[SF] CMM206 ; wmatsui – CH5: คำบอกลา 14.12.29 [end]

chapter 1 : เธอ

 

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอบฟ้า ฉันเริ่มใจไม่เป็นสุขเท่าไร ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันไปประเทศญี่ปุ่น แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเช่นกัน คือ ตัวฉันอยู่ญี่ปุ่นแต่กระเป๋าฉัน อยู่หนใด? ฉันก้าวเท้าเข้าที่พักหลังจากไปรับกุญแจและคีย์การ์ดจากสำนักงานมาเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่ารูมเมทของฉันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว …ฉันเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อยากรู้จังว่ารูมเมทฉันจะเป็นคนยังไง

 

 

“2 0 6” ฉันเอ่ยหมายเลขห้องออกมาเบาๆ ทวนว่าฉันมาถูกห้องแล้ว พร้อมๆ กับมองเลขที่เขียนอยู่บนคีย์การ์ด

 

มือของฉันเอื้อมไปกดออดตามมารยาท แต่เมื่อไม่มีใครตอบรับ ฉันจึงถือวิสาสะเดินเข้าห้องเอง แต่ก็ไม่พบใคร พบแต่กระเป๋าเดินทางใบโต วางแผ่อยู่ … และความรู้สึกแรกที่แวบเค้ามาคือ ฉันจะนอนเตียงไหนละทีนี้ ฉันเดินไปรอบๆห้องสักพัก แล้วก็พบกับกระดาษสีเหลืองเล็กๆ แปะอยู่บนเตียงข้างระเบียง

 

“สวัสดี ฉันชื่อ มัตสึอิ เรนะ ฉันมาถึงเมื่อวาน ตอนนี้ออกไปเที่ยวอยู่ จะมาทานข้าวเย็นด้วยกันก็ได้นะ โทรมาแล้วกัน viber at …… ทำตัวตามสบายเลยนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

 

“เห้อ~ ตูไม่มี viber”  ฉันพึมพำอยู่ในห้องคนเดียว

 

ฉันมองนาฬิกาในมือถือ ปรากฎว่าตอนนี้เวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว และที่สำคัญฉันไม่มีเสื้อผ้าเลยสักชิ้น ฉันควรจะรีบออกไปซื้อสินะ ว่าแล้วฉันก็บึ่งไปป้ายรถเมล์ (พร้อมกับแผนที่ในมือ) และตรงดิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด เพื่อซื้อของจำเป็นก่อน

 

หลังจากฉันกลับมา ฉันก็ล้มตัวลงบนเตียง พร้อมกับหลับตาลง เพราะ ความเหนื่อยและแทบจะไม่ได้นอนบนเครื่องบินเลย เนื่องจาก หูอื้อ  แต่ทว่า

 

ฉันได้ยินเสียงเปิดประตู “เอาไงดี ! แกล้งหลับดีไหม” แล้วการตัดสินใจของฉันก็คือ

 

พรึบ! ผ้าห่มถูกเลิกขึ้น พร้อมกับสายตางัวเงียที่เริ่มปรับโฟกัสมองเด็กผู้หญิงผมยาว สวมแว่นตา สวมกางเกงขาสั้น และเสื้อเปิดไหล่ ที่กำลังมองมาที่ฉันเช่นกัน ฉันรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวเป็นครั้งแรก ทำไมกันนะ

 

“เอ่อ !  สวัสดี เราได้อ่านใบเหลืองๆ แล้วนะ ยินดีที่ได้รู้จักมัตสึอิซัง เราชื่อ มัตสึอิ จูรินะ เรียกเราว่าจูรินะละกัน ง่ายดี ”

 

“อื้อ ยินดีที่ได้รู้จัก งั้นเรียกเราว่า เรนะ ก็ได้นะ นี่ทำไมไม่โทรหาเราละ แล้วทานอะไรรึยัง” เหมือนอีกคนจะถามด้วยความเป็นห่วง

 

“ยังอะ เราไม่เล่น viber ขอโทษด้วยนะ แล้วเราก็พึ่งมาถึง มีเรื่องนิดหน่อย คือ….กระเป๋าเราหายอ่ะ”

 

“เฮ้ย !!! ได้ไงเนี่ย แล้วทำไงอะ ไม่น่าละ ไม่เห็นมีกระเป๋าสักใบ โชคร้ายจริงๆเลยน้าาา ”

 

“ติดต่อเจ้าหน้าที่สนามบินไปแล้ว เดี๋ยวเขาบอกว่าจะเอามาส่ง ถ้าได้กระเป๋าแล้ว”

 

“ขอให้ได้กระเป๋าคืนแล้วกัน อ่อ เราซื้อของที่จะทำอาหารเอาไว้นะ บอกไว้ก่อนเลยว่า เราทำอาหารไม่เก่ง ฮ่าๆ”

 

“เราก็ทำไม่เก่ง นี่จะมาฝึกที่นี่ละ รู้ปะ!”

 

“จริงดิ แล้วก็เราไม่ใช่คนสะอาดนะ บอกเลย”  

 

“ฮ่าๆ เหมือนกันเด๊ะ!”

 

หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระ ฉันรู้ข้อมูลเธอมากขึ้น เธอก็เช่นกัน

 

ฉันรู้ว่าเรนะอายุเท่ากับฉัน เรียนคณะแพทยศาสตร์ ชอบถ่ายรูป ไม่ชอบทำอาหารและงานบ้าน เธอเป็นคนญี่ปุ่นแต่ไปเรียนที่ฮ่องกงตั้งแต่เด็กๆ ไม่ชอบกินของหวาน ชอบอาหารรสเผ็ด และไม่เคยมีแฟนมาก่อน

 

ฉันก็เล่าให้เธอฟังว่าฉันเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น แต่ว่าพ่อแม่ต้องทำงานที่ประเทศไทยเลยไม่ได้มีโอกาสกลับมาที่ญี่ปุ่นเลย นี่เลยเป็นครั้งแรก ฉันเรียนชีววิทยา บ้าการถ่ายรูปมาก ไม่ชอบทำอาหาร ทำงานบ้านบ้าง ไม่ชอบอาหารที่มีรสหวานจัดๆ

 

…และฉันก็คิด่ว่ามันเป็นการเริ่มต้นสำหรับคนแปลกหน้า 2 คนที่ดีนะ

 

 

 

 

 

กรี๊ดดดดดดดด  น้องจูเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น

ส่วนคุณเรเป็นเด็กญี่ปุ่นที่ไปเรียนนอกตั้งแต่เล็กๆ

รูมเมทเอ๋ย~  จงรักกันซะ!  คึคึคึ

รอตอนต่อไปนะคะ

ลูกครึ่ง ครึ่งญครึ่งช สินะอ่ะ!!!//โดนจูปารองเท้าใส่

กรี๊ดดดดดดดดดด รูมเมท ><

อ่า…รูมเมท…ไปตั้งกล้องรอห้องข้างๆก่อนนะ #ตั้งทำไม!!??

อั๊ยยะ!!

รูมเมท!!! หึหึหึ

โอ้ววว จูเป็นลูกครึ่ง แล้วพล็อตรูมเมทนี่มัน…

รูมเมทเดี๋ยวนี้มักจะมีซัมติงกันเนอะ…..

รูมเมททท ต้องมีซัมติงรองแน่อ่ะ 55

แอร๊ยยย ชอบแนวนี้ที่สุดเลยย
ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับรูมเมทมักมีซัมติงตามมาเสมอ >,,<
เป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะ-,,-b

กรี๊ดดดดดดดด  น้องจูเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น

ส่วนคุณเรเป็นเด็กญี่ปุ่นที่ไปเรียนนอกตั้งแต่เล็กๆ

รูมเมทเอ๋ย~  จงรักกันซะ!  คึคึคึ

รอตอนต่อไปนะคะ

รูมเมทเดี๋ยวนี้มักจะมีซัมติงกันเนอะ…..

Chapter 2: เรียกว่าเดทได้ไหม?

 

เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน

“จูรินะ ตื่นสิ จูริน้าาาาาาา” เสียงเรียกไม่ใช่ใครที่ไหน รูมเมทของฉันนั่นเอง

 

“อืมมมมมม” ฉันสะลืมสะลือตื่นขึ้นมา เพราะนี่วันเปิดเรียนวันแรก และเราจะไปสายไม่ได้ เมื่อเธอเห็นฉันไม่ยอมลุกสักที เธอจึงค่อยๆ ขึ้นมาบนเตียงของฉัน ดึงผ้าห่มออก แล้วค่อยๆ ดึงตัวฉันที่สุดแสนจะขี้เซาขี้นมา

 

“ลุก!!” เหมือนเสียงเธอจะเริ่มดุละ ฉันเริ่มกลัวและรีบเบิ่งตาให้กว้างและก็ลากตัวเองเข้าห้องน้ำไป

 

“ทานอะไรไหม” เรนะถามหลังจากที่ฉันออกมาจากห้องน้ำ

 

“ไม่อะ ปกติไม่ค่อยกินอะไรตอนเช้า ฮ่าๆ”

 

“ตื่นสายละสิไม่ว่า รู้ทันหรอกนะ” คนถูกเหน็บนี่…ยืนลูบหัวตัวเอง ยอมรับแต่โดยดี

 

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวสายนะ” ฉันบอกอีกคนที่กำลังเล่นโน้ตบุ้คอยู่

 

“อืม ไปสิ”

 

หลังเลิกเรียน ฉันเดินไปถามเรนะว่าจะไปทานข้าวเย็นที่ไหนดี ฉันจึงได้คำถามกลับมาว่า ไปสถานีเกียวโตไหม? ฉันก็พยักหน้าตอบตกลงแทบจะทันที

 

“เรนะ เราจะไปกันกี่โมงหรอ ขอนอนก่อนได้ป่ะ เหนื่อยอะ”

 

“หกโมงครึ่งไหม”

 

“โอเค งั้นนอนแปปนะจ๊ะ” ฉันยิ้มให้แล้วก็กระโดดขึ้นเตียงทันที

 

at  6.15 PM

 

“จูรินะ ตื่นเถอะ ไปกันได้แล้ว”

 

“อืม เคๆ รอแปปนะ ล้างหน้าก่อน”

 

จากนั้นเราก็มุ่งสู่สถานีเกียวโตทันที ไม่แปลกอะไรที่จะเจอคนมากมายที่นี่ แต่ที่แปลกคือคนข้างๆ ฉันนี่ละ เธออยากจะหยุดตรงไหนก็หยุด ไม่มีเรียกสักคำ ชอบเดินเข้าร้านที่เขียนว่า “ลดราคา”

นิเธออินดี้เกินไปละนะ !!

 

“นี่ๆๆ ข้างหน้ามีการแสดงน้ำพุด้วยอะ ไปดูได้ปะ” ฉันร้องทักเธอ ก่อนเธอจะเดินจ้ำๆ ไปอีก

 

“อะเคๆ”

 

มันคือการแสดง water fall dance  ที่ไม่ได้จัดขึ้นทุกวัน  การยิงลำแสงสีสันต่างๆ ผ่านลำน้ำ ประกอบกับเพลงเข้าจังหวะนั้นเป็นอะไรที่ตื่นตาสำหรับฉันมาก มันสวยจนบรรยายไม่ถูก เพลงมีทั้งเพลงช้าและเพลงเร็ว ฉันชอบมันนะ แต่เหมือนเรนะจังจะชอบการแสดงนี่มากกว่าฉันเสียอีก เธอเล่นถ่ายรูป ถ่ายวิดิโอไม่หยุดเลย
 

ฉันก็ถ่ายนะ ถ่ายรูปเรนะจังอะ

 

 

 

 

 

หลังจากการแสดงจบลง ไม่สิ พวกเราดูจนคิดว่าพอใจแล้ว เราก็เดินมาที่ร้านอาหารซึ่งก็คือ โอโคโนมิยากิ

ที่คนเยอะพอสมควร แต่ก็ยังที่ให้เรานั่งกันละนะ

 

“เอาไรดีน้าาาา น่ากินไปหมดเลย”

 

“เค้าอันนี้ละกัน จูรินะ”

 

“โอโคโนมิยากิ เพิ่มชีส?  ชอบชีสหรอ”

 

“อืม ชอบมากเลยแหละ จูรินะเอาอันไหน”

 

“อันนี้ละกัน” ฉันชี้ไปที่โอโคโนมิยากิแบบต้นตำรับ

 

เมื่อดินเนอร์ของสองเรามา ก่อนทานด้วยตำรับแล้วก็ต้อง ถ่ายรูปสิๆ ว่าแล้วฉันก็ไม่พลาดหรอกจะถ่ายรูปอาหาร และคนที่นั่งตรงข้าม !! บอกเลยนะ จุดนี้ น่ารักมากอะ

 

ฉันบอกให้เรนะชิมของฉัน เรนะก็ไม่ยอมฉันเลยบอกว่างั้นแลกกัน ฉันจะกินของเรนะ แล้วเรนะก็กินของฉัน ซึ่งเธอก็ยอมแต่โดยดี เพราะฉันใช้ตะหลิวอันเล็กๆ ตัดแล้วป้อนเธอ ตอนแรกๆ เธอก็บอกไม่เอาๆ ฉันก็บอก “ทานเลย ลองดูๆ อร่อยนะ ไม่เป็นไรหรอกกินช้อนเดียวกันน่ะ”  เธอจึงยอมกินมันลงไป แล้วก็บอก “อร่อย”  

ฉันเลยยิ้มๆ แล้วกินส่วนที่เหลือต่อไป

 

 

 

 

ระหว่างทางกลับที่พัก

 

“อุวาาาา ทำไงดีฝนตกอ่ะ ไม่ได้เอาร่มมาซะด้วยสิเนี่ย” ฉันบ่นกระปอดกระแปด ส่วนคนข้างๆฉัน เหมือนจะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ละมั้ง

“เรามีแหละ” เธอก็ยื่นร่มออกมากางแล้วก็จับมือฉันให้เข้าไปอยู่ในร่มด้วยกัน

 

“เขยิบเข้ามาสิ เดี๋ยวก็เปียกหรอก” เธอหันมาบอกฉัน หลังจากที่เดินเงียบๆ

 

“เราไม่เป็นไร อยู่ไทยก็ตากฝนจนชินละ เรนะจังนั่นละจะเปียก เราถือร่มให้ไหมให้เรนะจังถือแล้วร่มมันชนหัวเราอะ ”

 

“ก็จริงนะ ฮ่าๆ”

 

“นี่รู้ปะ ว่าเราเดินกันแบบนี้อะ เหมือนแฟนกันเลยเนอะ”

 

“ไม่จริงมั้ง ใครๆ เขาก็ทำกัน” เธอดูไม่เชื่อที่ฉันพูดเท่าไรเลย

 

“จริงๆ น้าาาา” ฉันหันไปบอกหน้าจริงจังกับเธอบ้าง

 

“เชื่อก็ได้ เราไม่เคยมีแฟนอะ เลยไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้”  เธอพูดพร้อมกับก้มหน้างุด

 

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาได้เองแหละ” พูดไปฉันก็นึกในใจ น่ารักขนาดนี้ทำไมไม่มีใครจีบ เดี๋ยวจีบเองเลยดีมะ

 

เราเดินกันมาได้สักพัก ก็ถึงที่พัก ฉันรีบไล่ให้เรนะจังไปอาบน้ำก่อน เพราะ ฉันจะคอลไลน์หาที่บ้านที่เมืองไทยก่อน เธอก็บอกว่า เดี๋ยวจะรีบอาบละกัน จะได้ให้ฉันอาบต่อ เดี๋ยวไม่สบาย

………………..ถ้าหากเลือกได้ ฉันอยากหยุดเวลาเอาไว้ ในวันที่เราสองคนมีอยู่ด้วยกันแบบนี้……………

‘เดี๋ยวจีบเองเลยดีมะ’ เอาเลยจูๆ 555

น้อวว จูจีบเลย หนับหนุนเต็มที่!!

ปล.อ่านไป ยิ้มไป มีความสุขจังเลย>///<

จีบเลย จีบเลย จีบเลย จีบเลย จีบเลย จีบเลย จีบเลย><//ชูป้ายไฟ

จีบเลยจู

ก่อนที่จะมีใครโผล่มาสอยไป??// หลบเกิบ

 

ปล. เบิ้ลอิเรื่องไม่ขอมาม่านะคะไรท์ T^T

จีบเลย จีบเลย จีบเลย ไม่ต้องคิดแล้ว จู

สู้ๆนะจูจัง