจิกแผ่นหลังฉันแน่นจนเริ่มรู้สึกชา ไม่รอช้าดันตรงกลางให้ลึกที่สุดเท่าที่จะได้และขยับเข้าออกช้าๆ สลับกับฟังเสียงครางร้องระงมและพยายามเร่งให้เร็วขึ้นเมื่อสังเกตท่าทีของอีกคนที่กระชับแขนกอดแน่นทุกที

 

 

ฉันได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ มันไม่ใช่เสียงริงโทนของสายเรียกเข้า แต่เป็นเสียงสัญญาณของอีเมลล์

 

 

หญิงสาวร้องดังขึ้น ดังขึ้นทุกทีจนกลบเสียงสุดท้ายของเสียงเตือนโทรศัพท์

 

 

เรียวนิ้วฉันกำลังทำตามการร้องขอคนข้างล่าง ฉันกำลังรับฟังท่วงทำนองที่คิดว่าไพเราะกว่าเสียงอันน่ารำคาญของวัตถุที่ถูกตั้งไว้ไกลออกไป

 

 

ฉันไม่ได้ลุกขึ้นไปดู ไม่ได้ฟังมัน ไม่ได้สนใจว่ามันจะมีเนื้อความว่าอะไร

 

 

คนข้างล่างส่งเสียง กัดฟันข่ม… เธอเจ็บ เธอมีความสุข

เสียงเหล่านั้นที่คอยหล่อเลี้ยงฉัน

 

 

และไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะจบลง

 

 

เธอเผยสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมาอีกเมื่อถูกสอดแทรกด้านล่างเพิ่มมากขึ้น ฉันยิ้มกรุ่มกริ่มกับภาพที่ได้และเริ่มลงมือบรรเลงเสียงดนตรีนั้นอีกครั้งและอีกครั้ง อยากให้มันจบแต่ก็อยากให้มันดำเนินต่อไปเรื่อยอย่างไม่สิ้นสุด

สิ่งที่ไม่ควรสนใจแต่แรกคือหญิงสาวตรงหน้า ฉันไม่ควรปล่อยเธอให้มายุ่มย่ามในชีวิตมากกว่านี้ แต่มันอาจสายเกินไป

 

 

หญิงสาวจับฉันก้มลงจูบ

ความดูดดื่มจากปลายลิ้นแฝงไปด้วยตัณหามากล้น

 

 

เธอระบายความใคร่เฉกเช่นทุกครา คนตรงหน้าที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน และคนๆ นั้นที่เป็นเพื่อนสนิทของฉันเพียงคนเดียว

 

 

หากหญิงสาวคนด้านล่างที่กำลังดำเนินกิจกรรมผู้ใหญ่เป็นคนอื่น มันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้

 

 

อย่างเช่น เด็กน้อยโกโก้คนนั้น

 

 

ฉันยิ้มกับตัวเองราวกับคนบ้า เอื้อมมือสัมผัสกับแก้มคนด้านล่างที่บัดนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

 

 

หากเป็นใบหน้าของเด็กสาวที่ใสสะอาดและบริสุทธิ์ แก้มขาวเนียนบางที่น่าถนุถนอม ริมฝีปากอมชมพูคล้ายกับไม่มีใครเคยได้ลิ้มลอง

 

 

เสียงของเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงนะ

จะหวานหรือว่าขมเหมือนโกโก้ที่ดื่มที่ร้าน

 

 

ถ้าได้ฟังซักครั้งก็คงดี

 

 

“มิยูกิ” ฉันเรียกอีกคนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “คืนนี้กลับไปหาซายากะซะ” ทันทีที่ฉันพูดจบ หญิงสาวตรงหน้าเบิกตากว้างและรีบส่ายหน้าไปมา

 

 

“ไม่เอาอ่ะ”

 

 

“รีบกลับไปเคลียร์กันดีๆ ทะเลาะกันนานแบบนี้ ดีแล้วเหรอไง” ฉันจ้องอีกคนเขม็ง

 

 

“แล้วไม่ดีเหรอ ฉันจะได้มาให้ยุยทำแบบนี้บ่อยๆ” ฉันถอนหายใจ ถอนนิ้วที่ยังคาอยู่ออกจนอีกฝ่ายกระตุกตัวงอ

 

 

“จะกลับหรือไม่กลับ” ยันตัวจะลุกขึ้นแต่ก็ต้องเซลงไปนอนกับพื้นเย็นของห้องเมื่อถูกหญิงสาวยิ้มตาปิดดึงแขนลงมาไม่ทันตั้งตัว

 

 

หญิงสาวขึ้นคร่อมด้วยท่าทียั่วสวาท ฉันมองกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย “จะทำอะไร”

 

 

“ถ้าต่ออีกซักรอบ ฉันจะยอมกลับ” ฉันขมวดคิ้วทันทีเมื่อฟังอีกคนพูดจบ แต่คนด้านบนไม่ว่าเปล่าถูไถช่วงล่างกับขาฉัน ที่ตอนนี้เริ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำจากกิจกรรมครั้งก่อนจากเจ้าของตายิ้ม ฉันเงยมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ พอจะผลักอีกคนให้พ้นตัวแต่ก็เหมือนจะช้าไปเมื่อหญิงสาวจับมือฉันยัดเข้ากึ่งกลางอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ห้ามปรามอะไรก็เริ่มกลับสู่สถานการณ์เดิม หญิงสาวขยับเข้าออกตามจังหวะและฉันต้องเกรงนิ้วเพื่อรอให้คนด้านบนกระแทกตัวลงมา

 

 

มันไม่ช้าและไม่เร็วเมื่อคนด้านบนเป็นคนคุมจังหวะเอง

รับรู้ถึงภายในที่ร้อนรุ่มและความต้องการที่เพิ่มพูนอีกครั้ง เหงื่อที่ไหลรินและติดตามปอยผมของเจ้าตัวมันอาจดูเซ็กซี่ในสายตาของคนอื่น แน่นอนมันยั่วยุฉันได้เช่นกัน

 

 

ฉันอาจจะอิจฉาเพื่อนสนิทก็ได้ที่มีคนที่ร้อนแรงขนาดนี้อยู่ใกล้ตัว

 

 

ใช้มือที่ว่างอยู่เล่นกับหน้าอกของหญิงสาว ที่สะโพกหญิงสาวนั้นยังคงทำตามความต้องการอย่างต่อเนื่องโดยยังไม่มีท่าทีจะหยุด ฉันทำได้เพียงเฝ้ารอและรอคอยให้มันสิ้นสุดหรือรอให้คนด้านบนหมดแรงไป

 

 

แต่หากการจินตนาการถึงคนอื่นเวลาร่วมรักกับคนตรงหน้า เป็นการช่วยปลุกอารมณ์ตัวเองให้มากขึ้นได้ดีจริงๆ

ฉันนั่งฟังเสียงลมหายใจของคนด้านบน

 

 

ฉันเหมือนคนไม่สนใจสิ่งสวยงามตรงหน้าและยิ้มกริ่มทันทีเมื่อนึกถึงหน้าใครบางคนจนแทบอยากจะเปล่งเสียงเรียกชื่อของเธอคนนั้นแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อรู้เพียงแค่หน้าตาของเด็กสาว

 

 

และของโปรดที่ชอบเท่านั้น

 

 

เด็กน้อยที่หน้าละม้ายคล้ายตุ๊กตาคนนั้นจะใสซื่อเหมือนหน้าตามั้ยนะ?

 

 

เธอจะบอบบางอย่างที่เห็นภายนอกหรือเปล่า?

… แต่ถ้าบอบบางเกินไปคงจะไม่สนุก

เพราะเธอคงแตกสลายได้ทุกเมื่อ

 

 

แล้วเด็กคนนั้นจะเป็นลูกค้าให้ฉันบริการไปอีกนานแค่ไหนกัน?

 

หนึ่งเดือน สองเดือน

 

หนึ่งปี…

 

ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอเลย

 

 

 

ยิ่งคิดก็รู้สึกยิ่งปั่นป่วน รู้ตัวอีกทีก็เมื่อคนด้านบนครางเสียงหวานครั้งสุดท้าย ล้มตัวลงนอนทับอย่างอ่อนแรง

เห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าหญิงสาวจะพูดอะไรต่อ ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

 

“คงกลับบ้านไม่ไหวแล้ว ขอนอนบ้านยุยนะ”

 

 

ซึ่งฉันก็ได้แต่หัวเสียที่ถูกผู้หญิงเอาแต่ใจคนนี้เล่นเข้าให้เหมือนทุกครั้ง ไม่รู้ว่าไปทะเลาะอะไรกันมาหลายวันจนถึงมาหาที่ห้องเกือบทุกคืนแต่เรื่องที่ไม่ควรจะเกิดนี้มันก็ดำเนินมาแล้วหนึ่งเดือนและฉันก็ทำมัน

ทำ ทำ ทำอย่างตั้งใจโดยไม่กลัวเสียเพื่อน โดยไม่กลัวว่าเพื่อนจะจับได้และหากถึงเวลานั้นความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อเพื่อนสนิทอย่างซายากะก็คงจะจบลงอย่างง่ายดาย

 

 

แต่ฉันกลับไม่กลัวเกรง

เพราะอะไร?

 

 

มันขัด มันกลับกัน มันย้อนแย้งไปหมด

ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนี้และรู้ว่าไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องในเชิงความสัมพันธ์ชู้สาว แต่เราสองคนไม่ใช่

มันไม่เคยเป็นความรัก มันไม่เคยเป็นสิ่งที่เรียกว่าชู้

 

 

มันเป็นเพียงความเครียด ความต้องการผสมปนเปกันจนเป็นความสุข

มันคือสิ่งที่ฉันต้องทำ มันเป็นสิ่งที่หญิงสาวของเพื่อนต้องการ สิ่งที่เพื่อนสนิทฉันไม่เคยมอบให้

แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่หากปราศจากสัมพันธ์ทางกายก็ไร้ซึ่งสีสัน

เท่าที่รู้มันเป็นสาเหตุการทะเลาะกันครั้งแรกระหว่างมิยูกิและซายะกะ หญิงสาวต้องหอบหิ้วตัวเองมาเคาะประตูถึงห้อง พร่ำพรรณนาบ่นระบายยาวเหยียดถึงความไม่เข้าใจของซายากะและสุดท้าย… หญิงสาวก็จบด้วยการร่วมรักบนเตียงกับฉันที่ไม่ใช่คนรักของเธออย่างสนุกสนาน แต่ก็มีหลายสิ่งที่ฉันไม่สามารถมอบให้ได้และฉันคิดว่ามันไม่จำเป็น

… แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันมอบให้อย่างชัดเจน

 

 

ความรังเกียจผู้หญิงคนนี้

 

 

การเฝ้ารอให้ความรักที่เคยปกคลุมด้วยกลีบกุหลาบระหว่างหญิงสาวและซายะกะจบลงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ฉันกำลังคอยเวลาให้มันเกิดขึ้นปลายทาง ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง ไม่ใช่เพราะความคับแค้น แต่เป็นเพียงความต้องการส่วนตัวที่จะได้เห็นเสาหลักใหญ่ที่แข็งแรงโค่นล้มลง

 

 

ยามาโมโตะ ซายะกะที่ล้มลุกคลุกคลาน

ตามด้วยวาตานาเบะ มิยูกิที่อับสิ้นหนทางในชีวิต

 

 

ฉันมองผืนผ้าห่มที่ขยับขึ้นลงตามลมหายใจที่ถูกผ่อนเข้าออกอย่างช้าๆ มิยูกิที่นอนอยู่ข้างๆ หันหลังให้ฉันและนอนหลับอย่างหมดสภาพ ฉันลุกขึ้นเดินออกไปห้องนั่งเล่นและหยิบบุหรี่อีกมวนนึงขึ้นมาจุดไฟ พ่นควันออกมาราวกับปล่อยความคิดให้ล่องลอยตาม

 

 

รู้สึกได้ว่าติดของที่คาบอยู่ในปากมากขึ้น

ถึงแบบนั้นก็ไม่มีความตั้งใจที่จะลดหรือเลิก

เพราะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเยียวยาจิตใจให้สงบลงได้มากที่สุด

 

 

ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นควันของสิ่งเสพติด ซึ่งทีแรกก็ไม่ดีเท่าไรนักยามสัมผัสกลิ่นแต่พอซักพักหน่อยก็ทำเอาชิน

ฉันมองออกไปนอกบานหน้าต่างที่กั้นระเบียง เห็นท้องฟ้ามืดครึ้มตามช่วงเวลาปัจจุบัน

 

 

เมื่อไหร่หิมะจะตก

 

 

คว้าเครื่องมือสื่อสารที่ปล่อยทิ้งไว้ขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหว เลื่อนนิ้วเรียวกดลงอ่านเมลล์จากเพื่อนสนิทแล้วก็ต้องหลุดขำ

 

 

หน้าจอปรากฏตัวอักษรที่ไล่เรียงและอีโมจำนวนมาก

 

 

[วอททท  ช่วงนี้คนที่ร้านเยอะนะเว้ย นี่ร้านเอ็งนะ อย่ามาทำเนียนโดดร่มบ่อยๆ อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มเงินเดือนให้หน่อยจะดีมาก โยโกซัง ]

 

 

เหล่มองแฟนเพื่อนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องสลับกับเมลล์ในมือถือ

 

 

ไม่รู้จะหาคำใดมาบรรยายถึงเพื่อนอย่างซายากะ…

 

 

 

 

อยู่ดีๆ ในใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ลุ้นระทึกราวกับเวลาดูหนังสืบสวนอย่างไม่ทราบสาเหตุ

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อไหร่จะรู้ซักทีนะ?

 

 

___________________

 

A/N เพิ่งเข้ามาเช็คค่า ตกใจเลย เดากันหลากหลายมาก555 วันนี้ฝากตอน 2 ไว้ในอ้อมกอดด้วยนะคะ *ส่งจูบให้ผู้อ่านทุกท่าน (ใครอยากได้)

 

 

 

 

นั่นไง!!! ทำไมแทงหวยไม่ถูกแบบนี้ มิ้ลลลลลลลลลล!!!
แอบสงสารพี่เน่นิดๆ เมื่อไรจะรู้ตัวนะ….
ปรี้ยุยก็รู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำเนอะ ท้าทาย?? 555
ว่าแต่ พารุไม่พูดเลยสักคำ หรือน้องพูดไม่ได้คะ T_____T
ก็เดามั่วไป รอตอนต่อไปค่า~