[OS] Special Girl (Wmatsui) – END – 29/02/16 UP!!

+ 01 +

 

 

 

 

      อากาศในตอนเช้าที่แสนจะดีนั้นเป็นอุปสรรคที่หนักหนาที่สุดในสามโลกสำหรับนักเรียน นักศึกษาหรือแม้กระทั่งคนวัยทำงาน แต่เพราะมันเป็นหน้าที่ ต่อให้มันจะหนักหนาแค่ไหนก็ต้องพยายามลากสังขารตัวเองออกจากเตียงนอนที่แสนนุ่มนั่นมา และเด็กสาวร่างสูงคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

หาว…

 

 

     อ้าปากหาวออกมาหวอดใหญ่ ดวงตานั้นก็ใกล้จะปิดเต็มที

 

 

     “ง่วงชะมัด…..” บ่นงึมงำเบาๆ กับตัวเองด้วยสติที่แสนจะล่อแล่ “หือ…” ครางออกมาเบาๆ ในลำคอก่อนจะหรี่ตามองบางอย่างที่แสนจะคุ้นเคยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พอปรับโฟกัสสายตาเป็นปกติก็ต้องเบิกตากว้างออกมาแล้วลุกลี้ลุกลนวิ่งไปหลบหลังป้ายรถเมล์ พลางค่อยๆ ชะโงกใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อออกมาดู

 

 

      เด็กสาวกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ด้วยใบหน้าฟินๆ แต่เคลิ้มได้ไม่นานก็ต้องตกใจ

 

      “เฮ้ย!! จูรินะ มายืนทำตัวน่าสงสัยอะไรตรงนี้” บุคคลมาใหม่แหกปากเรียกชื่อเขาจนเขาตกใจแต่ไม่ใช่แค่เขาที่ตกใจ คนทั้งป้ายรถเมล์หันมามองเป็นตาเดียวพร้อมกัน รวมทั้งเธอคนนั้นด้วย

 

       จูรินะยืดตัวขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนจะล็อคคอตัวการที่ทำให้ขายหน้าต่อหน้าสาธารณะชน ขายหน้ากับคนอื่นไม่เท่าไหร่หรอกแต่กับเธอนี่สิ ไม่รู้จะคิดยังไง…

 

 

       หลังจากลากคอตัวแสบออกมาไกลพอสมควรเขาก็ผลักเพื่อนตัวเองออกจากตัวด้วยท่าทางหัวเสีย

 

 

       “แกจะบ้าเหรอวะโมกิ ตะโกนมาได้ ฉันอับอายนะเว้ย” จูรินะหายใจฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์พลางเบือนหน้าไปด้านอื่น อีกคนก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรซักนิด ความจริงที่เขาตะโกนเสียงดังนั้นก็เพราะเจตนาที่อยากทำให้จูรินะอับอายนี่แหละ

 

 

        “อะไรเล่า ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน คนแถวนั้นเขาจำแกไม่ได้หรอก ฮะๆ” ขำออกมาเบาๆ กับท่าทางของจูรินะ

 

 

         “ไม่ใช่แกนี่” พูดใส่หน้าโมกิก่อนจะก้าวเดินแยกออกมาเพื่อไปโรงเรียน แต่ก้าวยังไม่ถึงสองก้าวเสียงของโมกิที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็ทำให้เท้าของเขาหยุดชะงัก

 

 

         “แกไม่ได้อายคนที่อยู่ในป้ายรถเมล์ทั้งหมด…” โมกิเห็นจูรินะชะงักไปเขาก็ยิ้มออกมาบางๆ แล้วเดินไปกอดคอจูรินะไว้พลางพูดต่ออย่างสบายอารมณ์ “แกอายคนคนเดียว… ผู้หญิงคนนั้นสินะ” พูดจบปุ๊บจูรินะก็หน้าแดงปั๊บ เขาสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของโมกิแล้วชี้หน้า

 

 

         “กะ แกรู้ได้ไง!!”

 

 

         “เอ้า ไอ้นี่ ฉันเพื่อนแกนะเว้ย มีเรื่องไหนที่ฉันจะไม่รู้บ้าง” โมกิเดินเข้าไปกอดคอจูรินะอีกครั้งแล้วขืนใจให้จูรินะต้องเดินไปพร้อมเขา

 

 

         จูรินะได้แต่ก้มหน้าก้มตาซ่อนใบหน้าที่แสนแดงแปร๊ดนั่นแล้วเดินไปพร้อมโมกิอย่างเงียบๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       “แกอย่าบอกใครนะโมกิ” จูรินะพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แสนกังวล เวลานี้เป็นเวลาพักเที่ยงโมกิกับจูรินะจึงมานั่งกินข้าวอยู่ใต้ต้นไม้หลังโรงเรียนเพราะมันไม่ค่อยมีคน

 

 

        โมกิดึงตะเกียบออกจากปากพลางเคี้ยวอาหารแล้วพูดออกมา

 

     

        “ทำไม? ที่ถามนี่ฉันไม่ได้หมายความว่าฉันจะบอกใครหรอกนะ แต่ฉันแค่สงสัยว่าทำไมต้องกลัวคนอื่นรู้”

 

 

        “เพราะถ้าคนอื่นรู้ ฉันกลัวว่าเรื่องที่ฉันชอบเธอจะถึงหูเธอน่ะสิ” จูรินะตอบเสียงค่อย โมกิถึงกับขมวดคิ้วงงในความคิดของจูรินะ เขาเลิกสนใจข้าวกล่องแล้วหันมาสนใจจูรินะแทน

 

 

        “แล้วทำไมแกถึงไม่อยากให้เธอรู้?”

 

 

        “เพราะฉันเด็กไป”

 

 

        “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” ได้ทีโมกิก็สอบสวนทันที ถึงจะรู้ว่าจูรินะชอบใครก็เถอะแต่เขาก็ไม่ได้รู้มากขนาดนั้น อันที่จริงเขาเพิ่งจะรู้มาไม่นานด้วยซ้ำเพราะพฤติกรรมของจูรินะมันแปลกๆ เฉพาะช่วงมาเรียนกับเลิกเรียนเขาจึงแอบสะกดรอยตามก็ได้ความว่ามันแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่งนั่นเอง

 

 

        “เอ่อ…” จูรินะมีท่าทีที่อ้ำอึ้งแถมหลบตาเขาอีกต่างหาก

 

 

        “ตอบมา” โมกิเอ่ยเสียงจริงจัง จูรินะสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนจะเล่า

 

 

        “เธอเป็นครูน่ะ ครูโรงเรียนอนุบาลข้างๆ นี้อ่ะ ฉันเจอเธอครั้งแรกเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ป้ายรถเมล์นี่แหละ…” แล้วจูรินะก็เงียบไปเขาคิดว่าแค่นี้โมกิคงจะเข้าใจและไม่อยากรู้ต่อ แต่เขาคิดผิด พอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละอีกคนนั่งจ้องเขม็งมาทางเขาอย่างจริงจังสุดๆ จูรินะถึงกับเหงื่อตกจึงต้องเล่ารายละเอียดทั้งหมด

 

 

 

 

        สองอาทิตย์ก่อน

 

 

        ฉันมัตสึอิ จูรินะ เด็กม.ปลายที่หน้าตาดีที่สุดในชั้นเรียน เรียนเก่งที่สุดในชั้น กีฬาก็เก่งสุดในชั้นไม่มีใครเทียบได้(ก็ว่าไปนั่น) ความรํก? อืม…ของแบบนั้นฉันไม่มีหรอกตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องเรียนก่อนดีกว่า รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียนสโลแกนของฉันเอง

 

 

        ตอนนี้เวลาหกโมงเช้า เป็นไงล่ะฉันเด็กเรียนใช่ไหมไปโรงเรียนแต่เช้าวันแรก หุหุ อันที่จริงไม่ใช่หรอก น่าสงสารตัวเองที่สุด ปกติฉันต้องไปโรงเรียนเกือบจะแปดโมงแต่วันนี้ไม่รู้ว่าท่านหญิง(คุณแม่)ที่บ้านไปกินรังแตนที่ไหนมาก็ไม่รู้เดินกระแทกเท้าขึ้นมาลากคอฉันโยนเข้าห้องน้ำให้มาเรียนแต่เช้าซะงั้น สงสัยถูกหวยกิน

 

 

        ถึงฉันไม่เห็นหน้าตัวเองแต่ฉันมั่นใจเลยว่าหน้าตาฉันเป็นยังไง ฉันก้าวเท้าขึ้นรถเมล์เมื่อรถเมล์มาจอดเทียบป้ายแต่ขึ้นยังไม่ถึงบันไดขั้นที่สองก็ต้องตกใจจนตาแทบหลุดออกจากเบ้าเพราะผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าเกิดส้นรองเท้าหักจนเสียหลักหงายหลังลงมาหาฉัน ฉันตั้งสติภายในไม่กี่วินาทีใช้มืออีกข้างจับราวขึ้นรถเมล์เอาไว้อีกข้างก็โอบเอวบางของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้

 

 

        ฉันตกใจจนหัวใจแทบวายกำลังจะต่อว่าหญิงสาวในความซุ่มซ่ามของเธอก็ต้องกลืนคำเหล่านั้นลงท้องแทนข้าวเช้าไปหมด

เมื่อได้เห็นดวงหน้าเธอเต็มๆ หัวใจที่เต้นเร็วเพราะตกใจกลับยิ่งเต้นเร็วเข้าไปอีก

 

 

        สวยจัง

 

 

        ไม่รู้ว่าฉันมองหน้าเธอนานแค่ไหน กว่าจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็โดนคนที่ต่อคิวด้านหลังโวยวายใส่ ฉันจึงหันไปจิกตาใส่เบาๆ แล้วค่อยๆ ประคองเธอให้ยืนขึ้นแล้วถือวิสาสะจูงแขนเธอให้ไปนั่งแต่ที่นั่งดันเต็มซะงั้น เลยต้องยืนโหนเป็นลิง

 

 

        ฉันก้มมองรองเท้าส้นสูงของเธอที่มันไม่เสมอกันก่อนจะตัดสินใจถอดรองเท้าผ้าใบตัวเองออก

 

 

        “นี่ถอดรองเท้าคุณสิ”

 

 

        “เอ๊ะ?” แน่ะ ยังจะมาทำน่ารักใส่

 

 

        “ถอดรองเท้าคุณออกมา” ฉันบอกเธออีกครั้ง เธอก็ทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมถอด พอเธอถอดแล้วฉันก็ใช้เท้าเขี่ยรองเท้าตัวเองไปใกล้ๆ เท้าเปลือยเปล่าของเธอ

 

 

        “จะให้ฉันใส่รองเท้าเธอเหรอ?” เธอถามออกมาด้วยสีหน้าอึ้งๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เข้าใจอะไรยากหรือไงกัน

 

 

        “ใช่”

 

 

        “แต่…”

 

 

        “ใส่ๆ ไปเหอะน่า” ฉันพูดโดยไม่มองหน้าเธอ แล้วก็เลิกทำหน้าแบบนั้นซักที มันน่ารักเดี๋ยวฉันก็อดใจไม่ไหวพอดี

 

 

        เธอกำลังจะอ้าปากปฏิเสธอีกครั้งฉันก็หันไปทำหน้าดุๆ ใส่เธอจึงยอมใส่ ฉันหันกลับไปมองด้านหน้าดังเดิมแล้วก็ตกอยู่ในความเงียบ กลิ่นน้ำหอมของเธอลอยเข้ามาเตะจมูกจนต้องพยายามความคุมสติตัวเองไม่ให้เพ้อ แล้วจู่ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นเรียกความสนใจฉันได้เป็นอย่างดี เพราะอะไรน่ะเหรอ…

 

 

        “มัตสึอิ จูรินะ ขอบคุณนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณพลางยิ้มหวานให้

 

 

        อา…ฉันรู้สึกเหมือนใกล้จะตาย เดี๋ยวนะ! ทำไมเธอรู้ชื่อฉัน

 

 

        “เอ๋ รู้ชื่อฉันได้ไง” เธอก็ชี้นิ้วมาที่ป้ายชื่อตรงหน้าอกด้านขวา ฉันก้มมองตามก็ถึงกับอ๋อ “มะ ไม่เป็นไร แล้วคุณชื่ออะไร”

 

 

        “มัตสึอิ เรนะค่ะ” มัตสึอิ? นี่เราแต่งงานกันแล้วเหรอถึงได้นามสกุลเดียวกัน ไม่ใช่ละ กลับมาๆ สติฉัน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ นามสกุลเหมือนกันเลย นี่คือสิ่งที่ฉันอยากตอบ

 

 

        “อะ อื้อ” อยากจะเอาเหล็กมาง้างปากตัวเองจริงๆ

 

 

        และแล้วก็ถึงที่หมาย ฉันรีบเดินลงจากรถอย่างรวดเร็วด้วยเท้าเปล่ามือก็ถือรองเท้าส้นหักของเธอลงมาด้วย นึกไว้ในใจว่าพ้นจากสถานการณ์ที่ทำให้หน้าร้อนผ่าวได้แล้ว แต่ยังไม่ทันได้โล่งอกร่างของหญิงสาวก็มายืนอยู่ข้างๆ

 

 

        “เอ๊ะ คุณลงป้ายนี้เหรอ?” ฉันถามเธอด้วยความงง

 

 

        “ค่ะ ฉันทำงานอยู่ที่นั่น” แล้วเธอก็ชี้ไปยังสถานที่ข้างๆ โรงเรียนฉัน นั่นมัน…

 

 

        “โรงเรียนอนุบาลหมีน้อย?”

 

 

        “ค่ะ” เธอยิ้มตอบ

 

 

        “อย่าบอกนะว่าคุณเป็น…!!” ฉันเว้นช่วงคำพูดไว้ ต้องใช่แน่ๆ

 

 

        “ค่ะ” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ซักหน่อยว่าฉันจะพูดอะไร

 

 

        “แม่บ้าน”

 

 

        “เอ๊ะ มะ ไม่ใช่ค่ะฉันเป็นครู” อ๋อ เป็นครู ก็ว่าอยู่แม่บ้านที่ไหนจะมางามหยดย้อยขนาดนี้

 

 

        “อ๋อ งั้นเราคงได้เจอกันบ่อยๆ นะคะ คุณครูเรนะ” พูดไปงั้นแหละ

 

 

        ฉันยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดเธอก็ยิ้มตอบ แล้วเราก็แยกกัน โดยเธอสวมรองเท้าฉัน ส่วนฉันเดินเท้าเปล่ามือขวาถือกระเป๋ามือซ้ายถือรองเท้าเธอ

 

 

        “มัตสึอิซัง” เสียงทุ้มๆ ของชายวัยกลางคนเรียกชื่อฉันเอาไว้

 

 

        “คะ?” ฉันหันไปขานรับอย่างอารมณ์ดี

 

 

         “ทำไมไม่ใส่รองเท้า แล้วรองเท้าส้นหักนั่นมันอะไร?” เออนั่นสิ ฉันจะถือรองเท้าเธอมาทำไมเนี่ย!!

 

 

 

 

 

 

        กลับมาปัจจุบัน

 

 

        “นี่แหละเรื่องราวทั้งหมด”

 

 

        “อืมๆ…” โมกิทำหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ย “งั้นแสดงว่าหลังจากวันนั้นแกกับครูเขาก็เจอกันทุกวันคุยกันทุกวันเลยสินะ” โมกิพูดเพราะเห็นว่าจูรินะบอกว่าคงได้เจอกันทุกวันแน่

 

 

        “หึ!!” จูรินะตอบปฏิเสธออกไปอย่างทันใดจนโมกิหันมาหาคอแทบเคล็ด

 

 

        “อ้าว แล้วที่แกตามเธออยู่ทุกวัน…”

 

 

        “เธอไม่รู้” จูรินะพูดแทรกขึ้นทันที

 

 

        “ถุย!!”

 

 

        “ก็ถึงได้บอกว่าฉันเด็กไป เธอเป็นครูฉันเป็นนักเรียน” เอ่ยตัดพ้อสถานะตัวเองพร้อมกับปิดฝากล่องข้าวอย่างเศร้าๆ

 

 

        “ก็เลยแอบตามเป็นสโตรกเกอร์เนี่ยนะ ไหนบอกจะเจอกันทุกวันไงฟะ!!” ได้ยินโมกิพูดดังนั้นก็หูผึ่งหันไปมองอย่างเอาเรื่อง

 

 

        “ไม่ใช่สโตรกเกอร์!! แล้วอีกอย่าที่บอกว่าจะเจออ่ะก็เจอทุกวันจริงๆ นิ” ยังกล้าแถ 

 

 

        “หูยยย ช่างกล้า แล้วเป็นอะไรถ้าไม่ใช่สโตรกเกอร์?”

 

 

        “ผู้พิทักษ์…เว้ย อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ…” ประโยคหลังแทบจะกระซิบ แต่โมกิก็ได้ยิน

 

 

        “ถุยยย!!” เอาไปอีกดอก

 

 

 

 

 

………………………………………….

 

 

 

 

 

 

        จูรินะสับเท้าวิ่งโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอย่างสุดชีวิต เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะต้องการจะไปให้ทันหญิงสาวที่เขาแอบชอบ แต่เพราะเป็นวันแรกที่เขาจะเข้าโรงเรียนสายกว่าแปดโมงน่ะสิแถมครูที่ยืมหน้าประตูวันนี้ก็เป็นครูชิโนดะ มาริโกะ ฉายานางพญาสุดโหดนั่นเอง

 

 

        เหตุผลที่ต้องทำให้เขาตื่นสายแล้วต้องมาวิ่งเป็นนักวิ่งมาราธอนนั้นก็คือโมกิ เมื่อวานโมกิบอกจะช่วยทำให้จูรินะมีความกล้าที่จะเข้าหาเรนะโดยไม่ต้องแคร์สถานะ กว่าจะคุยกันเสร็จก็เกือบตีสอง สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร

 

       แต่เจ้าตัวแสบดันเดินลอยหน้าลอยตาเข้าโรงเรียนอย่างสบายใจเฉิบ จูรินะเห็นโมกิที่เป็นเป้าหมายอยู่ด้านหน้าไกลๆ ก็เร่งสปีดขึ้นไปอีกกำลังจะเข้าประตูไปแล้วเชียวก็มีมือยาวๆ ของใครบางคนคว้าคอไว้จนต้องส่งเสียงออกมา

 

 

       “แอ๊ก…” โมกิที่เดินอยู่ด้านในรั้วได้ยินเสียงด้านหลังก็หันมามองพอเห็นว่าเป็นใครก็สะดุ้งเบาๆ แล้วทำท่าขอโทษขอโพยอีกคนที่ถูกกักตัวไว้หน้าโรงเรียน จูรินะทำได้เพียงคาดโทษเพื่อนรักในใจอย่างเคียดแค้น

 

 

       “มัตสึอิซัง ทำไมมาสาย?” น้ำเสียงเย็นๆ เรียบๆ นั่นมันแทบจะเฉือนเข้าไปในขั้วหัวใจของเขา ปกติเหงื่อกไหลเยอะอยู่แล้วตอนนี้มันยิ่งไหลหนักกว่าเดิม

 

 

       “เอ่อ…..” เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาเป็นข้ออ้าง แต่ไม่ทันจะได้ตอบอะไรก็มีเสียงใสๆ ที่แม้จะได้ยินไม่บ่อยแต่ก็คุ้นหู เขาจำได้…

 

 

       “คุณครูชิโนดะ ทำอะไรเหรอคะ?” เธอเอ่ยทักทายมาริโกะด้วยรอยยิ้มตามฉบับพลางเดินมาใกล้ๆ

 

 

       “ครูมัตสึอิ พอดีฉันกำลังจับเด็กมาสายน่ะค่ะ” มาริโกะพูดพร้อมจ้องมองจูรินะที่กำลังก้มหน้างุดๆ ตอนนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกกลัวมาริโกะแล้วแต่เขารู้สึกเขินมากกว่า

 

 

       “เอ๊ะ นี่มัน ‘จูรินะซัง’ นี่” จูรินะได้ยินอีกคนเรียกชื่อก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างอึ้งๆ การเรียกชื่อจริงๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่สนิท ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงหัวใจตัวเอง “ขอโทษทีนะ ที่ทำให้โดนทำโทษ” ประโยคน้ำเสียงหงอยๆ นั่นทำให้จูรินะเรียกสติตัวเองกลับมาได้พร้อมกับใบหน้างงๆ

 

 

        “เอ๊ะ?..”

 

 

        “หือ.. หมายความว่าไง มัคสึอิซัง?” มาริโกะถามจูรินะ เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงกว่านิดๆ ด้วยใบหน้าซื่อๆ และงงไม่แพ้กัน

 

 

        “เอ่อ…”

 

 

        “พอดีเมื่อเช้าจูรินะซังช่วยฉันขนของเข้าห้องอยู่น่ะค่ะ ก็เลยมาสาย ต้องขอโทษทั้งครูชิโนดะและจูรินะซังด้วยนะคะ” เธอพูดด้วยใบหน้ารู้สึกพลางก้มหัวลขอโทษ

 

 

        จูรินะกับมาริโกะถึงกับตกใจ มาริโกะจึงเดินเข้าไปพยุงให้เรนะยืนตัวตรงเหมือนเดิม ทันทีที่สายตาของจูรินะกับเรนะประสานกันเรนะก็ขยิบตาให้

 

 

ตึก ตึก ตึก ตึก

 

 

        บะ บ้าชะมัด ขะ เข้าห้องเหรอ…

 

 

        จู่ๆ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ เขาจึงเบือนหน้าหนี ก่อนจะได้ยินเสียงมาริโกะเอ่ยอนุญาตให้เข้าเรียนได้ เขาจึงหันมาก้มหัวเคารพแล้ววิ่งเข้าโรงเรียนไปอย่างรวดเร็วไม่มองหน้าเธอซักนิด

 

 

        ก็มันเขินนี่นา

 

 

 

 

 

 

 

 

        “จูริน้า… เค้าขอโทษน้า” โมกิวิ่งเข้าไปหาจูรินะทันทีเมื่อเห็นอีกคนเข้ามา จูรินะเห็นเพื่อนตัวเองปุ๊บก็กระชากคอเสื้อเข้ามาหาอย่างแรงแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

 

 

         “แก…ไอ้โมกิ แกรู้ไหมฉันเกือบซวยแล้วนะเว้ย..” กัดฟันพูดออกมาอย่าหงุดหงิด แต่พอนึกถึงเหตุการณ์และใบหน้าเธอจู่ๆ ใบหน้าก็ร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงปล่อยมือออก “แต่ช่างเหอะ” เอ่ยตัดบทแล้วเดินเลยไปที่โต๊ะเรียน

 

 

         โมกิทำหน้างงก่อนจะเดินตามไป ปกติถ้าไม่โดนบีบคอก็ต้องโดนเมินนี่นา

 

 

         “มาริโกะซามะทำไรแกอ่ะ” ถามด้วยความเป็นห่วงเพราะจูรินะดูแปลกๆ

 

 

         “ไม่ได้ทำอะไร”

 

 

         “เอ๋!! ไม่จริงอ่ะ อย่างมาริโกะซามะเนี่ยนะ” โมกิตะโกนออกมาอย่างตกใจ จูรินะพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น

 

 

         “อันที่จริง เรนะซังช่วยฉันไว้น่ะ” คิดถึงตรงนี้ก็ใจเต้นขึ้นมาแถมรู้สึกว่าหน้าจะแดงซะด้วย

 

 

         โมกิได้ยินและเห็นใบหน้าเพื่อนก็ทำหน้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์

 

 

        “ฉันว่าแกควรเริ่มได้แล้วนะจูรินะ…”

 

 

        “เริ่ม?” จูรินะทวนคำพูดอย่างสงสัย

 

 

        อะไรอีกล่ะนั่น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

TBC.

 

 

 

…………………………………………………

 

หวายยยย แหวกดงงานมาอัพเลยค่าาา อยากอัพใจจะขาดแต่งานราษงานหลวงกองเป็นภูเขาเอเวอเรสเลยเชียว

 

มาอัพแก้เครียดซะเลย  5555+

 

ฝากด้วยนะคะ

ฮ้าย~  น่ารัก!!  >////<

เด็กมัธยมกับครูอนุบาลหมีน้อย  จูรินะหล่อ แมนและมีน้ำใจจังเลย

แต่โมกิตะโกนทักลั่นป้ายรถเมล์แบบนั้น เรนะคงรู้ตัวแล้วมั้งว่าเด็กจูแอบมอง  ฮ่าๆๆๆๆ

ถึงแม้จะเขินแต่น้องจูก็ยังกวน…ได้

จูรินะนายแมนมาก!!! ถอดรองเท้าให้โตรเท่อะ เอาใจพี่ไปเลย ฮ่าๆ

อยากจะรู้จริงว่าจูมันจีบป้าแกได้ยังไง เจอทีก็เขอนที น่ารักจริงเชียว

มาไวๆนะไรท์ซัง

มากรี๊ดโมกิค่ะ ชูป้ายไฟพร้อมสครีมเต็มที่ ถถถถถ

จู นายหล่อมาก!! นอกจากจะหน้าหล่อแล้วใจนายยังหล่อมากอีกด้วย

เสียอย่างเดียว เป็นสโตกเกอร์…

เป็นผู้พิทักษ์ อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ จ่ะ ไม่เถียง

แต่ระวังไว้เถอะ เดี๋ยวจะโดนตัดหน้า ป้าแกยิ่งสวยๆอยู่

อายุเป็นเพียงตัวเลขเว้ยย ดูอย่างเรื่องอื่นๆสิ แกยังจีบข้ามรุ่นเลย #ผิด โทษทีๆ

 

แอบนอกเรื่องนิดนึง Gift ที่จูมัดผ้าโพกหัวอ่ะ มาจาก Pv ไหนหรือหนังเรื่องไหนเหรอ?

คือ อย่างหล่ออ่ะ ยอมใจจริงๆ

ฮ้าย~  น่ารัก!!  >////<

เด็กมัธยมกับครูอนุบาลหมีน้อย  จูรินะหล่อ แมนและมีน้ำใจจังเลย

แต่โมกิตะโกนทักลั่นป้ายรถเมล์แบบนั้น เรนะคงรู้ตัวแล้วมั้งว่าเด็กจูแอบมอง  ฮ่าๆๆๆๆ

+ 02 +

 

 

 

 

 

 

      เริ่ม? เนี่ยนะที่บอกว่าเริ่ม

 

 

      “ไอ้โมกิมันคิดอะไรอยู่วะเนี่ย…” จูรินะบ่นให้เพื่อนตัวเองที่ชิ่งหนีกลับบ้านไปแล้วอย่างหัวเสีย

 

 

       หลังจากที่โมกิบอกกับจูรินะว่าให้เริ่ม ซึ่งจูรินะก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกับคำว่าเริ่มของโมกิเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็โดนโมกิพามาปล่อยไว้หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลหมีน้อยพร้อมกับดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งในมือ

 

 

       เขายกกุหลาบขาวในมือขึ้นมาดูก่อนจะค่อยๆ ขมวดคิ้ว

 

 

       เฉิ่มไปป่าววะ ให้ดอกไม้เนี่ย

 

 

        คิดพลางถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ แต่ในขณะที่ยืนเซ็งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นั้น ก็มีเสียงหวานๆ เรียกชื่อเขาด้านหลัง

 

 

        “จูรินะซัง?” จูรินะสะดุ้งขึ้นพร้อมหันกลับไปมองต้นเสียงอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเป็นใครเขาก็รีบซ้อนดอกกุหลาบที่เขาเตรียมมาไว้ด้านหลัง

 

 

        “อ่า เรนะซัง แหะๆ” หัวเราะออกมาแห้งๆ เหงื่อก็แตกพลั่กเหมือนคนไปวิ่งมาซะอย่างนั้น

 

 

        “มายืนทำอะไรตรงนี้เหรอ?” เธอถามด้วยรอยยิ้มพลางชะโงกมองด้านหลังจูรินะอย่างสงสัย

 

 

        เด็กคนนี้ชอบทำอะไรน่าสงสัย

 

 

         จูรินะพยายามเอนตัวไปด้านหลังอย่างมีพิรุธพร้อมกับคิดหาคำตอบที่จะตอบคำถามเธอ แต่จู่ๆ คำพูดของโมกิที่เสี้ยมเขาไว้ก็ลอบมาเข้าสมอง

 

 

         พอเรนะซังออกมาจากโรงเรียนแกก็เอาดอกไม้ให้เธอแล้วสารภาพเลย ไม่ต้องกลัว!

 

 

         คิดได้แค่นั้นก็อยากจะเอาหนามกุหลาบฟาดหน้าโมกิ

 

 

         ใครมันจะกล้าวะ!

 

 

         “เอ่อ… คือ ชะ..ฉัน ฉันแค่ผ่านมาน่ะค่ะ มา..มารอเพื่อน ใช่ มารอเพื่อน” ตอบอย่างติดๆ ขัด พลางฉีกยิ้มให้น้อยๆ

 

 

         “อ๋อ…” เรนะทำหน้าอ๋อพลางพยักหน้า เธอก็ลุ้นกับเด็กคนนี้ไปด้วย

 

 

         หลังจากที่พูดในสิ่งที่โมกิบอกเขาก็พยายามคิดวิธีพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ก่อนที่เธอจะถามอะไรไปมากกว่านี้ แล้วสายตาของเขาก็มองไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินก้มหน้ากดมือถือเดินมาทางเขา

 

 

         “อ๊ะ! นั่นไง เพื่อนมาแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วก็ก้มหัวให้เร็วๆ ก่อนจะติดเกียร์สิ่งไปหาเด็กคนนั้นพลางกอดคอเธอ เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างงงๆ เขาจึงยิ้มให้แหยๆ บอกเป็นนัยๆ

 

 

         โทษทีนะ

 

 

         เรนะยืนมองพฤติกรรมแปลกๆ ของเขาพลางยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายศรีษะเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากพื้นที่ประตูโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน

 

 

         หลังจากที่จูรินะเดินออกมาได้ไกลพอสมควรเขาคิดว่าคงพ้นจากสายตาเรนะแล้วเขาก็เอาแขนตัวเองออกจากเด็กคนนั้นแล้วก้มหัวขอโทษ เด็กคนนั้นก็ก้มตอบเพื่อบอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็เดินจากไป

 

 

         จูรินะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะก้มมองดอกกุหลาบขาวในมือพลางยกมันขึ้นมามอง

 

 

         “ใครมันจะกล้า…” บ่นแล้วก็จัดการยัดดอกกุหลาบเข้าปากอย่างหงุดหงิด

 

 

         แดกแม่ง!

.

 

..

 

 

….

 

…..

 

ตกค่ำ

 

 

       จูรินะเลิกคิดเรื่องของเรนะกับวิธีการที่โมกิคอยพูดกรอกหูจนเขาเก็บไปฝันแทบทุกคืนแล้วตั้งใจทำการบ้านอย่างขยันและตั้งใจ แต่ตั้งใจได้ไม่นานมือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปคว้ามันมาแล้วกดรับทั้งๆ ที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับสมุดการบ้านตัวเอง

 

 

       “ฮัลโหล…..”

 

 

        (จู!! เป็นไงวะวันนี้ เอ่อ ก่อนอื่นต้องขอโทษแกนะเว้ยที่ปล่อยแกทิ้งไว้อ่ะ แต่ที่ฉันทำฉันมีเหตุผลนะเว้ย เพราะฉันไม่อยากทำให้แกประหม่าและเป็นก้างแกไง แต่ช่างมันเหอะ! เอาเรื่องนี้ก่อนดีกว่า แกบอกเธอไปแล้วใช่ไหม? เธอว่าไงบ้าง เธอตกลงหรือแกกินแห้ว แล้วๆ…) โมกิยิงคำถามใส่จูรินะทันทีที่เขารับสาย ด้านจูรินะพอรู้ว่าเป็นใครที่โทรมาเส้นเลือดก็ถึงกับปูดขึ้นมาข้างๆ ขมับ เขาจึงพูดแทรกโมกิหลังจากที่ปล่อยให้โมกิยิงคำถามใส่

 

 

        “หุบปากไปเลยไอ้โมกิ แกไอ้เพื่อนขี้หมา กล้าดียังไงปล่อยฉันไว้แบบนั้นวันนี้ฉันเลยไปคว้าใครก็ไม่รู้มาเป็นเพื่อนชั่วคราวเพื่อเอาตัวรอด แล้วที่แกถามว่าฉันฉันบอกอะไรไปไหมฉันตอบให้เลยว่าฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ได้บอกไม่ได้ให้อะไรเลย อ่อ อีกอย่างดอกกุหลาบที่แกให้ฉันเอาไปให้เธอน่ะ ฉันกินมันไปแล้วโว้ย!!”

 

 

        (ห๊ะ…แกกินดอกกุหลาบเหรอ?) เสียงโมกิเบาหวิวเหมือนผิดหวังแล้วก็เงียบไป จูรินะรู้สึกว่าเพื่อนตัวเองเงียบไปเขาก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ และรู้สึกผิดขึ้นมาพิลึก โมกิอุตส่าห์พยายามช่วยเขาแต่เขากลับทำตัวไม่มีน้ำยา

 

 

       จูรินะเม้มปากตัวเองเบาๆ แล้วบอกกับตัวเองว่าควรขอโทษโมกิที่ทำให้โมกิผิดหวัง

 

 

       “โมกิ ฉัน…..” จูรินะยังไม่ทันจะได้พูดอะไรโมกิก็โพล่งขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน

 

 

        (แกกินดอกไม้เหรอ?!)

 

 

        “ฉันขอโทษๆ ก็ฉันคิดไม่ออกนี่หว่าว่าควรทำไงต่อฉันเลย…” จูรินะพูดจนลิ้นแทบจะพันกัน แล้วโมกิก็แทรกขึ้นมา

 

 

        (ดอกไม้มันกินได้ที่ไหนเล่า!!)

 

 

        “ห๊ะ!!” จูรินะอุทานออกมาอย่างงงๆ พลางคิดไตร่ตรองสิ่งที่โมกิพูดถึงกับรีแอคชั่นที่โมกิเงียบไป “เดี๋ยวนะ แกจะบอกฉันว่าที่แกเงียบไปเพราะแกคิดว่าดอกไม้มันกินไม่ได้ แกก็เลยอึ้งที่ฉันกินมันงั้นเหรอ?”

 

 

        (ใช่!) คำตอบของโมกิเล่นเอาจูรินะถึงกับอยากจะกระโจนเข้าไปในมือถือ

 

 

        “ไอ้ ไอ้….โอ้ยยยยย โคตรไร้สาระว่ะ แกจะบ้าหรือไงดอกไม้มันกินได้โว้ย” แล้วจูรินะก็ตัดสายทิ้งทันที จูรินะฟึดฟัดๆ ออกจากโต๊ะเขียนหนังสืออย่างหมดอารมณ์ขยันแล้วทิ้งแผ่นหลังลงเตียงนอนอย่างแรง

 

 

ฟุป!!

 

 

       แล้วหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาเพื่อนตัวแสบ

 

 

‘ทำการบ้านไปด้วยฉันจะลอก ถ้าไม่ทำฉันฆ่าแกแน่!’

-จูรินะ-

 

 

        โยนมือถือไปที่หัวเตียงหลังจากส่งข้อความเสร็จก่อนจะทอดสายตามองไปยังเพดานห้องที่มีโคมไฟส่องแสงสว่างให้แก่ห้องอย่างเหม่อลอย ในหัวก็คอยครุ่นคิดถึงเรนะ คิดถึงวันแรกตั้งแต่พบกันจนถึงวันนี้….

 

 

        ไม่เคยมีผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้ หัวใจที่มักจะเต้นเร็วเวลาอยู่ใกล้หรือเพียงแค่ได้ยินชื่อ ทำให้หน้าแดงขึ้นมาเพียงแค่เห็นหน้าโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ ยิ่งเวลาอยู่ใกล้ยิ่งทำอะไรไม่ถูก เรนะเป็นคนแรกที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้

 

 

        จูรินะหลับตาลงพลางถอนหายใจออกมาแรงๆ

 

 

        “ฉันควรมีความกล้าซักที…”

 

 

 

 

 

 

…………………………………..

 

 

 

ตึก ตึก ตึก!

 

 

 

       “มัตสึอิ อย่าวิ่งบนบ้าน!!” เสียงของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าแม่ตะโกนขึ้นมาจากห้องครัว จูรินะเบรกแทบไปทันแล้วเปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินเร็วๆ แทน “เดินเร็วก็ห้าม!” จูรินะกรอกตาไปมาอย่าเซ็งๆ แล้วเดินเหมือนคนหมดแรงลงบันไดไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

 

 

       แม่ของเขาเป็นคนใจดีในบางเวลา ถ้าเขาหรือคนในบ้านทำดีตามกฎระเบียบแต่ถ้าหากทำผิดมาเมื่อไหร่ก็จะโดนเรียกนามสกุลเหมือนเมื่อกี้ แล้วก็เทศนาให้พรแบบยาวๆ ไม่มีคิดตังค์ทันที

 

 

        “อรุณสวัสดิ์ค่ะพ่อ”

 

 

        “อรุณสวัสดิ์ หือ?” ผู้เป็นพ่อชะโงกหน้าออกมาทักทายเขาแต่พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ “นี่ตาลูกไปโดนอะไรมา ไม่ได้นอนเหรอ?” เขาเก็บหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างๆ แล้วตั้งใจพูดกับจูรินะอย่างจริงจัง

 

 

         “เปล่าค่ะ หนูแค่ตื่นเช้าไปหน่อย” สิ้นเสียงจูรินะพ่อเขาก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

 

 

         “หกโมง? ทำไมต้องไปเร็วขนาดนี้ด้วยล่ะ?”

 

 

         “หนูมีธุระน่ะ” จูรินะเลือกที่จะตอบปัดๆ ไป เขายังไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะคัดค้านแต่จะถูกแซวน่ะสิ

 

 

         “มีแฟนน่ะสิ” เสียงของแม่พูดขึ้น จูรินะที่กำลังดื่มนมนั้นนมก็แทบพุ่งออกจากปาก

 

 

         “อุ๊บ…อึก แม่!! พูดไรเนี่ย แฟนเฟิน’ไรไม่มีหรอก มั่ว!!” พูดพลางเบือนหน้าหนีไปด้านอื่น เพราะรู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้า เพียงแค่คิดว่าเรนะเป็นแฟนหน้าก็ร้อนขึ้นมาซะงั้น

 

 

         “แล้วทำไมต้องหน้าแดง?” คนเป็นพ่อถามขึ้น จูรินะหันขวับกลับมามองพลางยกนมกระดกรวดเดียวแล้วคว้ากระเป๋าวิ่งออกจากบ้านทันที

 

 

         “ไปแล้ว ไม่เอาแล้ว!!”

 

 

ปัง!

 

 

         “อะไรของเขา?” พ่อบ่นตามหลังเบาๆ พลางยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมา

 

 

         “ลูกคุณค่ะ” แม่พูดขึ้น ทั้งสองคนหันไปสบตากันก่อนที่พ่อจะเป็นคนพูดขึ้น

 

 

         “ก็ลูกคุณเหมือนกันนั่นแหละ” แล้วหันไปสนใจหนังสือพิมพ์ต่อ

 

 

.

 

 

..

 

 

 

 

….

 

 

…..

 

 

        จูรินะเดินหน้าแดงออกมาจากบ้านพลางคิดโน้นคิดนี้มโนเรื่องตัวเองไปเรื่อย แล้วเขาก็ต้องดึงสติตัวเองกลับมาเมื่อนึกไปถึงความตั้งใจที่คิดจะทำในวันนี้ เขามองไปด้านหน้าก็เห็นป้ายรถเมล์ที่ทำให้เขาและเธอเจอกัน

       

 

        จูรินะชะลอฝีเท้าลงช้าๆ แล้วเพ่งมองไปยังจุดๆ นั้นอย่างตั้งใจก่อนจะเห็นเรนะยืนอยู่ริมฟุตบาท พอเห็นเป้าหมายเขาก็สูดลมหายใจเข้าแรงๆ แล้วค่อยๆ พ่นออกมา พร้อมมองไปด้านหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น

 

 

        เอาล่ะ..

 

 

        เขาสาวเท้าเร็วๆ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมตรงไปหาเธออีกแค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ สายตาก็เริ่มพล่าขึ้นมาซะงั้น ยิ่งเข้าใกล้ เลือดก็ยิ่งสูบฉีดเร็วจนเหมือนจะเป็นลม อีกแค่นิดเดียวจะถึงแล้ว!!

 

 

        เรนะกำลังจะหันมาก็เป็นช่วงที่จูรินะหลับตาแล้วตัดสินใจเดินผ่านเธอไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นวิ่งหนีไปซะงั้น หนีไปทั้งๆ ที่ยังไม่ทันจะถึงตัวเธอด้วยซ้ำ

 

 

        ขี้ขลาดชะมัด!

 

 

        เรนะรู้สึกเห็นอะไรผ่านไปไวๆ เธอก็มองตามก็เห็นเพียงแผ่นหลังของเขา แผ่นหลังที่เธอมักจะเห็นอยู่บ่อยๆ

 

 

        “จูรินะ?”

 

 

 

 

 

 

 

ซ่า ซ่า ซ่า…

 

 

        เสียงน้ำที่ถูกเปิดจากก๊อกไหลลงมากระทบมือทั้งสองที่รองมันไว้ จูรินะใช้น้ำที่รองจากมือได้สาดใส่หน้าตัวเองแรงๆ หลายครั้งจนเสื้อผ้าตัวเองเปียกไปหมด

 

 

        จ้องมองเงาตัวเองที่สะท้อนกลับมา เขาเห็นใบหน้า ผมและเสื้อผ้าตัวเองที่ชุ่มไปด้วยน้ำ แววตาที่อยู่ในกระจก แววตาที่แสนจะมีความมั่นใจบัดนี้เหลือเพียงแววตาที่วูบไหวปราศจากความมั่นใจและความเข้มแข็ง

 

 

        จูรินะกัดปากตัวเองเบาๆ ด้วยความเจ็บใจ เขาใช้มือสองข้างค้ำยันร่างตัวเองกับอ่างล้างหน้าเอาไว้พลางก้มหน้าลง

 

 

        “เฮ้ออออ น่าสมเพชชะมัด…” บ่นเบาๆ กับตัวเองอย่างเหนื่อยล้าภายในหัวใจ ซักพักเขาก็รู้สึกถึงแรงที่แตะบนบ่าเขาเบาๆ เขาหันไปมองก็พบกับโมกิที่ทำหน้าเป็นห่วงเขา จูรินะหันกลับไปหาเพื่อนด้วยแววตาที่แสนจะอ่อนแอเขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่โมกิก็พูดขึ้นก่อน…

 

 

        “ทำไมแกต้องมาอาบน้ำที่โรงเรียนวะเนี่ย?” ใบหน้าซื่อๆ พร้อมคำถามน่าตบนั่นมันทำให้อารมณ์ซึ้งที่มีต่อโมกิเมื่อกี้หายไปหมด

 

 

        “หอก…” ด่าเพื่อนรักเบาๆ แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไปจากห้องน้ำทันที

 

 

        “เฮ้ยๆ ล้อเล่นน่า ฉันไม่อยากให้แกเครียดนะเว้ย” โมกิวิ่งมาดักหน้าจูรินะไว้พร้อมกับยิ้มให้ จูรินะถอนหายใจพลางเบือนหน้าหนี

 

 

        “เล่นไม่ออกว่ะ” โมกิหุบยิ้มทันใดแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าซีเรียสแทน

 

 

        “สรุปแกเป็นอะไร?”

 

 

        “ฉันขี้ขลาดว่ะ ทั้งๆ ที่มีโอกาสตั้งหลายครั้ง แกแนะนำฉันตั้งหลายหน ฉันก็เอาแต่หลบตลอด เมื่อเช้าก็ด้วย…” จูรินะพูดออกมาอย่างตัดพ้อตัวเอง

 

 

        “เฮ้ยย อย่าโทษตัวเองดิ ฉันเข้าใจแก รักครั้งแรกนิ? มันไม่แปลกหรอกเพื่อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ว่านะวันนี้ฉันมีอะไรมาแนะนำ” โมกิพูดออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

 

 

        “อะไรวะ?” จูรินะถามด้วยความอยากรู้ โมกิก็ยิ้มตอบกลับไปด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์

 

 

        “จับกดเลย…”

 

 

ผัวะ!!

 

 

        เสียงฝ่ามือน้อยๆ ของจูรินะปะทะเข้ากับหัวกลมๆ ของโมกิอย่างแรง จนโมกิต้องยกมือขึ้นมากุมตรงที่โดนตบพลางโอดครวญ

 

 

        “คิดได้ไง!”

 

 

        “โอยย ล้อเล่นน่า สิ่งที่ฉันจะบอกต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ทำให้สาวน้อยใหญ่ทั้งรักทั้งหลงเลยนะเว้ย”

 

 

        “แล้วอะไรล่ะ?”

 

 

        “หึหึ” โมกิหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัยพลางเดินนำไปเหมือนตัวร้ายในละครไทย จูรินะมองตามอย่างไม่มั่นใจว่าความคิดของเพื่อนคนนี้ของเขาจะปกติเหมือนคนอื่น

 

 

         จะเล่นอะไรพิเลนอีกวะเนี่ย?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

TBC.

 

 

…………………………………………………

 

เปลี่ยนเป็นจูโมกิเลยดีไหม นางเอกออกน้อยมาก ฮ่าาาาาา

 

ล้อเล่นๆ เดี๋ยวนางเอกก็ได้ออกแล้วล่ะ ตอนแรกๆ ก็เอาคู่เกรียนไปก่อนละกัน ตัวช่วยให้จูรินะมีความกล้า

 

ลงตอนนี้เสร็จคงหายไปนานซักพักนะคะ แต่ไม่ดองแน่นอนเพียงแค่ขอไปเคลียร์งานก่อนเยอะเกิน

 

มีคนอ่านไหมไม่รู้แหละแต่บอกไว้ก่อน ฮ่าาาาาาา

 

ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ

แดกดอกกุหลาบ!!!! น้องจูแดกดอกกุหลาบ!!! ถถถถถถถ
น่ารักน่าเอ็นดูแถมตลกด้วย เรนะซังอาจจะชอบก็ได้นะ ฮ่าๆๆ

ฮือ~  ค้างค่ะ  ค้าง~  TT o TT

เรนะซังอย่างกับปลากรอบ  บทน้อยเหลือเกิน 

แต่ขำตอนจูบอกว่ารอเพื่อนแล้วก็แดกดอกกุหลาบแม่ง!  ฮ่าๆๆๆๆ

จริงๆอ่านๆไปก็สงสารจูมันเหมือนกัน  ไม่กล้าพอจะบอกว่ารัก  ยิ่งเป็นครั้งแรกด้วยยิ่งบอกยาก

เอาใจช่วยเด็กน้อยต่อไป…

TBC.ขัดใจตลอด

จูเอาฮาไปไหนคะ แดกกุหลาบได้เนี่ย ฮาไม่หยุดจริง แล้วเื่อไรแกจะได้จีบป้าซักทีฮะ 

ตอนแดกกุหลาบนี่ฮาจริง สู้ๆนะไรท์
นี่เข้าข้างโมกินะ เอาเลยจู
จับกดเลยยย

สู้ๆนะน้องจู

ฮาศาสตร์! ขำสุดๆ!! 55555555
จูรินะน่ารักดีนะคะ เด็กดีมีน้ำใจนิสัยเฮฮาน่าเอ็นดู และความฮานี้มีโมกิช่วยทำให้ขำมากขึ้นอีก
แต่ที่สุดของที่สุดก็อีตอนแดกดอกกุหลาบแม่งนี่แหละ อั้นเสียงแทบไม่อยู่ ตบหน้าขารัวๆ! 5555

ขำตอนแดกกุหลาบ5555555
ไรท์เตอร์มาต่อเลย ฮือออ ลุ้นๆ

+ 03 +

 

 

 

 

 

     ผู้หญิงชอบคนเล่นกีฬา

 

 

     “โมกิ…” จูรินะเรียกชื่อเพื่อนรักพร้อมก้มมองอุปกรณ์สำหรับเล่นกีฬาที่โมกิไปหามาให้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าตัวแสบที่ยืนยิ้มแฉ่งมาให้จูรินะ “ฉันเข้าใจนะว่าผู้หญิงชอบเล่นกีฬา แต่….ไอ้ที่แกจะให้ฉันเล่นนี่มัน…” จูรินะยื่นมือที่มีอุปกรณ์ตัวปัญหาไปต่อหน้าโมกิอย่างหงุดหงิด

 

 

     “มันทำไม?”

 

 

      “มันโคตรเฉิ่มไงเล่า!! ปัดโธ่! ก็ไม่เถียงหรอกนะว่าเป็นกีฬาเหมือนกัน แต่ปิงปองเนี่ยมันเท่ตรงไหนวะ!! บาสเอ็งมีไว้ทำไมฟระ!” จูรินะตะโกนใส่หน้าโมกิอย่างเหลืออดนี่ถ้าเขาไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนเขาคงปาไม้ปิงปองใส่หน้าโมกิไปแล้ว

 

 

       “เฮ้ยยยย ปิงปองก็เท่นะเว้ย”

 

 

       “ตรงไหน บอกมาดิ”

 

 

       “ท่ายืนไง” โมกิพูดพร้อมทำท่าพร้อมเล่นของปิงปองค้างไว้

 

 

        พ่องงง

 

 

        หมดคำจะพูดจึงได้แค่สบถด่าในใจ

 

 

        จูรินะโยนไม้ปิงปองให้โมกิแล้วเดินหนีทันที

 

 

        “อ้าว ไอ้นี่…” โมกิเกาหัวตัวเองแล้วเดินตาม

 

 

.

 

 

..

 

 

 

 

….

 

 

…..

 

 

……

 

 

      จูรินะเดินฟึดฟัดๆ จากประตูโรงเรียนไปอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์หงุดหงิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมโมกิถึงกวนได้กวนดีขนาดนี้

 

 

      มัวแต่จมอยู่กับอารมณ์ของตัวเองจนลืมมองทาง จึงเป็นเหตุให้ชนเข้ากับใครบางคน

 

 

พลั่กก

 

 

      “อ๊ะ ขอโทษค่ะ” จูรินะรีบหันไปขอโทษด้วยสัญชาตญาณโดยไม่ได้มองหน้าเพราะเขาก้มหัวอยู่

 

 

      “สุภาพตลอดเลยนะเราเนี่ย” น้ำเสียงอ่อนโยนที่แสนจะคุ้นหูดังขึ้น ทำให้เขายืดตัวขึ้นมายืนตรงอย่างอัตโนมัติ หญิงสาวตกใจนิดหน่อยแต่ก็แค่แป็บเดียวเธอก็ยิ้มขำออกมา “ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้นะ จูรินะซัง”

 

 

       “เอ่ออออ…” จูรินะที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเกร็งมากเกินไปก็ยกมือขึ้นมาเกาแก้มตัวเองเบาๆ ก่อนจะถามกลบเกลื่อนความเขิน “เรนะซังกำลังจะกลับบ้านเหรอคะ?”

 

 

       “จ้ะ แล้วจูรินะล่ะเพิ่งจะกลับเหรอ โรงเรียนเลิกตั้งนานแล้วนี่” จูรินะหันมาสนใจทันที พลางคิดเรื่องที่โมกิบอก

 

 

       ผู้หญิงชอบคนเล่นกีฬา

 

 

        คิดได้ดังนั้นจึงเอากีฬาที่ตัวเองเล่นในทีมมาพูดเป็นข้ออ้างทันที

 

 

         “ซ้อมบาสน่ะค่ะ” อย่างน้อยก็ไม่ใช่ปิงปอง…

 

 

         “เป็นนักกีฬาหรอกเหรอ สุดยอดเลยนะ…แต่อย่างจูรินะก็ไม่แปลกหรอกเนอะ” เธอมองจูรินะตั้งหัวจรดเท้าพร้อมกับยิ้ม จูรินะถึงกับเคลิ้ม

 

 

        “แล้ว….” เขาค้างคำนี้ไว้ซักพักก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกไป “เรนะซังชอบไหม?”

 

 

        พะ พูดไปแล้ววววว!!!

 

 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก…

 

 

        เสียงหัวใจของจูรินะเต้นดังเหมือนกับมีคนมารัวตีมัน ดังจนกลัวว่าเธอจะได้ยิน

 

 

        เรนะมองหน้าจูรินะนิ่ง จูรินะก็กลั้นหายใจรอฟังคำตอบ ทั้งสองคนยืนจ้องตากันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครเอ่ยปากอะไรออกมาจนมีเสียงแตรรถดังเข้ามาแทรก

 

        จูรินะสะดุ้งนิดๆ เรนะก็หันไปมองต้นเสียงก่อนจะยิ้มออกมา จูรินะมองรอยยิ้มของเรนะก่อนจะมองตามสายตาเธอก็พบกับร่างสูงของผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถพร้อมมองมาที่พวกเขา

 

 

        เรนะหันกลับมามองจูรินะพลางยิ้มให้ จูรินะก็ละสายตาจากผู้หญิงคนนั้นมามองเธอด้วยใบหน้าสับสน

 

 

        “ฉันต้องไปแล้วนะ…..ส่วนเรื่องที่จูรินะซังถามเมื่อกี้น่ะ ฉันขอตอบว่าชอบนะ” เธอยิ้มหวานให้แล้วก็เดินไปที่รถคันนั้น

 

 

         จูรินะอ้าปากค้างนิดๆ เขาดีใจที่เธอบอกว่าชอบแต่ก็สับสนปนสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครทำไมถึงมารับเรนะ แฟน เพื่อนหรือยังไง? แล้วที่บอกว่าชอบน่ะ คือชอบอะไร!!! ชอบกีฬาหรือว่าเขา

 

 

         “นี่ฉันจะดีใจหรืออะไรกันแน่วะเนี่ย….” บ่นให้ตัวเองอย่างสับสนแล้วเดินตรงไปยังป้ายรถเมล์เพื่อรอรถกลับบ้าน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

……………………………………………..

 

 

 

 

 

 

 

          จูรินะเดินเหม่อลอยไปโรงเรียนเหมือนคนละเมอ หลังจากที่กลับไปถึงบ้านเมื่อวานสมองเขาก็เอาแต่คิดเรื่องเรนะกับผู้หญิงคนนั้น เขาอยากรู้เหลือเกินว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครและเป็นอะไรกับเรนะ อยากถามแต่จะถามยังไงในฐานะอะไรสนิทกันไหมก็ไม่

 

 

         “เฮ้ออออ” ถอนกายใจออกมายาวๆ พลางสะบัดหัวน้อยเพื่อไล่ความคิดออกไปแต่ไม่ทันที่จะเรียกสติกลับมาก็มีมือของใครซักคนมาแตะที่ไหล่เขา “เฮ้ยยยยย!” จูรินะตกใจหันไปโวยวายใส่ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พอลืมตามองดูดีๆ ก็ต้องเห็นใบหน้าเหวอๆ ของคนที่เขาคิดถึงอยู่แทบทุกวัน “เรนะซัง?…”

 

 

         “ตกใจอะไรขนาดนั้น” เธอว่าขำๆ

 

 

         “ฉัน..แค่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ…” เขาตอบเสียงค่อย พลางมองเลยเรนะไปก็เจอกับรถคันเดิมกับผู้หญิงคนเดิม เขาขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างขัดใจ

 

 

          เรนะเห็นท่าทางของเขาเธอจึงมองตามสายตาไปพอเห็นว่าเขามองอะไรก็ค่อยคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เหมือนกำลังนึกสนุก

 

 

          “มองอะไรเหรอ?” เธอแกล้งถามเขา

 

 

          “ใครเหรอคะ?” จูรินะเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าถามอะไรออกไปก็ยกมือปิดปาก เรนะถึงกับขำออกมา “ขำอะไรคะ ไม่เห็นน่าขำซักหน่อย” จูรินะชักจะเริ่มหงุดหงิดซะแล้ว เขาอยากรู้จริงๆนะ ว่าคนคนนั้นเป็นใคร

 

 

          เรนะเลิกขำก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจนหน้าบาน เธอรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งจูรินะซะแล้ว

 

 

          “จูรินะคิดว่าเขาเป็นใครล่ะ…” จูรินะเหลือบหางตาไปมองเรนะนิดๆ

 

 

          “แฟน?…”

 

 

          “หืมมม คงใช่” เท่านั้นแหละ จูรินะเหมือนได้ยินเสียงอะไรซักอย่างแตกดังเพล้งขึ้นมา หัวใจของเขา เขาเพียงแค่ทายเล่นๆ ไม่นึกว่าเธอจะตอบออกมา ตอบคำที่เขาไม่อยากจะได้ยินซักเท่าไหร่

 

 

          “งะ งั้นเหรอคะ…” เขาตอบเสียงเบาพลางเค้นยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ พร้อมกับใช้สายตามองไปรอบๆ เพื่อหาใครซักคนที่พอจะช่วยเขาออกจากสถานการณ์ตรงนี้ แล้วก็เจอโมกิกำลังเดินเข้ามา “เอ่อ เพื่อนฉันมาแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ” เขาก้มหัวให้เธอแล้ววิ่งไปหาโมกิทันที

 

 

          เรนะค่อยๆ หุบยิ้มลงช้าๆ พลางบ่นเบาๆ

 

 

         “เล่นแรงไปเปล่าหว่า?…..” แล้วก็เดินไปยังโรงเรียนข้างๆ เพื่อทำการสอน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        วันทั้งวันจูรินะไม่เป็นอันทำอะไรซักอย่างเอาแต่เหม่อ คาบภาษาญี่ปุ่นโดนเรียกตอบคำถามก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษ คาบวิทยาศาสตร์ก็ผสมสารผิดๆ ถูกๆ จนระเบิดก็มี คาบพละก็โดนลูกบอลจูบหน้าไปเต็มๆ แต่ดันไม่ร้องซักแอะ โมกิชักจะเริ่มสงสัยว่าจูรินะเป็นอะไรจึงถามขึ้น

 

 

        “แกเป็นไรวะ? วันนี้ทั้งวันยังกะคนบ้า”

 

 

        “………” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก

 

 

        “จูรินะ”

 

 

        “………..” เงียบ

 

 

        “เฮ้ย อิจู”

 

 

         “………” ก็ยังเงียบ

 

 

         “เฮ้ย!! อิจิ้งเหลน” โมกิด่าเพื่อนออกมาเสียงดัง จูรินะสะดุ้งพร้อมกับหันไปหาโมกิแล้วจับหัวไหล่ของโมกิเอาไว้แน่นด้วยแววตาสับสน

 

 

         “มีแฟนแล้ว….” บ่นพึมพำออกมาเบาๆ โมกิเงี่ยหูฟัง

 

 

         “อะไรวะ จิ้งเหลนมีแฟนหรือไง?”

 

 

         “เธอ…มีแฟนแล้ว ฉันจะทำไงดี…” จูรินะเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่

 

 

         “พูดออกมาดีๆ ดิวะ”

 

 

         “เธอมีแฟนแล้ว เรนะมีแฟนแล้ว ให้ตายเถอะฉันไม่น่าเลย!!” จูรินะโวยวายออกมาทั้งน้ำตา โมกิถึงกับตกใจแล้วพยายามจับใบหน้าจูรินะให้หันมาหาเขา

 

 

         “ใจเย็นๆ สติลูกสติ หายใจเข้าลึกๆ…..ไม่เอาน่า ถ้าเขามีแฟนแล้วก็ช่างเขาดิวะ แกหาใหม่ก็ได้ มีเยอะแยะ รักครั้งแรกมันไม่สมหวังกันทุกคนเสมอไปหรอก” จูรินะสะอื้นเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองสบตาโมกิเพื่อนรักเพื่อนเกรียน

 

 

         “ฮึก โมกิ แงงงงงง” แล้วก็โผเข้ากอดโมกิจนเต็มแรง ลำบากโมกิต้องคอยปลอบคอยโอ๋จนถึงเย็น

 

 

.

 

 

..

 

 

 

 

 

….

 

 

…..

 

 

      “เป็นไง? ดีขึ้นยัง” โมกิถามจูรินะที่นั่งข้างๆ เหม่อมองสนามกีฬาเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย

 

 

      “อืม ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจนะโมกิ…” โมกิมองหน้าจูรินะก่อนจะยิ้มออกมาแล้วตบบ่าเบาๆ

 

 

      “เออ กลับกันเหอะเริ่มเย็นแล้ว”

 

 

      “อืม” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินกอดคอกันออกจากโรงเรียน

 

 

 

      สองเกรียนเดินออกมายังไม่ทันจะพ้นหน้าประตูโรงเรียนด้วยซ้ำสายตาอันเฉียบแหลมของจูรินะก็สบเข้ากับร่างๆ หนึ่ง ซึ่งก็คือเธอคนนั้นที่ช่วงนี้มารับมาส่งเรนะบ่อยเหลือเกิน

 

 

       อยู่ดีๆ หัวใจดวงน้อยๆ ก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาซะอย่างนั้น โมกิมองจูรินะที่จู่ๆ ก็ยืนนิ่งเหม่อมองไปที่ใดที่หนึ่งจึงมองตามก็พบกับหญิงสาวร่างสูงกับร่างเพรียวยืนอยู่ด้วยกันท่าทางมุ้งมิ้ง โมกิจึงหันกลับมาหาจูรินะพร้อมถามด้วยความสงสัย

 

 

       “แกรู้จักเหรอมองซะ?” จูรินะส่ายหัวช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะเขาเห็นหญิงสาวที่คิดว่าเป็นแฟนของเรนะกำลังทำอะไรที่มันเกินเลยกับผู้หญิงอีกคนที่มาด้วย

 

 

       “เดี๋ยวมานะ” น้ำเสียงขุ่นๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาสองร่างนั้น โมกิเห็นท่าไม่ดีจึงตั้งใจจะคว้าแขนจูรินะไว้แต่ก็ไม่ทัน

 

 

        “เอาแล้วๆๆ” แล้วก็เดินตามไปอย่างเร็วๆ

 

 

        พอไปถึงจุดนั้นที่สองคนนั้นยืนอยู่จูรินะก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาดึงสองคนนั้นออกจากกันไม่ทันที่ร่างสูงจะได้โวยวายหมัดสวยๆ ของจูรินะก็ลอยเข้าไปจูบใบหน้าด้านขวาเขาเต็มแรง

 

 

       “กรี๊ดดด/เฮ้ยยยย” เสียงของหญิงสาวร่างเพรียวกับโมกิดังขึ้นพร้อมกัน ก่อนโมกิจะวิ่งไปคว้าตัวจูรินะเอาไว้

 

 

       บุคคลที่โดนหมัดจูรินะยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากด้วยอารมณ์หงุดหงิดโดยมีหญิงสาวร่างเพรียวคอยประคองอย่างเป็นห่วง

 

 

       “ทำบ้าอะไรเนี่ยห๊ะ!!” เขาพูดด้วยความโมโหพลางเดินตรงมาหาจูรินะหมายจะเอาคืน

 

 

       “ก็ต่อยไง เอาอีกมะ!!” ทั้งสองคนแทบจะกระโจนเข้าหากันแต่ยังดีที่มีคนสองคนคอยฉุดไว้จนร่างบางของหญิงสาวที่เป็นต้นเหตุวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นๆ

 

 

        “เกิดอะไรขึ้น” เรนะมองสลับไปมาระหว่างจูรินะกับร่างสูงก่อนที่สายตาเธอจะเห็นแผลช้ำที่มุมปากของร่างสูง

 

 

         เรนะตวัดสายตากลับมามองจูรินะอย่างเคืองๆ พลางเดินเข้าไปหาเจ้าตัวที่กำลังจ้องมองเธอด้วยแววตาแข็งๆ

 

 

         “ทำไมทำแบบนี้จูรินะ” เธอถามเขาเสียงนิ่ง จูรินะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของโมกิแล้วจ้องตาเรนะ

 

 

         “เขาไม่ควรทำแบบนี้กับเรนะซัง!” จูรินะพูดพลางชี้ไปที่ร่างสูงกับร่างเพรียวที่ยืนมองอยู่

 

 

         “ฉันทำอะไร!” ร่างสูงถามขึ้นเสียงเขียว

 

 

         “มีเรนะซังคนเดียวไม่พอเหรอวะ!” สิ้นเสียงจูรินะ ร่างสูง ร่างเพรียวและโมกิถึงกับอุทานออกมาพร้อมกัน

 

 

         “ห๊ะ!!” แต่เรนะที่รู้ว่าอะไรเป็นยังไงกลับยืนขำอยู่คนเดียว จูรินะหันกลับมามองเรนะด้วยความเจ็บใจแทน

 

 

         “คุณเสียสติแล้วหรือไงยืนขำอยู่ได้” เรนะห้ามตัวเองเอาไว้ก่อนจะพูดขึ้น

 

 

          “คงมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ เลยเนอะ” เรนะพูดด้วยรอยยิ้มแบบเดิมของเธอแต่บุคคลอีกสามคนนั้นได้แต่ทำหน้างงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         ตอนนี้ทั้งห้าคนได้ย้ายร่างมานั่งในร้านไอศกรีมแถวๆ โรงเรียนเรียบร้อย โดยจูรินะนั่งก้มหน้าก้มตาเจียมเนื้อเจียมตัวข้างๆ โมกิ ร่างสูงคู่กรณีก็นั่งอยู่ข้างๆ ร่างเพรียวฝั่งตรงข้ามจูรินะ แล้วใช้สายตามองจูรินะจนแทบจะทะลุ

 

 

        “อ๊ะ ซี้ดด เบาๆ สิคะ” เขาสะดุ้งนิดๆ เมื่อร่างเพรียวใช้น้ำแข็งแตะลงไปที่แผล

 

 

        “โทษทีค่ะ”

 

 

         ซักพักเรนะก็เดินเข้ามานั่งตรงหัวโต๊ะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ร่างสูงรู้สึกหมั่นไส้เหลือเกินจึงเอาใบหน้าออกจากการถูกปฐมพยาบาลแล้วถาม

 

 

         “นี่มันอะไรห๊ะเรนะ?!” เขาถามด้วยความรู้สึกขุ่นๆ

 

 

          “ใจเย็นๆ สิคะ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง แต่ก่อนจะอธิบายขอแนะนำก่อนดีกว่าเนอะ” ประโยคหลังเธอหันมาพูดกับจูรินะและโมกิ “คนเนี่ยที่โดนจูรินะซังต่อยอ่ะ เขาเป็นพี่สาวฉันเองชื่อมิยาซาว่า ซาเอะ”

 

 

         “เอ๋!!!!” จูรินะกับโมกิอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ

 

 

         “ส่วนอีกคนนั้นเป็นแฟนของพี่สาวฉัน ชื่อคาชิวากิ ยูกิ จ้ะ”

 

 

         “เอ๋!!!!! (x2)” สิ้นเสียงอุทานซาเอะกำลังจะอ้าปากพูดก็ต้องตกใจเพราะจู่ๆ จูรินะกับโมกิก็ลุกขึ้นพร้อมกันแล้วก้มหัวให้เขาเก้าสิบองศา

 

 

         “ขอโทษค่ะ!!” ตะโกนออกมาเสียงดังชัดเจนจนผู้คนในร้านหันมามอง ซาเอะรู้สึกว่าหน้าตัวเองก็ไม่ได้หนาขนาดนั้นก็เริ่มจะอายจึงบอกให้ทั้งสองนั่งลง

 

 

         “อ่ะๆ นั่งลงๆ ถ้ามันเป็นความเข้าใจผิดฉันก็ไม่ถือโทษหรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยัยเรนะแกไปทำอะไรไว้เด็กคนนี้ถึงได้คิดว่าฉันเป็นแฟนแกแล้วก็เด็กคนนี้เป็นใคร” น้ำเสียงและสายจากพี่ทั้งสองและเด็กอีกสองมองไปที่เธอเป็นตาเดียว เรนะจึงอธิบายเรื่องที่ทำให้จูรินะเข้าใจผิดให้ฟัง พอเล่าจบทุกคนก็พยักหน้ายกเว้นจูรินะที่ยังทำหน้าสับสนอยู่

 

 

         “สรุป เพราะแกอยากแกล้งเด็กมัน ความซวยเลยมาลงที่ฉัน?” ซาเอะถาม เรนะก็พยักหน้า “สวยงามมากค่ะ แล้วเด็กคนนี้ใช่ไหมที่ชื่อจูรินะ”

 

 

        “ค่ะ”

 

 

        “อืม…. นี่จูรินะซัง ฉันเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม?” ซาเอะถามขึ้นดึงสติจูรินะที่กำลังจมกับความคิดตัวเองให้กลับมา

 

 

        “ค่ะ”

 

 

        “รู้ไหม เรนะเล่าเรื่องเธอให้ฉันฟังเกือบทุกวัน” ซาเอะวางระเบิดเอาไว้แล้วลุกขึ้นก่อนยูกิจะลุกตาม “ฉันกลับละ คุยกันดีๆ นะ ป่ะยูกิแล้วก็….”

 

 

        “โมกิค่ะ” โมกิรีบลุกขึ้นตาม ซาเอะจึงพาเดินออกไปจากร้านทันทีเหลือแค่เรนะกับจูรินะอยู่สองคน

 

 

 

 

หน้าร้าน

 

 

       “เธอชื่อโมกิสินะ?” ซาเอะถามโมกิซ้ำ

 

 

       “ค่ะ”

 

 

       “รู้อยู่ใช่ไหมว่าเพื่อนเธอคิดยังไงกับเรนะ”

 

 

       “รู้ที่สุดค่ะ” ซาเอะพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพูดในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นเมื่อครู่ซักนิด

 

 

        “แล้วเธอมีแฟนหรือยัง?”

 

 

        “เอ๊ะ?” โมกิทำหน้ามึน ยูกิก็จัดการฟาดฝ่ามือประทับแผ่นหลังซาเอะอย่างแรง

 

 

ป้าบ!!

 

 

       “โอ้ยยยยยยย”

 

 

       “ไม่ต้องมาโอดครวญ”

 

 

       “ล้อเล่นน่า ป่ะเดี๋ยวพวกฉันไปส่ง” แล้วยูกิก็เดินไปแทรกกลางระหว่างโมกิกับซาเอะ เพราะกลัวว่าแฟนตัวดีของเธอจะไปลวนลามเด็กมัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กลับเข้ามาในร้าน

 

 

      เรนะกับจูรินะนั่งเงียบตั้งแต่ที่ทั้งสามเดินออกไป แล้วก็เป็นจูรินะที่เอ่ยทำลายความเงียบเพราะเขาอยากรู้ อยากรู้เรื่องที่ซาเอะพูดทิ้งไว้เมื่อกี้

 

 

      “เรนะซัง เมื่อกี้ที่มิยาซาว่าซังพูดน่ะ ที่ว่าเรนะซังเล่าเรื่องฉันให้เขาฟังทุกวันมันหมายความว่าไงเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแต่ใบหน้ากลับนิ่ง เรนะเงยหน้าขึ้นมามองอาการของคนตรงหน้าก็ค่อยๆ เผยยิ้มออกมาอยากแกล้งคงแกล้งไม่ลงแล้ว

 

 

      “จูรินะซังคิดยังไงกับฉัน” เรนะไม่ตอบคำถามเขาแต่เธอดันถามความรู้สึกเขาออกไปตรงๆ จูรินะทำหน้าอึ้งค้าง เขารู้สึกว่าสมองตัวเองเบลอไปหมด “ชอบฉันใช่ไหม?” เจอคำถามนี้เข้าไปแทบจะเป็นลมร่างกายเขาร้อนไปหมด

 

 

       “เอ่อ….” จูรินะอ้ำอึ้ง ตอนแรกเขาคิดว่าควรปฏิเสธเพราะยังไม่อยากให้เธอรู้แต่พอคิดดูอีกทีไหนๆ ก็มีโอกาสแล้ว “ฉันชอบเรนะซัง ชอบมากๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ” สิ้นเสียงเขาทั้งโต๊ะก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ จูรินะรู้สึกว่าเรนะเงียบไปเขาก็คิดเอาเองว่าเรนะคงไม่ชอบเขาแน่ๆ คงถูกเกลียด คิดไปน้ำตาก็พาลจะไหลจึงตัดสินใจจะเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเธอแต่ไม่ทันจะได้เงยหน้าขึ้นก็รู้สึกถึงแรงยุบของโซฟาที่ว่างข้างๆ ก่อนมือนุ่มจะเอื้อมมาจับใบหน้าเขาให้เงยขึ้นพร้อมกับริมฝีปากของเธอประทับลงมายังจุดเดียวกัน

 

 

       จูรินะถึงกับนิ่งแข็งค้าง พอเรนะถอนจูบออกไปเขาก็เรียกสติตัวเองกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ แต่เขินได้ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้วสงสัยกับคำพูดต่อมาของเรนะ

 

 

       “ฉันรู้ตั้งนานแล้วว่าจูรินะซังชอบฉัน”

 

 

       “เอ๊ะ…” จูรินะขมวดคิ้วสงสัยว่าเมื่อไหร่ “เมื่อไหร่กัน?” เรนะไม่ตอบเธอเพียงแค่ยิ้มออกมาพลางส่ายหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ

 

 

       “กลับกันเถอะ”

 

 

       “อ๊ะ เดี๋ยวสิเรนะซัง เรนะซังรู้เมื่อไหร่กัน” จูรินะวิ่งตามไปเดินข้างๆ

 

 

       “ไม่บอก แล้ววันนี้เธอต้องไปส่งฉันด้วยเพราะพี่ฉันกลับแล้ว”

 

 

       “รู้แล้วล่ะน่า แต่ว่าบอกทีเถอะว่าเมื่อไหร่ฉันอุตส่าห์ไม่ทำให้รู้ตัว” เพียงสิ้นประโยคนี้เท่านั้นแหละเรนะหยุดเดินพร้อมกับหันไปหาจูรินะก่อนจะดึงแก้มเขาอย่างหมั่นเขี้ยว

 

 

        “นั่นเขาเรียกว่าไม่ทำให้รู้ตัวใช่ไหมยะ เด็กบ้า”

 

 

         คนเขารู้กันทั้งป้ายรถเมล์

 

 

         “เจ็บ….อ่า” บ่นเบาๆ พลางลูบแก้มตัวเอง เรนะถึงกับยิ้มออกมากับความซื่อจนบื้อของจูรินะแต่นี่ล่ะจุดที่ทำให้เธอหลงรักเขาตั้งแต่วันนั้น เด็กที่ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ หลังป้ายรถเมล์ ทำตัวหน้าสงสัยตลอด ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว แล้วตอนที่กินดอกกุหลาบน่ะคิดว่าเธอไม่เห็นหรือไง จะเอามาให้ดันกินซะงั้น

 

 

        “นี่จูรินะ” เรนะเรียกชื่อของเขาห้วนๆ จนเขาเขิน

 

 

        “อะ อื้อ”

 

 

        “ฉันรักเธอนะ”

 

 

        “เอ๊ะ! เรนะซัง…ละ ล้อเล่นป่ะเนี่ย” จูรินะรู้สึกว่าตัวเขาไม่ได้แดงเฉพาะหน้าแล้วแหละมันแดงทั้งตัวเลยทีเดียว “คำนั้น มันควรเป็นฉันพูดไม่ใช่เหรอ…” ยิ่งประโยคที่จูรินะพูดออกมายิ่งทำให้เรนะหมั่นไส้

 

 

        “ถ้ารอให้เธอพูดฉันคงขึ้นคาน”

 

 

        “ง่า…..” จูรินะครางออกมาอย่างลืมตัวเหมือนเด็ก เรนะถึงกับเผลอยิ้มพลางคิด

 

 

        จับกดมันตรงนี้เลยดีไหม?

 

 

        “งั้นเป็นแฟนกันนะ…ฉันไม่อยากให้เรนะซังขึ้นคาน” จูรินะรวบรวมความกล้าพูดออกไป

 

 

        “อิ๊ ปากเสีย”

 

 

        น้องจูมีความสุขจัง….

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

END

 

………………………………………………………..

 

มาต่อจนจบแล้วค่าาาา มาลงต่อแม้ภารกิจทั้งยังไม่เสร็จดีเท่าไหร่

 

ตอนแรกอยากทำยาวกว่านี้แต่สงสารอิจูมัน ถถถถถ 

 

สุดท้าย ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รักเลย

 

ปล. ขออภัยที่ไม่ได้ตอบเม้นเพราะเรารีบมากค่ะ งานรุม

 

งุ้ยยยยย~ สุดท้ายป้า.. เอะ เรนะซังก็ต้องรุกก่อนอยู่ดีอยู่วันยังค่ำ 55555

พี่เอะเองก็แซ่บใช่ย่อยนะฮะ ต่อหน้าต่อตาขุ่นแม่.. โดนป้าบเข้าให้

ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านน้าาา ฟิคน่าน่ารักมากเบยยย

จูแมร่งซื่อมากอะ ซื่อบื้อจริงๆ ดีนะที่ป้าแกรุกก่อนไม่งันนะขึ้นคานคู่แน่ ฮ่าๆ

 

ขอบคุณที่แขวกกองงานมาให้อ่านนะคะ น่ารักมากจริงๆ