[One Shot] Camping [WMatsui]

-CAMPING

 

 

 

                ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ฉันตอบตกลงเลือกที่จะเดินทางมากับเพื่อน ๆ ของฉันในครั้งนี้… เบื่อ เซ็ง เหงา

หรืออะไรก็ตามแต่… อาจจะทั้งหมดทั้งสิ้น ที่ทำให้ฉันตัดสินใจ… ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

หรือผิดพลาด

 

 

แต่ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อย

 

 

ฉันกับเพื่อนอีกสามคนอยู่ในรถ City Car ห้าที่นั่ง กำลังออกเดินทาง เพื่อเอาความน่าเบื่อหน่ายในชีวิตไปโยนทิ้ง

แต่ฉันรู้สึกว่าปลายทางของเรื่องราวทั้งหมด จะมีความลำบากลำบนรออยู่

 

 

ไม่รู้ใครเป็นคนเสนอเรื่องไปแคมปิ้งกันบนยอดเขา และไม่รู้ทำไมฉันถึงตกปากรับคำไปได้ ผู้หญิงสี่คน

กับการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

 

 

ลืมเรื่องความสวยเซเลปไปได้เลย แค่คิดถึงเต้นท์ที่ขอยืมเพื่อนที่ทำงานของฉันมา… ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเริ่มต้นยังไง

แทนที่จะไปยืมอุทยานให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพื่อนของฉันน่ะสิ เกิดอยากจะสู้ชีวิตอะไรขึ้นมา

 

 

 

                “ไหน ๆ ก็ไปนอนเต้นท์กันแล้ว ก็ต้องเอาให้ถึงที่สุดสิ”

 

 

 

นั่นคือเหตุผลที่ต้องหาเต้นท์ไปกางเองด้วย ก็หวังว่าบนเขาที่ขึ้นไปกางเต้นท์ จะไม่โหดร้ายจนเกินไป

 

 

 

 

 

 

 

 

                แต่เรื่องจริงมันไม่เคยง่ายอย่างที่คิดเลย ตั้งแต่ตอนที่ขับรถขึ้นเขาแล้ว จนมาถึงที่พัก และเวลาที่ยากที่สุดในตอนนี้

ก็คือการกางเต้นท์

 

 

 

                “นี่ เรนะ มันต้องทำยังไงต่อล่ะ”

 

 

 

เพื่อนฉันคนหนึ่งถามขึ้น และฉันก็ตอบกลับด้วยการเลิกคิ้ว แล้วทำหน้าเหรอใส่ทันที ทำยังไงน่ะหรอ กับเต้นท์เนี่ยนะ

ใครจะหาคำตอบให้ได้ล่ะแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

 

เราสี่คนพยายามหาวิธีกางเต้นท์ขนาดใหญ่ ที่แม้แต่เสาเต้นท์ก็ยังประกอบไม่ได้ ฉันหันไปมองเต้นท์รอบ ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน

เผื่อจะขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนกับว่า… จะไม่มีใครสนใจ

 

 

ไม่แน่ว่าคืนนี้ ฉันอาจจะได้เอาเต้นท์ปูพื้น แล้วนอนตากน้ำค้างกันมากกว่าหละมั้ง

 

 

 

                “มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”

 

 

 

เสียงสวรรค์อย่างนั้นหรอ… ฉันหันไปมองเจ้าของเสียง หญิงสาวใบหน้าคมถามคำถามนี้พร้อมคลี่ยิ้มบาง ๆ มาให้ฉัน

ฉันที่กำลังพยายามต่อเสาเต้นท์เข้าด้วยกันเป็นชิ้นเดียว

 

 

 

                “คือ…”    ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะไม่ได้อยากให้เขาแค่ช่วยน่ะสิ ทำให้ทั้งหมดเลยได้มั้ย

 

                “กางเต้นท์ไม่ได้หรอคะ”

 

 

 

เขาถามแค่นั้น แล้วถือวิสาสะเอาเสาเต้นท์ไปจากมือของฉัน ก่อนที่ฉัน และเพื่อนอีกสามคน จะยืนมองเขาแค่คนเดียว

กางเต้นท์ให้กับพวกฉัน คล่องแคล่ว รวดเร็ว และเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่นาน

 

 

เขาปัดมือของตัวเอง ก่อนจะยืนมองผลงานที่ฉันเชื่อว่า ถ้าให้พวกฉันทำ คืนนี้ก็คงไม่เสร็จ

 

 

                “เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”

 

      “ขอบคุณนะคะ”    พวกฉันทั้งสี่คนพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน

 

      “แล้วพวกคุณเอาพวกเตา พวกตะเกียงมารึเปล่า ถ้าไม่มีไปเอาตรงที่ทำการได้นะคะ”

 

                “คุณเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานอย่างนั้นหรอคะ”    ฉันตัดสินใจถามเขา ตอนแรกฉันนึกว่านักท่องเที่ยว

       แต่พอพูดถึงเรื่องอทุยานแบบนี้…

 

                “ไม่เชิงหรอกค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”

 

 

 

เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินหายไป ไอ้คำว่า ไม่เชิงที่ว่า แล้วมันคืออะไรกันแน่นะ

 

 

 

                “เรนะ ไปที่ทำการอุทยานกัน”    เพื่อนของฉันเข้ามาชวน

 

 

 

ฉันได้แต่พยักหน้า แล้วเดินตามเพื่อนของฉันไป แล้วก็พยายามมองหาเขาคนนั้น แต่… มองหายังไงก็หาไม่เจอ

หายไปไหนของเขาแล้วนะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                หลังจากนั้นก็มีเรื่องวุ่นวายอีกหลายอย่าง ทั้งเรื่องจุดตะเกียง เรื่องก่อไฟ เรื่องทำอาหาร

เรื่องก่อไฟนี่สำคัญเลย สุดท้ายพวกฉันก็ยังไม่สามารถจุดเตาไฟได้

 

 

 

และเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอคนนั้นเดินผ่านมาอีกครั้ง คงต้องขอความช่วยเหลือจากเขาเนี่ยแหละ

 

 

 

                “ขอโทษนะคะ”    ฉันเดินไปหาเขา

 

                “คะ”   เธอตอบรับฉัน พร้อมรอยยิ้มแบบเดิม

 

                “พอดี เราสี่คนจุดเตาไฟยังไม่ได้… พอจะช่วยได้มั้ยคะ”

 

 

 

เขายังคงยิ้ม แล้วหันมองไปทางเตาไฟที่พวกฉันพยายามจะจุดมาเกือบชั่วโมง เสียกระดาษไปมากเป็นลัง ก็ยังจุดไม่ได้

 

 

 

                “รู้มั้ยคะ ว่าวิธีจุดไฟที่ง่ายที่สุด คืออะไร”    อยู่ดี ๆ เขาก็ถามขึ้น

 

                “อะไรคะ”    ฉันถามเขากลับซะเลย

 

                “จุดด้วยปาก”

 

                “หืม”

 

 

 

คำตอบของเขา เชื่อแน่ว่ามันทำให้ใบหน้าของฉันมีเครื่องหมายเควชั่นมาร์กขึ้นมาทันที จุดด้วยปาก… จุดยังไง

 

 

เขาเดินไปหิ้วเตาไฟ และเดินไปหาเต้นท์ข้าง ๆ ก่อนจะขอถ่านที่ติดไฟกลับมาสามสี่ก้อน และพอกลับมาถึงเต้นท์

ของพวกฉัน เขาก็เทถ่านเพิ่มลงไป

 

 

 

                “รออีกแปบ ก็ใช้ได้แล้ว”

 

 

 

นี่หรอ การจุดไฟด้วยปากที่เขาบอก เดินไปขอถ่านจากเต้นท์ใกล้ ๆ เพื่อจุดไฟ อืม…ก็จริง ง่ายที่สุดจริง ๆ

ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว

 

 

 

                “เอ่อ… ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

 

                “ยินดีค่ะ”

 

 

 

เขาพูด ก่อนจะมองจ้องใบหน้าของฉัน… และมองไปทางเต้นท์ของฉัน คงกำลังคิดอยู่ว่า ผู้หญิงกลุ่มนี้จะมีอะไร

ให้เขาต้องช่วยอีกมั้ย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินไปทางอื่น และสิ่งที่ฉันลืมก็คือ… ฉันลืมถามว่าเขาชื่ออะไร

แย่จริง ๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตกกลางคืน พอนั่งมองฟ้ามองดาว และพูดคุยกันจนเต้นท์อื่น ๆ เงียบกันหมดแล้ว พวกฉันก็ตัดสินใจเข้านอน

กับเขาบ้าง แม้จะยังไม่อยากก็เถอะ

 

 

จนฉันตื่นขึ้นมาอีกที ตอนกี่โมงแล้วก็ไม่รู้ ฉันควานหามือถือเพื่อดูเวลา ดึกมากแล้ว แต่ฉันเกิดตื่นขึ้นมา

แล้วนอนไม่หลับเนี่ยสิ ถ้าออกไปข้างนอกตอนนี้ มันจะน่ากลัวเกินไปรึเปล่า

 

 

แต่เพราะไอ้อาการนอนไม่หลับเนี่ยแหละ ออกไปรับอากาศสักหน่อยอาจจะดีขึ้น ฉันตัดสินใจลุกขึ้นแล้วออกจากเต้นท์

ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ ยังหลับกันอยู่

 

 

ข้างนอกลมแรงพอสมควร ฉันกระชับเสื้อกันหนาวของฉันเอาไว้แน่น ก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้อุ่นขึ้นรึเปล่า

และฉันก็ต้องแปลกใจขึ้นมาทันที เมื่อฉันเห็นใครบางคน นั่งอยู่ไม่ไกลจากเต้นท์ของฉัน

 

 

เธอคนนั้น คนที่มาช่วยกางเต้นท์ และมาช่วยจุดไฟให้กับพวกฉัน เขานั่งอยู่บนขอนไม้ หน้าเตาไฟ

ข้าง ๆ มีตะเกียงวางอยู่ พอทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาแม้ไม่ชัดเจนก็ตาม เขายกมือทักฉัน

ฉันยกมือทักกลับ และ… ถ้าไม่เดินไปหาเขาจะน่าเกลียดไปมั้ย… สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินไปหา

 

 

 

                “คุณยังไม่นอนหรอคะ”    ฉันถามคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

 

                “ยังค่ะ”   เพิ่งจะคิดได้ตอนเขาตอบมาเนี่ยแหละ ว่าฉันได้ถามคำถามโง่ ๆ ออกไปแล้ว ถ้าเขานอน

      แล้วเขาจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม    “นั่งมั้ย”

 

 

 

เขาถาม แล้วเขยิบตัวให้ฉันนั่งลงบนขอนไม้ที่เขานั่งอยู่ ฉันตัดสินใจนั่งลง และมองใบหน้าของเขาผ่านแสงสลัว ๆ

ของไฟตะเกียง

 

 

 

                “ฉันยังไม่ได้ถามชื่อของคุณเลย ทั้ง ๆ ที่คุณมาช่วยพวกฉันไว้ตั้งหลายอย่าง”    ฉันพูดและยังมองใบหน้า

      ของเขาไม่วางตา และสำคัญฉันควรจะบอกชื่อฉันก่อนใช่มั้ย     “ฉัน มัตสึอิ เรนะ นะคะ”

     “บังเอิญงั้นหรอ”    เขาพูดเสียงประหลาดใจ

 

                “คะ”

 

                “มัตสึอิ จูรินะค่ะ”    รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น หลังจากที่เราสองคน ต่างฝ่ายต่างได้รู้จักกันและกัน

      นามสกุลที่เหมือนกัน นี่ใช่มั้ยที่เขาคิดว่าบังเอิญ   “พวกคุณคงเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก”

 

                “แล้วคุณ… คุณมาเที่ยวหรอคะ”    ในเมื่อเขาบอกว่าเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่อุทยาน

 

                “มาเที่ยวด้วย และก็มาช่วยงานพ่อด้วย พ่อฉันเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน ช่วงนี้อากาศดี คนขึ้นมาเที่ยวเยอะ

      เจ้าหน้าที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ฉันก็เลยต้องช่วยอีกแรง”

 

                “อย่างนั้นหรอคะ”    ฉันพยักหน้ารับคำของเขา    “แสดงว่าคุณก็ขึ้นมาที่นี่บ่อย ๆ”

 

                “ส่วนพวกคุณคงไม่เคยมาเที่ยวแบบกางเต้นท์เลย ใช่มั้ยคะ”    ไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนั้น

      เพราะมันชัดเจนออก   “ฉันแปลกใจตั้งแต่ที่เห็นพวกคุณขับรถ City Car ขึ้นมากันแล้ว

      แถมยังเป็นกลุ่มผู้หญิงด้วย ก็เลยอดไม่ได้ที่จะคอยมาดูน่ะค่ะ”

 

                “และก็เป็นอย่างที่คุณคิดจริง ๆ ใช่มั้ยคะ พวกฉันทำอะไรไม่เป็นเลย”    ฉันถามเขาสีหน้าเรียบนิ่ง

      แต่เขายังคงยิ้ม

 

                “ครั้งหน้าฉันคิดว่าพวกคุณอาจจะทำอะไรได้ดีขึ้นค่ะ ครั้งแรกมักยากเสมอ”

 

 

 

ครั้งหน้างั้นหรอ หลังจากที่เจอเรื่องปวดหัวมาทั้งวัน พวกฉันก็เพิ่งคุยกันไปว่า ครั้งหน้าจะไม่ยอมมาเที่ยวลำบาก ๆ

แบบนี้เด็ดขาด เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอม ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้มาแบบนี้

 

 

 

“ครั้งหน้าคงไม่มีแล้วค่ะ ฉันคิดว่า ครั้งนี้ถือเป็นการทำอะไรที่ขัดกับตัวเองมากพอแล้ว…”   

รู้สึกไม่ค่อยดีเลยแฮะที่ตอบเขาไปแบบนั้น แต่มันก็คือความจริง

 

                    “แล้วอะไรเป็นเหตุผลให้พวกคุณมาถึงที่นี่กันล่ะ”     

       

                    “ความบ้ามั้งคะ”   ฉันตอบพร้อมยักไหล่ เขาหัวเราะออกมาน้อย ๆ

 

                    “งั้นคงต้องขอบคุณความบ้าของพวกคุณ…”    เขาหันหน้ามองฉัน

 

                    “ทำไมคะ”    ฉันถามไม่เข้าใจ

 

                    “เอ่อ…”    เขาละสายตาจากฉันไปมองที่เตาไฟ    “กาแฟมั้ยคะ”

 

                    “ก็ดีค่ะ”

 

 

 

เขาหันไปหยิบกาน้ำที่ต้มอยู่บนเตาไฟ แล้วเทลงแก้วกระดาษสองใบ เขาส่งแก้วใบหนึ่งให้กับฉัน กาแฟ…แบบต้มอย่างนั้นหรอ

 

 

 

                “ขอบคุณค่ะ”    ฉันรับกาแฟแก้วนั้นมา ก่อนจะเป่าไล่ควันสีขาวที่ลอยอบอวล กลิ่นหอมของกาแฟ…

      ทำให้ฉันยิ่งไม่อยากหลับเข้าไปใหญ่ ดื่มกาแฟตอนกลางคืนแบบนี้ เป็นทางเลือกที่ดีจริง ๆ

 

 

 

เขามองฉันดื่มกาแฟ ก่อนจะเริ่มต้นดื่มกาแฟของเขาเอง และเงยหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้าไร้จันทร์ ท้องฟ้า…

ที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขาค่อย ๆ เขยิบเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น ฉันหันมองหน้าเขา

 

 

 

                “หนาวรึเปล่า”    ถึงตอบว่าไม่ เขาก็เขยิบมาเบียดฉันเรียบร้อย ฉันทำได้แค่ยิ้มให้เขา แบบนี้

      ฉันรู้สึกว่ามันอุ่นดีเหมือนกัน   “ถ้าคุณไม่ได้ขึ้นมาที่นี่อีก… งั้นก็คงยากที่จะได้เจอกันอีกน่ะสิ”  

 

                “คะ”

 

                “แล้วจะเป็นไปได้มั้ย ที่เราสองคนจะเจอกันที่อื่น”

 

 

 

เข้าใจความหมายของเขาได้อย่างชัดเจน ฉันยิ้มออกมา และมองหน้าเขา ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ แต่ว่า…

ไม่เร็วไปหน่อยหรอ ที่เพิ่งเจอกันไม่ทันข้ามวัน เขาก็จีบฉันซะแล้ว

 

 

 

                “แล้วคุณยังไม่มีใครหรอคะ”   ฉันถามเขาตรง ๆ

 

                “ยัง”    เขาตอบพร้อมส่ายศีรษะ ใบหน้าของเขายังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

 

                “ทำไมคะ”   ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่หรอกนะ คนอัธยาศัยดีแบบเขาเนี่ยนะ

 

                “อาจจะเพราะ อยู่คนเดียวมาจนถึงตอนนี้ เพื่อรอเจอคุณมั้งคะ”

 

 

 

คำตอบหวานเกินไปรึเปล่านะ ฉันมองจ้องใบหน้าคม ๆ ของเขา รอยยิ้มทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ามองมากขึ้นไปอีก

 

 

ฉันแพ้คำพูดพวกนี้ หรือเพราะความรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตก่อนหน้าที่จะได้เจอเขากันนะ ถึงทำให้ปฏิเสธเขาไม่ลง

ทั้ง ๆ ที่คิดว่ามันอาจจะเร็วไป แต่…ห้ามความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจไม่ได้ซะแล้วสิ บางทีการมาแคปปิ้งครั้งนี้

ก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป

 

 

สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดอะไรอีก มีเพียงแววตาของเขา แววตาของฉัน และหลังจากนั้น ก็หลงเหลือเพียงแค่รอยจูบ

 

 

ฉันเคยได้ยินมาว่า รอยจูบนั้นมันหวาน เหมือนกับสตอเบอร์รี่ ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย ไม่ว่ากับใครก็ตาม

กับเธอคนนี้ก็เหมือนกัน กับหญิงสาวที่ชื่อมัตสึอิ จูรินะ รสชาติของรอยจูบไม่เหมือนสตอเบอร์รี่เลยสักนิด

แต่มันก็มีรสชาติอยู่เหมือนกัน รอยจูบ….

 

 

 

 

รสกาแฟ

 

 

…………………………………….

 

 

 

 

 

 

 

แหวกดงดราม่า มาลงเบิ้ลอิแบบ ชิล ๆ แล้วกันครับ 555

 

ถามว่าอารมณ์ไหนที่แต่งเรื่องนี้หรอครับ ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่า

ทำไมเราขนลุกล่ะ… จริงๆนะ ขนลุกจังเลยค่ะ ;;;;; [] ;;;;;;

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

รอยจูบรสกาแฟ  เอิ๊กๆ~ น่ารักดีค่ะ  ชิลๆดี  ^__^ 

ต้องขอบคุณความบ้าของพวกเรนะจริงๆนั่นแหละ  ไม่งั้นคงไม่ได้เจอจู

อร้ายยยยยยยยยยยย อะรานิ้

ทำไมโชคดีขนาดนี้คะ เรนะะะะะะ บอกที

>w<

 

ตอนแรกนึกว่าจูเป็นเผ แต่เอ้ะ โผล่ตอนกลางวันนี่ฟ่า 5555555555

ป๊าดดดด จูบรสกาแฟ ฟินแปป

โอ้ย…..หนาว รู้สึกมีความสุขกับฟิคที่ไม่มีีมาม่า

ตอนแรกแอบคิดว่าจูเป็นผีเฝ้าอุทยาน 😆 😆

 

จูบรสกาแฟอร่อยมั้ยคะเรนะ 😛 😛

อ่านแล้วขนลุกแบบแปลกๆๆ จูบรสกาแฟ ฟินนน ขออีกshotค่า ><

แหม่ น่ารักมาก จูบรสกาแฟ (ของเราเป็นรสเยลลี่แหละ #โดนถีบออกนอกมู้)

รู้สึกคู่นี้ไวไฟกันมากเลยอ่ะ เจอกันไม่ถึงวันก็จูบกันละ กรุ่มกริ่มดี wwwwww

ขนลุกอะไรกันหรอครับ?????????????????????????

สวดยอด อ่านตอนดึกๆมันได้ฟิลดีจริงๆ จูบรสกาแฟบนยอดดอย

ถ้ามีภาคมาลงจากเขาเจอกันบนถนนไรงี้จะเยี่ยมเลย ฮาา

อุ๊ย อ่านแล้วใจกระชุ่มกระชวย โนดราม่าเนี่ย ฮุฮิ >w<

เป็นอีกหนึ่งรสชาติที่อร่อยมากค่ะ ขอบคุณที่เลี้ยงท่ามกลางมาม่า

รอยจูบรสกาแฟ ฮ่าๆๆๆ!!//ตบโต๊ะ

ชักสงสัยตั้งแต่เนิ่นๆว่า…ฟิคนี้จูจะเป็นคนธรรมดาจริงๆเหรอเนี่ย…แต่ช่างมันเถอะ

แหม่…ฟินจริงอะไรจริง~//ชาบูววไรท์เตอร์

จูบรสกาแฟมันยากที่จะลืมจริงๆ…ขอบคุณรสกาแฟหวานๆท่ามกลางมาม่าและยาพาราอันขมขื่นค่ะ(ฮา)

อร๊าาายยยยยยย เป็นฟิคที่อ่านแล้วรู้สึกดีจริงๆค่ะ ><
ไม่มีมาม่าแต่มีกาแฟ(?) //ฟินนนนนน

เป็นฟิคที่เหมาะกับอากาศช่วงนี้มากค่ะ

รู้สึกอบอุ่น+น่ารักมากๆ >//////<

น้องจูนี่ไม่เบาเลยนะ (ฮ่า)  

แอบคิดว่าจูเป็นผีในตอนแรก

พูดซะชวนคิดเชียว

“จูบรสกาแฟ” เอาซะอยากกินกาแฟบ้างเลย

จากการที่อ่านฟิคอื่นมาเลยเดาว่าการโผล่ไปโผล่มานั้น
มันเป็น…. ผีแน่เลย!!! แต่สุดท้ายและท้ายสุด จูบรสกาแฟ แอร๊ยยยย

ตอนแรกก็คิดเหมือนกับหลายๆคนที่ว่าจูเป็นผี 55555

อ่านแต่ดราม่ามานาน เจอแนวแบบแล้วรู้สึกดี..

จูบรสกาแฟ อร๊ายย.. >_<

ความจริงจูจังเป็นอะไรเนี่ย แค่คนธรรมดาใช่ไหม!!!

ดีนะที่วันชอทไม่งั้นคงจิ้นว่าแบบจูจังความจริงเป็นอย่างอื่นแทน = =”

ทั้งหวานปนขนลุกเบาๆ แต่สนุกมากขอบคุณค่ะ 555