[OS] NEBULA (WMatsui)

NEBULA

 

 

Number of words : 4,809

 

 

 

การได้อยู่ในช่วงเวลาที่ถูกรัก และได้รัก ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว

 

 

 

ปี ค.ศ. 2748

 

 

 

 

               ยานอวกาศอริสโตเติล ยานเดินทางที่มีชื่อเดียวกับนักคิดผู้เฉลียวฉลาดในสมัยอดีตกาล กำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็ว 120,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภารกิจของยานลำนี้คือ นำคนไปส่งยังดาวพฤหัสฯ ดวงดาวที่ชาวโลกสร้างสรรค์ให้กลายเป็นโลกดวงที่สาม ถัดจากดาวอังคาร และตอนนี้กำลังจะกลับไปรับประชากรโลกอีกครั้ง

 

 

จูรินะ วิศวกรยานอวกาศ เริ่มต้นความสัมพันธ์ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างไกลกับ เรนะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาการป่วยเพราะการเดินทางในอวกาศ น่าแปลกที่ทั้งสองเป็นคนในอาณาเขตประเทศญี่ปุ่น แต่ความรักของทั้งสองกลับเกิดขึ้นท่ามกลางการเดินทางผ่านห้วงอวกาศ ที่กินเวลานานแสนนาน

 

 

มีคนพูดกันว่า อวกาศทำให้คนรักกัน และมันก็เป็นจริงสำหรับหญิงสาวทั้งสอง แม้บนอวกาศ…จะไม่มีบรรยากาศก็ตามที บางที ความรักมันอาจจะเกิดขึ้นจากความเหงา แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ความรักระหว่างจูรินะและเรนะก็เกิดขึ้น โดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น

 

 

 

 

                   หลังจากที่จูรินะและเรนะตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน ทั้งสองก็ออกมาเสวนากับเพื่อนร่วมยาน

 

 

 

                 “กัปตัน เราจะถึงโลกเมื่อไหร่” จูรินะถามนักบินเบอร์หนึ่ง คำว่ากัปตันเป็นคำที่ลูกเรือใช้เรียกกันเล่น ๆ มากกว่าจะเป็นตำแหน่งแบบจริงจัง

 

 

 

ชายวัยสามสิบกลาง ๆ ละสายตาจากหน้าจอสมองกลอัจฉริยะ เพื่อหันมองเจ้าของคำถาม เควิน เป็นนักบินอวกาศฝีมือดีจากอาณาเขตประเทศอังกฤษ

 

 

 

                  “สองเดือน สิบเอ็ดวัน” ตามกำหนดการเดิม ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อีกไม่นาน พวกเขาก็จะได้กลับไปเหยียบผืนโลกอีกครั้ง   “ทำไมถาม จะรีบกลับไปแต่งงานที่โลกรึไง”   เควินถามกลับด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

 

                 “เงียบไปเลย” จูรินะเอ่ย พลางชกแขนคนที่เขาทำงานร่วมกันมาหลายครั้งจนสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง แต่สำหรับเรนะ เธอเพิ่งจะได้มาประจำยานอริสโตเติลเป็นครั้งแรก

 

                 “โห ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือเลยหรอครับ ความรักช่างมีอานุภาพที่รุนแรงเหลือเกิน”

 

 

ราฟาเอล นักบินเบอร์สอง ชายหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในยานลำนี้ แซวจูรินะและเรนะอีกคน ราฟาเอล เป็นคนของอาณาเขตอเมริกาใต้ แต่เติบโตที่อาณาเขตประเทศอเมริกา เขาเองก็เพิ่งจะได้ประจำยานเป็นนักบินเบอร์สองในเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินแรก

 

 

                 “นี่ก็ปากดีเลียนแบบกัปตันเบอร์หนึ่งเป๊ะ ๆ ท่าจะถ่ายทอดความรู้กันมาดีนะ”    จูรินะอดไม่ได้ที่จะแซวทั้งราฟาเอล และเควินไปในตัว

 

                 “แหม แต่คิด ๆ แล้วก็น่าเสียดายนะครับ”   ราฟาเอลยังไม่เลิกแหย่คู่รักทั้งสอง

 

                 “เสียดายอะไร”    จูรินะตวัดเสียงถาม เขาไม่ค่อยมั่นใจกับคำพูดของชายหนุ่มอายุน้อยคนนี้เลยสักนิด นับวันชักจะรับมือได้ยากเข้าไปทุกที

 

                 “เสียดายพี่สาวคนสวย”    ราฟาเอลพูดและหันไปส่งสายตาหวานให้เรนะ

 

                 “ทำไมหรอ”    เรนะหรี่ตามอง เธอเองก็ไม่วางใจสายตาของนักบินหนุ่มคนนี้เช่นกัน

 

                 “เที่ยวบินแรกของผม ผมก็อุตส่าห์ดีใจที่มีสาวมาด้วยตั้งสองคน แต่ไป ๆ มา ๆ สาว ๆ ไปได้กันเอง ผมก็อดเรื่องอย่างว่าเลยสิครับ”

 

                 “ไอ้ทะลึ่ง”

 

 

 

จูรินะยันโครมเข้าที่เก้าอี้ของราฟาเอล ราฟาเอลหัวเราะชอบใจ

 

 

 

                 การเดินทางระหว่างโลกกับดาวพฤหัสกินเวลาเป็นปี ๆ ความน่าเบื่อของอวกาศนั้น มันดูยาวนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ความรักอาจจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้การใช้ชีวิตในยานอวกาศแคบ ๆ น่าเบื่อน้อยลง

 

 

 

                 ปี๊บ ๆๆๆ”

 

 

 

เสียงสัญญาณดังขึ้นจากหน้าจอสมองกล ทำให้ ฌอร์น ผู้การยานอริสโตเติลรีบเดินออกมาดู เขาอายุล่วงเลยเข้าสู่เลข 5 มาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังจงรักภักดีกับอาชีพนักบินอวกาศไม่เสื่อมคลาย ฌอร์นมาจากอาณาเขตประเทศอเมริกา แต่กลับไม่ค่อยชื่นชอบประเทศของตัวเองเท่าไหร่ เขากดปุ่มเพื่อฟังเหตุที่แจ้งเข้ามา

 

 

 

                 ศูนย์ควบคุมติดต่อยานอริสโตเติล”

 

                 “ยานอริสโตเติล รับทราบ” ผู้การฌอร์นตอบรับการติดต่อจารศูนย์ควบคุม

 

                 ขณะนี้พบวัตถุต้องสงสัยพุ่งเข้าหาอาณาเขตดาวอังคาร” ศูนย์อวกาศที่โลกกำลังพูดถึงดาวอังคาร   “และคาดว่าวัตถุนั้นจะอยู่ระหว่างเส้นทางการเดินทางของยานอริสโตเติล”

 

                 “ระบุพิกัดได้รึเปล่า” ฌอร์นถาม

 

                 “ทางเราจะส่งข้อมูลไปให้”

 

 

 

เสียงและเรื่องราวถูกส่งผ่านมายังลำโพงเล็ก ๆ หลังจากเสียงนั้นจบลง ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของชาวยานอริสโตเติลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

 

 

 

 

…………………………………..

 

 

 

 

 

 

 

                 จูรินะนั่งหน้าเครียดอยู่ที่ห้องพัก เรนะเดินตามเข้า และนั่งลงข้าง ๆ

 

 

 

                 “เรื่องเมื่อกี๊มันไม่จริงใช่มั้ย”    น้ำเสียงของเขาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งตัวเขาเองที่ยังตั้งสติกับเรื่องราวที่เขาเพิ่งได้ฟังยังไม่ได้

 

                 “จูรินะ ใจเย็น ๆ ก่อนนะ” เรนะพยายามปลอบ เธอเข้าใจว่าจูรินะคงจะช็อก และใช่ว่าเธอจะไม่ช็อกกับเรื่องที่ได้ยิน แต่ดูท่าจูรินะจะออกอาการมากกว่าเธอเสียแล้ว

 

 

 

จูรินะพยายามสงบสติตัวเองด้วยการหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะมองหน้าเรนะด้วยแววตาที่ยังรับกับอะไรไม่ได้ เหมือนคนที่หลงทางอยู่ที่ไหนสักที และหาทางออกไม่เจอ

 

 

 

                 “มันจะมีทางไหนที่จะหยุดมันได้ นอกจาก…”

 

 

 

เรนะจับมือจูรินะ จากที่ได้รับรายงานเมื่อครู่ ศูนย์ควบคุมยานอวกาศภาคพื้นดินรายงานมาว่ามีอุกกาบาตขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้าชนดาวอังคาร หรือโลกใบที่สองของมนุษย์ อุกกาบาตลูกนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงหกกิโลเมตร ขนาดแบบนี้พอที่จะทำให้ดาวอังคารพินาศได้ในพริบตา ถ้าตกในทะเล น้ำก็จะท่วมดาวอังคาร ถ้าตกบนภาคพื้น จะเกิดแรงระเบิดจากการปะทะมหาศาล ประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในดาวอังคารไม่ตายจากแรงระเบิดก็จะตกอยู่ภายใต้ฝุ่นควันที่เป็นพิษ ดีไม่ดี ถ้าแรงปะทะมีมาก ดาวอังคารก็จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

 

 

แม้มันจะเป็นเพียงแค่เศษของดาวซักดวงในอวกาศที่แตกกระจายแล้วล่องลอยมา แต่เศษดาวชิ้นนี้ จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันพุ่งเข้าชน และด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาก็ไม่อาจรู้ได้ ที่นำพาให้ยานอริสโตเติลอยู่ใกล้พิกัดของอุกกาบาตมากที่สุด หนทางที่จะยับยั้งความสูญเสียที่เกิดขึ้น มีไม่กี่ทาง และทางที่เป็นไปได้มากที่สุด สำหรับยานอวกาศที่ทำหน้าที่แค่รับส่งคน ก็คือ พุ่งเข้าชน เพื่อเปลี่ยนวิถีการโคจรของอุกกาบาตนั้น

 

 

 

                 “อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลย”    เรนะบอกจูรินะ ทั้งที่ใจเธอเองก็กลัวอยู่ไม่น้อย การตัดสินใจที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก แม้จะสามารถปกป้องคนได้อีกนับล้านคน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การยอมรับความตาย… ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการต้องยอมรับการสูญเสีย และการจากลา

 

                 “ฉันไม่เข้มแข็งเลยใช่มั้ย ฉันน่าจะเป็นคนปลอบใจเรนะมากกว่า”

 

 

 

จูรินะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน เขาไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้เรนะได้เลย แต่เรนะกลับส่ายหน้า เธอคิดว่าไม่จำเป็นที่จูรินะจะต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลา เธอรักจูรินะที่ความอ่อนโยน ความสดใส ไม่ใช่เพราะจูรินะเป็นคนเข้มแข็ง

 

 

                 เรนะนึกย้อนไปที่วันที่ทั้งสองคนเจอกัน บนยานอวกาศลำนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

 

 

 

 

 

 

                 **ย้อนความ**

 

 

                 ยานอวกาศอริสโตเติล ฐานปล่อยยานหมายเลข 48 อาณาเขตขั้วโลกเหนือ ก่อนการเดินทางสู่อวกาศในอีก 2 ชั่วโมง 45 นาที

 

 

                

                 “สวัสดี” จูรินะทักหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาในยานได้เพียงไม่นาน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเธอคนนี้ น่าจะเข้ามาในฐานะลูกเรือ มากกว่าผู้โดยสาร

 

                 “สวัสดีค่ะ”   เรนะมองทางหญิงสาวที่เข้ามาทักท่าทางสงสัย

 

                 “คุณคงเป็นแพทย์ประจำเครื่องคนใหม่ใช่มั้ย”   เขาถามพร้อมมองป้ายชื่อที่หน้าอกเสื้อของเรนะ   “เรนะ”

 

                 “แล้วคุณ…”

 

                 “จูรินะ เป็นวิศวกรยานอวกาศ”   เขายื่นมือจับทักทายกับหญิงสาว    “เคยเดินทางไกลในอวกาศมาก่อนรึเปล่าคะ”

 

                 “มากสุดก็โลกกับดวงจันทร์”    ครั้งสุดท้ายที่เธอได้ออกไปกับยานอวกาศ ก็เป็นการเดินทางไปสถานีอวกาศในวงโคจรของดวงจันทร์ เพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายให้กับนักบินอวกาศที่อยู่ประจำสถานีอวกาศที่นั่น

 

                 “ถ้าอย่างนั้น นอกจากจะต้องดูแลผู้โดยสารแล้ว คุณอาจจะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษด้วยนะคะ เพราะว่าการเดินทางไกลในอวกาศ การขับเคลื่อนของยานอาจทำให้คุณเกิดอาการ เมาอวกาศ ได้”

 

 

 

จูรินะบอกพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไป เรนะรู้สึกไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นถึงแพทย์อวกาศ แต่จูรินะกลับมาเตือนเธอ ในข้อมูลที่เธอก็รู้ดี

 

 

 

                 “เมาอวกาศงั้นหรอ ไม่มีทางหรอก”    เธอเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านอาการป่วยในอวกาศ จะมาเมาอวกาศเสียเอาเนี่ยนะ เรนะคิดว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

 

                 แต่แล้วเรนะก็เกิดอาการเมาอวกาศจริง ๆ ทันทีที่ยานอวกาศพุ่งทะยานออกจากชั้นบรรยากาศของโลก เธอก็รู้สึกมึนงงไปหมด พร้อม ๆ กับความรู้สึกอยากอาเจียน ทั้ง ๆ ที่ยานอริสโตเติลก็ติดตั้งระบบแรงโน้มถ่วงเอาไว้ในยาน

 

 

เรนะเข้าห้องน้ำไปอาเจียน ก่อนจะออกมานั่งพักด้านนอก จูรินะเดินผ่านมา ก่อนจะยิ้ม และมองจ้องหญิงสาวอยู่แบบนั้น

 

 

 

                “มองอะไร”   เรนะถามเสียงไม่ค่อยพอใจ กะจะมาเยาะเย้ยเธอล่ะซิ ไอ้ร่างกายเจ้ากรรมนี่ก็ไม่ไว้หน้าเจ้าของเลย เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านนี้ แต่ดันมาเมาอวกาศ น่าอายชะมัด

 

                “เอ๊า อารมณ์เสียอะไรล่ะ คุณ”   เขาหัวเราะน้อย ๆ ท่าทางหญิงสาวอีกคนคงทำเป็นอารมณ์เสียกลบเกลื่อนความเขินอายหละมั้ง จะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแค่ไหนก็เถอะ การเดินทางในอวกาศมันไม่ปรานีใครทั้งนั้น ยิ่งกับคนที่ไม่เคยเดินทางระยะไกลมาก ๆ มาก่อน ที่การขับเคลื่อนยานอวกาศจะแตกต่างกับการขับเคลื่อนระยะใกล้โดยสิ้นเชิง และที่เขารู้ดี เพราะครั้งแรก ๆ ของเขา… ก็เป็นแบบนี้ เขาก็เลยตั้งใจจะมาดูเธอ แต่ไม่คิดว่าคำเตือนจะทำให้หญิงสาวอีกคนไม่พอใจเขาเสียได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จูรินะก็ตั้งใจจะมาดูอาการของเรนะอยู่แล้ว… เขาส่งขวดน้ำเกลือกแร่ให้กับหญิงสาว   “อาการคุณคงไม่หนักมาก ดื่มนี่นะ แล้วอย่าลืมทานยาล่ะ คุณรู้ใช่มั้ย ว่าคุณควรทายยาอะไร เป็นหมอนี่”

 

                “รู้แล้วน่า”

 

 

 

เรนะตอบรับแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ และคว้าขวดเกลือแร่ไปจากจูรินะ เธอคิดว่าหลังจากนี้ เธอคงไม่ค่อยได้เสวนากับวิศวกรอวกาศคนนี้ซักเท่าไหร่ เพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยชอบใจ หรือจะเรียกว่าไม่ค่อยถูกชะตากับเขาสักเท่าไหร่

 

 

 

 

                 แต่หลังจากนั้น จูรินะก็คอยแวะเวียนเข้าออกอยู่สามที่ คือ ห้องควบคุมยาน ห้องระบบเครื่องยนต์และวงจรภายใน และห้องพักแพทย์ เพื่อที่จะได้เจอกับเรนะทุกวัน อาจจะเรียกว่าแทบทุกชั่วโมงเลยก็ว่าได้

 

 

ไม่นานนัก ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่ดูไม่ค่อยราบรื่นในตอนแรก กลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนในอวกาศ กัดกันมาก สุดท้ายมักได้กัน ยังเป็นคำที่ใช้ได้เสมอ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ไม่ว่าจะบนโลก… หรือในห้วงอวกาศ

 

 

 

                 ในห้องนอนที่สามารถปรับเป็นสภาพไร้น้ำหนัก จูรินะและเรนะกอดกันแนบชิด จูรินะจูบกับเรนะอย่างดูดดื่ม กระจกหน้าต่างที่มองเห็น มีแต่ความมืดมิดที่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงของดวงดาว คล้าย ๆ ฝุ่นที่เกาะแน่น มองดาวจากยานอวกาศ มันไม่สวยเท่ากับมองจากโลก

 

 

หญิงสาวทั้งสองปล่อยตัวลอยล่อง ปล่อยใจล่องลอย ไร้พันธนาการแห่งความถูกต้องใด ๆ

 

 

ใจแนบใจ กายแนบชิด ลมหายใจเคลื่อนไหว สลับสงบนิ่ง ร่างกายไร้น้ำหนัก หัวใจไร้น้ำหนัก ปล่อยความต้องการทั้งหมดออกมาท่ามกลางอวกาศที่แสนห่างไกล

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

xxxxxxxxxxxxxxxx

 

 

 

 

 

 

 

 

                 เรนะกลับสู่โลกแห่งความจริงเมื่อมีเสียงสัญญาณดังขึ้น

 

 

 

                 ขอให้เจ้าหน้าที่ประจำยานอริสโตเติลทุกคนมาประชุมพร้อมกันที่ห้องพักนักบิน”   เสียงผู้การดังขึ้น การประชุม… ที่จะทำให้คนในยานทุกคน ต้องตันสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

          

                 “ไปกันเถอะ”   เรนะบอกกับจูรินะด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถ้าตอนนี้จูรินะยังใจเย็นลงไม่ได้ เธอเองก็ควรจะเป็นฝ่ายใจเย็นให้ได้เสียก่อน

 

 

 

จูรินะพยักหน้า แล้วเดินตามเรนะไปเงียบ ๆ เขายังทำใจไม่ได้ กับสิ่งที่ต้องยอมรับ เขาไม่ใช่ไม่อยากตาย แต่เขาไม่อยากสูญเสียช่วงเวลาที่แสนวิเศษ ที่เขากับเรนะได้ใช้ร่วมกัน

 

 

 

 

                 ทุกคนมาพร้อมกันที่ห้องพักนักบิน ต่างคนต่างเงียบ ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ทุกคนนั่งอยู่ในที่ของตัวเอง และจมอยู่กับความคิดต่าง ๆ นานา ผู้การฌอร์นมองทุกคนอยู่สักพัก ก่อนจะเข้าเรื่อง

 

 

 

                 “เมื่อครู่เราคงได้รับทราบเรื่องอุกกาบาตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง หกกิโลเมตร ที่จะพุ่งชนอาณาเขตดาวอังคาร ทางเดียวที่เราต้องตัดสินใจตอนนี้คือ เราจะยินยอมสละชีพของเรา เพื่อคนในโลกของเรามั้ย”

 

 

 

เข้าประเด็นอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมา ไม่มีการเกริ่นยาวให้ทำใจอะไรทั้งนั้น และคำถามที่ผู้การถามมาก็เป็นคำถามที่กดดันเหลือกำลังรับ ไม่มีใครจะเตรียมใจตายได้ทันทีทันใด

 

 

 

                 “ทำไมไม่ให้โลกยิงขีปนาวุธทำลายมาล่ะ” ราฟาเอลพยายามคิดหาหนทางอื่น หนทางไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ความตายของทุกคนในยาน

 

                 “มันไกลเกินไป ไกลเกินที่ขีปนาวุธจะเดินทางมาได้” เควินตอบแทนผู้การ อาวุธที่จะสามารถยิงจากโลกมาดาวอังคาร ยังไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอที่จะทำแบบนั้นได้   “และที่อาณาเขตดาวอังคารยังไม่มีการติดตั้ง อาวุธสกัดกั้นอุกกาบาต”

 

                 “ทำไม” จูรินะถาม ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งเร่งด่วนที่ควรทำ เพราะตามสถิติ ดาวอังคารเผชิญกับการถูกอุกกาบาตพุ่งชนมากกว่าดาวโลกด้วยซ้ำ

 

                 “คอรัปชั่น”   คำตอบของผู้การเข้าใจได้ไม่ยาก และมันก็เป็นเรื่องจริง   “เป็นเรื่องที่ไม่เคยแก้ได้ ไม่ว่าจะสมัยไหน”

 

 

 

จูรินะถอนหายใจ เขาไม่รู้จะโกรธอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนดาวอังคาร หรือควรโกรธคนในรัฐบาลโลกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวกันแน่ เรนะแตะมือจูรินะเบา ๆ เธอพยายามทำให้เขาใจเย็นลง

 

 

 

                 “แล้วยานล่ะ ยานรบ ทำไมไม่ส่งขึ้นมาทำลายอุกกาบาต ทำไมต้องให้พวกเราเป็นคนจัดการเรื่องนี้”    ราฟาเอลพยายามหาหนทาง ไม่ว่าจะด้วยความกลัวตายหรือความอ่อนประสบการณ์ แต่มันก็ยื้อเวลาการตัดสินใจออกไป

 

                 “มันไม่ทัน” ผู้การฌอร์นตอบอย่างทอดถอนใจ เขาเองก็พยายามคิดหาหนทางที่จะทำลายอุกกาบาตนั้นโดยไม่ต้องสูญเสียลูกเรือของเขา แต่…มันไม่มีหนทางเลย   “ยานรบที่มีประสิทธิภาพ ยังไม่สามารถพัฒนาระบบการเดินทางด้วยระยะเวลาเร็วเพียงพอจะมาถึงรัศมีของการทำลายล้างอุกกาบาตได้ทัน”

 

 

 

ราฟาเอลถอนหายใจ หมดทางจะทำอะไรจริง ๆ ทุกคนในห้องประชุมเงียบกันไปหมด ยิ่งหาหนทาง ยิ่งเจอแต่ทางตัน ไม่มีทางอื่นเลย นอกจากจะต้องยอมสละชีพไปพร้อมกับยานลำนี้ และเพราะด้วยปัจจัยที่ยานลำนี้เป็นยานขนส่งที่ต้องรับภาระน้ำหนักขาไป ทำให้ไม่มียานฉุกเฉิน เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานให้ได้มากที่สุด หมายความว่าตอนนี้ ทุกคนในยานอลิสโตเติล หมดหนทางให้หนี มีเพียงแต่จะต้องเผชิญหน้ากับอุกกาบาตนั้น

 

 

 

                 “เป็นความบังเอิญแท้ ๆ ที่ยานของเราดันอยู่ใกล้ไอ้สวะนั่น” เควินประชดประชัน

 

                 “ผมจะถามอีกครั้ง ทุกคนจะตัดสินใจสละชีพเพื่อโลกใบใหม่ของพวกเรามั้ย”    น้ำเสียงของฌอร์นแผงอารมณ์เสียดสี แต่ก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญ

 

                 “ผมพร้อม” เควินเป็นคนแรกที่ตอบรับ เหมือนเขาจะมีคำตอบนี้อยู่แล้วในใจ และเหตุผลที่ทำให้เขาตอบเหมือนคนไม่คิดหน้าคิดหลังนั้น…    “ช่วยไม่ได้ ที่อาณาเขตดาวอังคาร พ่อกับแม่ผมเพิ่งอพยพมาอยู่ที่นี่เมื่อต้นปีนี้เอง ยังไง ผมไม่อยากให้พ่อแม่ต้องตายหรอก”

 

 

 

คนอื่นยังนิ่ง ทั้งจูรินะ เรนะ และราฟาเอล การตัดสินใจครั้งนี้ คือการตัดสินใจฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง

 

 

 

                 “เอาวะ ผมเอาด้วย ผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว เผื่อจะได้เป็นวีรบุรุษกับเค้าบ้าง” ราฟาเอลพูดเหมือนก้ำกึ่งว่าเป็นคนไม่มีอะไรจะเสีย หรือไม่เห็นทางเลือกไหนให้เลือก

 

 

 

ไม่มีใครรู้ความในใจของราฟาเอล แต่เขาก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว

 

 

 

                 “ตกลง” จูรินะพูดออกมาอย่างยากเย็น แต่ก็แน่วแน่ ไม่มีประโยชน์ที่ปฏิเสธ เพราะมันก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาออกไป และเขาคงกลับโลกไม่ได้หรอก ถ้ายอมทิ้งคนเป็นล้านคนให้ต้องเผชิญกับอุกกาบาตบ้า ๆ นั่น    “เพื่อประชากรโลก”

 

                 “ถ้าจูรินะตกลง ฉันก็ตกลง เราตายแค่นี้ ดีกว่าเห็นคนเป็นล้านคนต้องตาย”   เรนะเป็นคนสุดท้ายที่ให้คำตอบ จูรินะหันมองเรนะ เขากัดกรามตัวเองเอาไว้แน่น เพื่อฝืนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน

 

 

 

ผู้การฌอร์นถอนหายใจ และพยักหน้ารับคำตอบของทุกคน

 

 

 

                 “ในเมื่อทุกคนยินยอม ผมจะขอเริ่มภารกิจทำลายอุกกาบาตตั้งแต่วินาทีนี้”   ผู้การฌอร์นหลับตาแน่น ก่อนจะลืมตาขึ้น    “ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง”

 

 

 

ผู้การฌอร์นทำความเคารพเพื่อให้เกียรติทุกคนในห้อง ราฟาเอลกับเควินรีบยกมือขึ้นทำความเคารพกลับ ก่อนที่ฌอร์นจะเดินออกจากห้องไป เควิน และราฟาเอลออกไปทำหน้าที่นักบิน จูรินะกับเรนะนั่งมองหน้ากัน

 

 

 

                 “เรนะ เอาจริง ๆ นะ ฉันยังไม่อยากตาย” จูรินะบอกเสียงสั่น เขาปิดบังความกลัวของเขาไม่ได้อีกแล้ว

 

                 “ฉันก็ไม่อยาก แต่เราไม่มีทางเลือก”    และไม่ใช่ว่าเรนะไม่กลัว แต่มัน…ไม่มีหนทางอื่นนอกจากนี้

 

                 “ฉันยังอยากมีเวลาอยู่กับเธอ… มากกว่านี้”

 

                 “เหมือนกัน”    จูรินะสบตากับเรนะนิ่ง คนที่อยู่ตรงหน้า จะมีเวลาเหลือให้เห็นกันอีกไม่นาน ความรู้สึกที่ต้องมารับรู้ว่าอีกไม่นานตัวเองจะต้องจากคนรักไปตลอดกาล มันช่างเจ็บปวดและยากที่จะทำใจยอมรับ มันทรมานกว่าการไม่รู้ ทรมานกว่าการเลิกรา การจากกัน…ทั้งที่ยังรัก

 

                 “ฉันรู้สึกว่า ฉันยังรักเรนะได้ไม่มากพอ”   เขาเสียดาย ที่เวลาของเขาและเรนะมีน้อยเหลือเกิน เขาไม่คิดว่าจุดจบของความรักจะดำเนินมาเร็วขนาดนี้ และมันเป็นจุดจบที่เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

 

                 “ไม่หรอก มันมากพอแล้ว… ทุกอย่างมากพอแล้ว”

 

 

 

เรนะลูบแก้มของจูรินะอย่างแผ่วเบา จูรินะจับมือของเรนะแนบกับหน้าแล้วซบลงบนฝ่ามือนั้น จูรินะหลับตา นึกถึงรักที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอ

 

 

 

 

 

 

 

 

xxxxxxxxxxxxxxxxxxx

 

 

 

 

 

 

 

                 **ย้อนความ**

 

 

                 จูรินะมองหน้าหญิงสาวที่พันแผลให้ หลังจากที่ไปซ่อมสายพาน แล้วพลาดทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ

 

 

 

                 “วิศวกรยานอวกาศก็มีอยู่คนเดียว ทำอะไรระวังบ้างสิ ทำงานมาตั้งนาน  ยังจะพลาดเป็นแผลมาอีก”   คุณหมอสาวทำแผลไปบ่นไป แต่ดูเหมือนคนไข้จะไม่ได้สะทกสะท้านกับคำต่อว่า เขากลับยิ้มชอบใจที่คนอีกคนทำเป็นบ่น แต่ก็ห่วงเขาไม่น้อย ก็พอเดินเข้ามาพร้อมรอยแผลที่มือ เรนะก็ดูตกใจ และวิ่งวุ่นไปทั้งห้องพักของเธอ

 

                 “แหม ก็เหมือนคุณนั่นแหละ เป็นหมอ แต่ก็เมาอวกาศ”    เขาอดไม่ได้ที่จะแซวสาวเจ้าเมื่อครั้งที่เดินทางออกจากโลก

 

                 “เรื่องนั้นผ่านมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังจะมาแซวฉันอีกนะ แล้วเรื่องเมาอวกาศน่ะ เรื่องสุวิสัย แต่เรื่องที่คุณโดนบาดมาน่ะ มันประมาทชัด ๆ”   เธอมองสบตาเขาเอาเรื่อง ได้แผลมาแบบนี้ยังจะปากดี เดี๋ยวก็ไม่ทำแผลให้ซะเลย

 

                 “ค่ะ ๆๆ คราวหลังจะระวังค่ะ คุณหมอ”   เขาตอบพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น เรนะพยายามจะไม่เอามาเป็นอารมณ์ ไอ้ท่าทางแบบนี้มันตั้งใจกวนเธอนี่นา

 

                 “เสร็จแล้ว”    เธอบอกกับเขาเมื่อทำแผลให้เขาเสร็จเรียบร้อย

 

                 “ขอบคุณมากนะ”

 

 

 

เขามองผ้าพันแผลที่หลังมือของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองเรนะ หน้าของทั้งสองใกล้กันมาก ใกล้จนจูรินะหวั่นไหว

 

 

 

                “เอ่อ… ทำไมเอาหน้ามาใกล้จัง”  เป็นครั้งแรกที่คนขี้เล่นถึงกับทำอะไรไม่ถูก

 

                “มีแผลที่หน้าด้วยรึไง”   เธอบอกพร้อมกับจับใบหน้าของเขา แต่กลายเป็นว่ารอยเลือดที่เธอเห็น เป็นรอยเลือดธรรมดา    “แค่รอยเลือดนี่”

 

 

 

น่าจะเป็นรอยเลือดจากแผลที่มือของจูรินะ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงอีก เรนะจะดึงมือออก แต่จูรินะจับมือของเรนะให้จับใบหน้าเขาไว้

 

 

 

                “อะไร”   เธอถามเสียงแข็ง ยังจะมาทำเป็นเล่นอะไรกับเธออีก

 

                “อืม…”   เขาทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ถ้าจะผิดก็ผิดเพราะเรื่องที่เรนะทำไว้ก่อนหน้าเนี่ยแหละ เอาหน้ามาใกล้เอง และมันก็ทำให้เขา… อดใจไม่อยู่เสียแล้ว 

 

 

 

ลมหายใจของทั้งสองปะทะกัน จูรินะไม่อาจสะกดกลั้นใจให้ละสายตาจากเรนะได้ เรนะเริ่มรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นมองสบตาจูรินะ สายตาประสานสายตา 

 

 

จูรินะไม่รอให้เรนะถามอะไรอีก เขาดึงตัวเธอเข้ามาและบดเบียดริมฝีปากของเขาเข้าหาริมฝีปากของหญิงสาวที่ออกอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ทว่า… อาการขัดขืนของคนอีกคน มันก็เกิดขึ้นเพียงไม่นาน

 

 

 เมื่อหัวใจประสานหัวใจ จูบแรกจากความรู้สึกลึก ๆ ของทั้งสองที่เกิดขึ้น นำเขาและเธอไปสู่บทเพลงรักท่ามกลางอวกาศ ที่ห่างจากโลกหว่าหกร้อยล้านกิโลเมตร

 

 

 

 

 

 

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

 

 

 

 

 

 

 

 

                 จูรินะกับเรนะเดินออกมาที่ห้องนักบิน ฌอร์นยืนมองอวกาศภายนอก เควินขับยานด้วยความเร็วมากกว่าปกติ ราฟาเอลรายงานผลเป็นระยะ

 

 

 

                 “ยานอวกาศจะพุ่งเข้าชนอุกกาบาตในอีก สิบชั่วโมง ห้านาที”

 

 

 

ถ้ายานไม่สามารถเปลี่ยนวิถีของอุกกาบาตได้ จะเป็นยังไงนะ อุกกาบาตจะพุ่งชนดาวอังคารอยู่มั้ย ที่เราทำจะเสียเปล่าหรือไม่ นี่คือคำถามที่อยู่ในใจทุกคน จูรินะเดินไปยืนมองอวกาศพร้อมเรนะ ทั้งสองมองเห็นอุกกาบาตรตัวปัญหาอยู่ลิบ ๆ

 

 

คนเราต้องรู้จักการทำใจ และยอมรับมันให้ได้ จูรินะเริ่มรู้สึกอย่างนั้น จูรินะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ

 

 

 

                 “ผู้การว่า เมื่อเราตายไป ไม่สิ เมื่อเราแตกสลาย เราจะกลายเป็นอะไรในอวกาศ”   จูรินะพูดถึงความตายด้วยใบหน้าเรียบเฉยขึ้น

 

                 “เป็นฝุ่น”    ผู้การตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

 

                 “ฝุ่นฝงในอวกาศ…”   เรนะทวนคำนั้นของผู้การณอร์น    “ดูเป็นค่าตอบแทนที่น้อยนิดจังนะคะ ทั้ง ๆ ที่เราช่วยปกป้องคนเป็นล้าน ๆ คน”

 

 

 

จูรินะ เรนะ และผู้การหัวเราะออกมาเบา ๆ ณ ช่วงเวลาของชีวิตที่หดสั้นลงเรื่อย ๆ ดูเหมือนทุกคนเริ่มจะยอมรับความตายได้ทีละน้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

………………………….

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                 เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบที่ทุกคนไม่เคยคาดคิดมากก่อน เวลาสิบชั่วโมงมันผ่านไป จนเหลือแค่ชั่วโมงเดียวเพียงชั่วพริบตา จูรินะกับเรนะเดินกลับมาที่ห้องพัก นั่งลงบนเตียงที่คุ้นเคย

 

 

 

                 “เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน” จูรินะพูดสิ่งที่เขายังรู้สึกอยู่ในใจ เขาอยากจะรู้จักเรนะให้มากกว่านี้ อยากมีเวลาด้วยกันให้นานกว่านี้ อยากใช้ชีวิตร่วมกันให้ยาวนานที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้

 

                 “แต่เราสองคนก็ได้รักกัน ฉันว่ามันคุ้มค่าแล้วนะคะ”   เรนะบอกกับจูรินะพร้อมรอยยิ้ม    “การได้อยู่ในช่วงเวลาที่ถูกรัก และได้รัก ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว”

 

                 “แต่ว่ามันก็ยังไม่มากพออยู่ดี”

 

 

 

เรนะเพียงแค่ยิ้มกับคำพูดของจูรินะ เธอเองก็อยาก…จะมีเวลากับเขามากกว่านี้เหมือนกัน จูรินะหันมองไปทางหน้าต่างของห้องพัก ทิ้งสายตาว่างเปล่าไปยังห้วงอวกาศที่มืดมิด

 

 

 

                 “เรนะ ถ้าเราสองคนตายไป เราจะได้กลายเป็นดวงดาวมั้ย”    มองดูดวงดาวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องหน้า เขาและเธอจะได้กลายเป็นดวงดาว… ดวงเดียวกันรึเปล่า

 

                 “ก่อนเป็นดาว ต้องเป็นเนบิวลาก่อนนะ”    เรนะพูดไปเรื่องวิชาการ จูรินะหัวเราะออกมาเบา ๆ กับคำตอบนั้น นั่นสินะ ก่อนจะเป็นดวงดาวได้ก็ต้องเป็นเนบิวลา และต้องอาศัยเวลาอีกกี่พันปีกันนะ

 

                 “นั่นสินะ เราตายท่ามกลางอวกาศ น้อยคนนะที่จะมีโอกาส”   คำพูดกึ่งประชดประชันแต่มันก็ออกมาพร้อมรอยยิ้ม

 

                 “ใช่ แล้วเราสองคน จะได้อยู่ด้วยกันท่ามกลางอวกาศ ตลอดไป”   ฟังดูโรแมนติกแต่ก็น่าเศร้ายังไงก็ไม่รู้ จูรินะหันมองเรนะ แววตาของทั้งสองที่สะท้อนภาพของกันและกัน ที่จะได้เห็น…อีกเพียงไม่นาน

 

                 “ฉันรักเธอนะ เรียกว่า… รักจนวันตายได้รึเปล่า”    มัน…ก็คงจะเรียกว่าอย่างนั้นได้ไม่ผิดนัก

 

                 “ฉันก็เหมือนกัน ฉันรักเธอนะ จูรินะ”

 

 

 

เรนะยิ้ม จูรินะยิ้ม ทั้งสองไม่เหลือคำพูดใด ๆ ที่ต้องพูดกันอีก จูรินะจูบเรนะเบา ๆ ที่หน้าผาก เรนะหลับตาลง เมื่อจูรินะบรรจงจรดริมฝีปากอุ่น ๆ ลงที่ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ มือของทั้งสองตระกรองกอดกันอย่างทะนุถนอม มือข้างหนึ่งจับประสานกันแน่น เหมือนบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่ด้วยกัน วาระสุดท้ายจะใกล้เข้ามามากเพียงใด แต่ความรักของทั้งสองจะไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง

 

 

              ยานอวกาศพุ่งชนอุกกาบาต เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แต่คงไม่มีใครได้เห็นและได้ยิน ยานอวกาศ รวมถึงทุกอย่างที่อยู่ในนั้น แหลกสลายในพริบตา ไม่มีเหลือแม้เศษซากให้ได้เห็น จะมีก็แต่อุกกาบาตที่เปลี่ยนทิศทางไป มนุษย์โลกจะมีชีวิตที่ดีพร้อมบนดาวอังคารต่อไป

 

 

แต่สิ่งนี้ก็ต้องแลกมาด้วยวิญญาณ และดับสิ้นชีวิตรักของคนสองคน แต่เขาและเธอจะยังล่องลอยอยู่ด้วยกันท่ามกลางอวกาศ รอเวลารวมตัวกลายเป็นดวงดาวที่งดงาม

 

 

 

 

 

…………………………..

 

 

 

 

END

 

 

 

 

 

 

 

==========================================

 

 

แด่นักบินอวกาศผู้เสียสละ

ฮืออออออ

 

พักเรื่องผีสักแป๊บ

มาเปลี่ยนแนวไปท่องอวกาศกันครับ

เป็นSifi drama ที่ทั้งสนุกและปนๆความเห็นใจตัวละครไปในเวลาเดียวกัน//อินจัด = =”
มีความรู้สึกว่าคู่นี้เหมาะกับแนวหนักๆจริงๆ

รู้สึกใจหาย…

จนกระทั่งนึกได้ว่า
หลังจากจูบนั้น…
ระหว่างที่กำลังพุ่งชน…
สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่?
555555555555555555555

พักเรื่องผีแล้วพามาเครียด ฮือออออ

ทำไมไม่ใช้ 10 ชั่วโมงนั้นให้คุ้มค่าคะ
เผื่อจะท้อง….?

ใจร้ายจังค่ะ T_T

เรื่องนี้น่ารักจังเลยค่ะ…  TT TT

เราว่ามันทั้งซึ้งทั้งเศร้าในเวลาเดียวกัน

เป็นเรื่องที่ดีมากค่ะรู้สึกอินมากๆ5555

กำลังเรียนเรื่องอวกาศอยู่พอดีเลยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกสมจริงมาก
แล้วเรื่องชีวิตบนอวกาศ เป็นอารมณ์ที่แบบ…เกินจะบรรยายอ่ะ คืออินนน
เบิ้ลอิน่าร้ากกกกกก เสียดายน่าจะได้กลับโลกไปแต่งงานมีลูกกันซักเจ็ดแปดคน?!5555555

โห…โรแมนติก
จะว่าเศร้าก็ไม่เชิงนะอย่างน้อยเขาทั้งสองคน
ก็อยู่ด้วยกันในอวกาศตลอดไป… โห…

อึน…….เป็นความรู้สึกอึนๆ
เหมือนลอยเคว้งในอวกาศ