[Fiction] Mask of the Hidden [MaYuki] #1 051215

Mask of the Hidden

 

 

 

 

     

 

SILENT SMILE

 

 

      

 

 

 

 

 

 

Kashiwagi Yuki / Watanabe Mayu

Yokoyama Yui / Shimazaki Haruka / Yamamoto Sayaka / Watanabe Miyuki

 

 

 

 

 

 

 

 

“คนที่ยิ้มได้ตลอดเวลาอย่างเธอคงไม่เคยเสียใจ”

 

 

 

 

 

“ที่ฉันยิ้ม มันหมายความว่าฉันต้องมีความสุขเหรอ”

 

 

 

 

 

“…”

 

 

 

 

 

“ฉันก็เป็นมนุษย์ เหมือนกับเธอ”

 

 

 

 

 

“…”

 

 

 

 

 

“อย่าบอกนะว่าคนที่ทำหน้าเฉยชาตลอดเวลาอย่างเธอไม่เคยรู้สึกอะไรเลย”

 

 

 

 

 

.

 

 

 

.

 

 

 

.

 

 

 

 

 

รู้สึกสิ

 

 

 

 

 

 

 

“รู้สึกมากด้วย”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

TBC

 

 

 

 

CONTENT

 

SILENT SMILE

 

#1 :  Keep Silent

#2 #3 #4 #5 #6

 

 

 

 

มายูกิOwO
รอค่า~

รอด้วยจิ~~
วิ่งไปซื้อป็อบคอร์นแปป

Mayukiหละ

อุ๊ย มายูกิ รอรอ

รอด้วยคนค่า~><

ถ้าการพูดมันทำให้เรื่องยุ่งยาก

 

 

 

 

 

 

ทำตัวนิ่งเฉยไปซะคงดีกว่า

 

 

 

 

 

 

#1 :  Keep Silent

 

 

 

 

 

 

 

เคยมีคนถามฉันว่า ‘ทำไมเธอต้องทำหน้าเหมือนคนเบื่อโลกตลอดเวลาด้วย?’

 

 

 

อา..ไม่รู้สินะ

 

 

 

ทำไมฉันต้องตอบด้วยล่ะ

 

 

 

ทุกครั้งที่มีคนถามแบบนี้ ฉันมักจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

 

 

 

ฉันรู้สึกว่ามันน่ารำคาญและออกจะเป็นการก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวกันเกินไปหน่อยสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แน่นอนว่าด้วยท่าทีตอบรับอันเฉยชาเสียยิ่งกว่าใบหน้าราบเรียบของฉันส่งผลให้จำนวนคนที่เข้ามาถามลดน้อยลงเรื่อยๆ และกลายเป็นว่าไม่มีใครกล้าเข้าหาฉันอีกด้วยระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่เข้าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย

 

 

 

ก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก ฉันกลับคิดว่ามันสงบดีด้วยซ้ำ

 

 

 

ปล่อยให้ฉันอยู่เงียบๆ คนเดียวแบบนี้แหละดีแล้ว

 

 

 

ไม่อยากจะเอาตัวเองเข้าไปเกลือกกลั้วกับสังคมจอมปลอมที่ทุกคนล้วนใส่หน้ากากเข้าหากัน ภายนอกอาจทำทีเป็นมิตรชื่นชมยินดี แต่แท้ที่จริงแล้วเบื้องหลังก็มีแต่ถ้อยคำนินทา โกหกหลอกลวง และตอแหล

 

 

 

แต่จะว่าอะไรได้..ในเมื่อฉันเองก็ใส่หน้ากาก

 

 

 

หน้ากากแห่งความเรียบเฉย..

 

 

 

หน้ากากที่เป็นเกราะกันคนอื่นออกจากตัวฉัน

 

 

 

มันได้ผลดีนะ จนกระทั่งฉันเจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง

 

 

 

ผู้หญิงที่พูดมากน่ารำคาญมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ

 

 

 

“เธอๆ ขอดูหนังสือด้วยได้มั้ยคะ เราลืมเอาหนังสือมาอ่ะ”

 

 

 

ฉันปรายตามองผู้หญิงตัวสูงที่นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ..ปกติรัศมีโต๊ะทั้งซ้ายขวาหน้าหลังของฉันไม่มีใครนั่งมาก่อน เพราะฉันเลือกจับจองที่นั่งแถวหลังสุดห่างไกลจากผู้คนและสังคม และถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยอยากสนใจคนรอบข้างที่มีอยู่น้อยนิดเท่าไร แต่ฉันก็พอจะจำได้ผู้หญิงคนดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับฉันทั้งสิ้น!

 

 

 

ฉันเลือกที่จะไม่ตอบ จดจ่อสมาธิอยู่กับเนื้อหาบทเรียนและฟังที่อาจารย์บรรยายผ่านไมโครโฟนหน้าชั้นเรียน

 

 

 

“ฮัลโหล เธอได้ยินเราป่ะคะ” ยัยนั่นขยับที่นั่งเข้ามาใกล้อีกจนตัวแทบจะชิดกัน แล้วชะโงกหน้ามองฉันจากด้านข้าง “เราขอดูหนังสือด้วยได้มั้ย”

 

 

 

น่ารำคาญจริงๆ ไม่มีมารยาทพอจะไม่รู้หรือไงว่าความเงียบมีความหมายเท่ากับปฏิเสธน่ะ

 

 

 

นับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วจรดปลายปากกาเขียนตามหัวข้อบนจอโปรเจคเตอร์ พยายามไม่สนใจโต้ตอบผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ เดี๋ยวอีกสักพักหล่อนก็คงล้มเลิกความพยายามไปขอดูหนังสือจากคนอื่นเองนั่นแหละ

 

 

 

ที่นั่งว่างข้างคนอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมจะต้องมาเจาะจงคนอย่างฉันด้วย

 

 

 

หน้าตาฉันดูมีน้ำใจหรือเป็นมิตรมากงั้นสิ?

 

 

 

“โห่ววว มายุใจร้ายจังเลย”

 

 

 

นั่น ยังไม่ยอมหยุดพูดอีก

 

 

 

 

 

 

เดี๋ยวนะ

 

 

 

“เธอรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”

 

 

 

ยัยนั่นยิ้มร่า ท่าทางดีใจที่สามารถเรียกความสนใจจากฉันได้

 

 

 

“ก็มายุเขียนไว้บนชีทนี่คะ”

 

 

 

เขียนไว้กันหาย ไม่ได้เขียนไว้ให้คนขี้เสือกมาแอบดูชื่อมั้ยล่ะ

 

 

 

“ไร้มารยาท”

 

 

 

คนไร้มารยาทสะดุ้งโหยงนิดหน่อยเมื่อโดนด่า ฉันส่งสายตาเย็นชาบอกเป็นนัยไม่ให้มายุ่มย่ามอีกก่อนจะตั้งใจฟังบทเรียนที่ไม่รู้ว่าไปไกลถึงไหนแล้ว…อุตส่าห์นั่งแยกจากผู้คนเพื่อไม่ให้มีเสียงรบกวนเวลาเรียนแล้วแท้ๆ

 

 

 

“โทษทีนะ เราลืมแนะนำตัวไป เราชื่อคาชิวากิ ยูกิ เรียกว่ายูกิก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะมายุ”

 

 

 

ใครถามชื่อหล่อนยะ!

 

 

 

“ถึงไหนแล้วนะคะ อ้อ วิถีชีวิตของคนชนชั้นกลาง..”

 

 

 

เดี๋ยวนะ..ได้ข่าวว่ายังไม่อนุญาตให้ดู แล้วถ้าจะนั่งชิดขนาดนี้สิงร่างกันเลยมั้ย…

 

 

 

“ฉันยังไม่อนุญาตให้เธอดูเลยนะ”

 

 

 

“ยังไงเราก็จะดูค่ะ ถ้ามายุมัวแต่ไล่เรา ระวังจะจดตามที่อาจารย์สอนไม่ทันนะคะ” ว่าแล้วนางก็ยักคิ้วข้างซ้ายอย่างกวนอวัยวะเบื้องล่างที่ใช้เดินหนึ่งที พอรวมกับรอยยิ้มแฉ่งเหมือนชีวิตแฮปปี้ดี๊ด๊าตลอดเวลาก็ยิ่งทวีความน่าหมั่นไส้ “เนี่ย ตอนนี้ไปถึงเรื่องเศรษฐกิจแล้ว”

 

 

 

แต่ก็จริงอย่างที่ว่า..มาถึงขนาดนี้แล้วไล่ยังไงก็คงไม่ไป และถ้าปล่อยให้ยัยนี่ส่งเสียงกวนประสาทน่ารำคาญอีก สุดท้ายแล้วฉันคงไม่ได้รับความรู้อันใดกลับไปตลอดคาบเรียนนี้

 

 

 

“งั้นก็ช่วยสงบปากสงบคำไว้ด้วย รำคาญ” ฉันเลื่อนหนังสือเรียนแบ่งให้ยัยคนพูดมากดูได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่ามีน้ำใจหรอกนะ แค่ตัดปัญหาไม่ให้หล่อนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ตัวฉันนานๆ เท่านั้นเอง…น่าอึดอัดจะตาย น่ารำคาญมากกว่าด้วย

 

 

 

“น่ารักจังเลยค่ะ” หล่อนฉีกยิ้มกว้าง..จากที่ของเดิมก็กว้างอยู่แล้วล่ะนะ

 

 

 

เมื่อจัดการปัญหากวนใจได้แล้ว ฉันก็กลับมาตั้งใจเรียนได้อีกครั้ง โชคดีที่บทนี้ไม่ต้องใช้ความเข้าใจมาก เนื้อหาส่วนใหญ่ก็มีในหนังสืออยู่แล้ว ถ้าตั้งใจอ่าน ตั้งใจฟังจริงๆ ยังไงก็ตามทันได้ไม่ยาก ส่วนยัยกาฝากข้างกายพอมีหนังสือให้อ่านก็เลิกวุ่นวายทำตัวสงบเสงี่ยมกว่าเคยจนน่าเหลือเชื่อ

 

 

 

อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่อย่างที่กลัว

 

 

 

แต่หลังจากนี้ไม่ต้องพานพบเจอกันอีกจะดีมาก!

 

 

 

พออาจารย์บอกเลิกคลาส ฉันก็รีบโกยข้าวของทุกสิ่งอย่างลงกระเป๋าสะพายคู่ใจแล้วเดินออกจากห้องนั้นโดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่ลอยตามลมมา

 

 

 

“เดี๋ยว มายุรอเราก่อนสิคะ”

 

 

 

โอเค..ตอนนี้มาถึงโถงทางเดินรวมแล้ว ต่อไปก็ลงลิฟต์ไปข้างล่าง

 

 

 

“มายุ!”

 

 

 

ไม่สน ไม่สน

 

 

 

ไหนใครชื่อมายุ โห่ว ชื่อโหลจังเลยเธอ

 

 

 

“เราบอกให้มายุรอเราไงคะ ทำไมไม่รอล่ะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินไปถึงหน้าลิฟต์..อันที่จริงฉันเดินได้แค่ไม่กี่ก้าวด้วยซ้ำ เจ้าของเสียงดังโวยวายนั่นก็เข้ามาคว้าข้อมือฉันไว้จากด้านหลัง ใบหน้ายังคงยิ้มแฉ่งแม้จะฉายแววเหนื่อยเล็กน้อย

 

 

 

แต่ใครแคร์ล่ะ ก็อยากวิ่งตามมาเองทำไม

 

 

 

“แล้วทำไมฉันต้องรอเธอด้วย” ฉันสะบัดข้อมือนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ

 

 

 

“มายุลืมมือถือไว้อ่ะค่ะ”

 

 

 

“…”

 

 

 

“…”

 

 

 

“ขอบใจ” ฉันรีบรับโทรศัพท์มือถือคืนมาแล้วก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา รู้สึกได้ถึงไอร้อนผ่าวบริเวณผิวแก้ม

 

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงร่าเริงที่ไม่มีแววล้อเลียนของหล่อนทำให้ฉันใจชื้นขึ้น แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องรู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์ “เอ..หรือว่าจริงๆแล้วมายุแกล้งลืมไว้อ่อยเราใช่ป่าว อยากคุยกับเราบ่อยๆก็บอกมาน่า ไม่ต้องทำเล่นตัวหรอก..อ้าว จะรีบไปไหนอ่ะคะ”

 

 

 

ไปไหนก็ได้ โตแล้ว!

 

 

 

รีบเดินออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุดมากเท่าที่จะทำได้ อาศัยความตัวเล็กกะทัดรัดของตัวเองเดินแหวกฝูงชนหนีออกมาโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาเหลียวหลังมองหรือเงี่ยหูฟังด้วยซ้ำ ยิ่งเห็นว่าหน้าลิฟต์สามตัวประจำตึกมีคนยืนรออยู่จนแน่น ฉันจึงเดินเลยไปยังประตูหนีไฟ

 

 

 

เดินลงบันไดมันไม่ถึงตายหรอก แค่สิบชั้นเอง..

 

 

 

ทันใดนั้นเองฉันก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ในกำมือ โดยปกติมีแค่สมาชิกในครอบครัวและคนสนิทเท่านั้นที่รู้เบอร์นี้ หรือไม่ก็พวกอาจารย์หรือคนที่ฉันมีความจำเป็นต้องติดต่องานด้วยซึ่งต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยว่าจะได้เบอร์จากฉันไปง่ายๆ

 

 

 

เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่ค่อยคิดมากก่อนกดรับโทรศัพท์

 

 

 

แม้ว่ามันจะเป็นเบอร์แปลกก็ตามที…

 

 

 

“ไม่ต้องรีบลงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ เราไม่ตามมายุแล้ว”

 

 

 

ฉันไม่มีทางลืมเสียงและสำนวนการพูดแบบนี้แน่ๆ

 

 

 

หันซ้ายหันขวามองโดยรอบจนแน่ใจว่าเจ้าของเสียงปลายสายไม่ได้ตามมาอย่างที่ปากบอกจริงๆ “เธอทำอะไรกับมือถือฉันบ้าง” เอ่ยถามออกไปเสียงเรียบแม้อีกใจจะอยากกดวางสายทิ้งมากกว่าก็ตาม

 

 

 

ก็อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะมาไม้ไหน

 

 

 

“เวลาแค่นั้นเราทำอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ แค่กดเบอร์อย่างเดียวก็หมดแล้ว”

 

 

 

“หมายความว่าถ้ามีเวลาเพิ่มจะทำมากกว่านี้งั้นสิ”

 

 

 

“ถูกต้องงง เก่งนะเนี่ย เดี๋ยวคราวหน้าให้ขนมเป็นรางวัลนะคะ” ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังลอดออกมา ท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำอันปราศจากมารยาทที่คนสามัญธรรมดาเขาไม่พึงทำกัน “อ๊ะ อย่าเพิ่งวางนะคะ เราแค่จะโทรมาบอกว่างานที่อาจารย์สั่งในคลาสเมื่อกี้ มายุทำคู่กับเรานะคะ”

 

 

 

ฉันหยุดเดิน ขมวดคิ้วนึกทวนความทรงจำ

 

 

 

“ไม่เห็นจำได้ว่าอาจารย์พูดแบบนั้น”

 

 

“จะจำได้ๆไงละคะ ก็เราเป็นคนพูดเอง”

 

 

“ฉันไม่ทำกับเธอ”

 

 

“โหยย อย่าใจร้ายแบบนี้สิคะ ถ้ามายุไม่คู่กับเราแล้วเราจะไปคู่กับใครอ่า”

 

 

“เรื่องของเธอ”

 

 

“มายุมีคู่แล้วเหรอคะ”

 

 

“ฉันจะทำคนเดียว”

 

 

“อาจารย์สั่งเป็นงานคู่น้า”

 

 

“ฉันจะทำคนเดียว”

 

 

“มายุทำคนเดียวไม่ไหวหรอก งานมันเยอะมากเลยนะคะ”

 

 

“ฉันจะทำคนเดียว” ย้ำเสียงหนักแน่นเป็นครั้งที่สาม กะว่าหากยัยคนน่ารำคาญยังยกเหตุผลมาเป็นข้ออ้างอีกนิดเดียวฉันจะกดวางสายและบล็อกเบอร์โทรศัพท์นี้ทันที

 

 

 

“…”

 

 

 

ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่ตรงไหน สำหรับฉันสะดวกที่จะทำงานคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

 

 

เชื่อเถอะว่าคนยิ่งเยอะก็ยิ่งมีปัญหาเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ความเห็นไม่ตรงกันบ้างล่ะ โดนสมาชิกในกลุ่มเอาเปรียบบ้างล่ะ ทำงานคนเดียวอาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ยังไงก็สบายใจกว่าเยอะถ้าแบ่งเวลาดีๆ…อีกอย่าง ฉันไม่ชอบการที่ฉันทุ่มเททำงานแทบตายเพื่อให้สมาชิกร่วมกลุ่มบางจำพวกที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งเฉยได้คะแนนไปฟรีๆ

 

 

 

ไม่รู้หรอกว่ายัยผู้หญิงคนนี้จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนั้นหรือเปล่าถึงได้ตามตอแยอยากร่วมงานกับฉันนัก

 

 

 

“มายุอาจคิดว่าตัวเองดื้อมากใช่มั้ยคะ” ยัยนั่นเริ่มพูดอีกครั้ง คราวนี้เปี่ยมด้วยความมั่นใจและยียวนกว่าเคย…น่าแปลกตรงที่มันมีอิทธิพลมากพอให้ฉันยังถือสายรอฟังคำพูดต่อไป ทั้งๆที่ฉันจะกดวางไปแล้วทำเป็นไม่สนใจเหมือนที่ผ่านมาก็ได้

 

 

 

“…”

 

 

 

“แต่บางทีมายุควรรู้ไว้นะว่าเราดื้อกว่า”

 

 

 

“…”

 

 

 

“เรามีความหน้าด้านที่มายุไม่มี”

 

 

 

“…”

 

 

 

“เพราะงั้นไม่ว่ามายุจะพูดยังไง”

 

 

 

“…”

 

 

 

“เราจะตามตื๊อจนกว่ามายุจะยอมทำงานคู่กับเราค่ะ”

 

 

 

ไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน..และไม่คิดว่าเกิดมาชาตินี้จะต้องเจอด้วย

 

 

ฉันถอนหายใจเมื่อนึกถึงอนาคตที่มีทีท่าว่าน่าจะวุ่นวายไม่ใช่น้อย..

 

 

 

“จะทำงานเมื่อไรก็นัดมาละกัน”

 

 

 

 

-To be continued

มายุนี่ออกลายซึนมาแต่ไกล

โอ๊ยยยย คาชิวากิซัง หน้าหนามากเลยค่ะ อย่าไปยอมมายุนะ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก

โอ้ววววว พี่กร ชอบพี่กรโหมดเน้ >< น่ารักอ่าน่ารักๆๆ รอเลยครับรอๆ ผมจิไม่ไปไหนทั้งนั้น

ยูกิ น่ารัก และหน้าด้าน ในเวลาเดียวกัน ถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถ

รอนานแล้วนะ

พี่กรขี้ตื้อเว่อ มายุก็ยอมๆไปเถอะลุก 5555555