[Fic] เรื่องเล่าจากท้องทะเล (Wmatsui) บทที่23 Last chapter – Love for ever <07/12/2013>

00–

                ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ พื้นผิวสะท้องต้องแสงประกายระยิบระยับสดใส ลึกลงไปมีสิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยอยู่ อาจเป็นสิ่งที่เรารู้จักและเคยพบเห็นมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นเช่นกัน ท้องทะเลอันลึกลับน่าค้นหา จะมีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้างนะ อาจจะมีสิ่งมีชีวิตในเทพนิยาย ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นปลา ใช่ อาจจะมีนางเงือกอยู่ก็เป็นได้

                ท้องทะเลอันกวางใหญ่ ลึกลับ ความลึกลับนั้น ช่างน่าค้นหา เรามาลองฟังนิทานสักเรื่องเกี่ยวกับท้องทะเลเป็นไง นิทานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอันน่าอัศจรรย์ใต้ท้องทะเลนั้น ใช่แล้ว เรื่องราวของนางเงือกยังไงล่ะ

00–

                ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ พื้นผิวสะท้องต้องแสงประกายระยิบระยับสดใส ลึกลงไปมีสิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยอยู่ อาจเป็นสิ่งที่เรารู้จักและเคยพบเห็นมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นเช่นกัน ท้องทะเลอันลึกลับน่าค้นหา จะมีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้างนะ อาจจะมีสิ่งมีชีวิตในเทพนิยาย ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นปลา ใช่ อาจจะมีนางเงือกอยู่ก็เป็นได้

                ท้องทะเลอันกวางใหญ่ ลึกลับ ความลึกลับนั้น ช่างน่าค้นหา เรามาลองฟังนิทานสักเรื่องเกี่ยวกับท้องทะเลเป็นไง นิทานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอันน่าอัศจรรย์ใต้ท้องทะเลนั้น ใช่แล้ว เรื่องราวของนางเงือกยังไงล่ะ

 

//

เริ่มก๊อป วาง วาง T^T

สู้ๆค่ะ รออ่านๆ>w<)

รอๆๆๆ ตามมาอ่านเหมือนกันจ้า

01—

                ลึกลงไปใต้ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ สิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยอยู่ ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา มากมาย แหวกว่ายอวดโฉมหยอกล้อกัน ลึกไปกว่านั้น มีเมืองใหญ่ เมืองที่ไม่มีมนุษย์บนพื้นโลกคนไหนลุกล้ำเข้าไปได้ อาณาจักรแห่งเหล่าเงือก สิ่งมีชีวิตที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นปลา ว่ายไปมา เอ่ยทักทายสวัสดีกันและกันเมื่อพบเจอ เมืองเล็กๆใต้ท้องทะเลนี้ช่างดูอบอุ่น มีบ้านเล็กๆตั้งเรียงรายกันตามแนวปะการัง อ๊ะ ตรงนั้นมีปราสาทหลังใหญ่ตั้งอยู่ ตรงใหญ่กลางเมือง ช่างดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามนัก มีทหารเงือก ยืนคุ้มกันภัยอันตรายที่ถึงแม้จะไม่เคยลุกล้ำเข้ามาในอาณาจักร แต่ก็คงป้องกันเผื่อยามฉุกเฉิน เข้าไปภายใน แสงสดใสจากไข่มุกและปะการังหลากสี สะท้อนไปมาสดใส ช่างงดงาม เงือกหนุ่มสาว พูดคุยเรื่องต่างๆที่ดูแล้วจะเข้าใจยาก เพราะงั้นเราผ่านพวกเขาไปเถอะ โอ๊ะ ตรงนั้นคงเป็นใจกลางของวัง ดูสิ มีเก้าอี้ขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยเปลือกหอย และไข่มุกมากมายดูอลังการ คงเป็นที่นั่งของราชาสินะ แต่ดูเหมือนราชาจะไม่อยู่ คงไปชมอาณาจักรอื่นละมั้ง รอบๆสถานที่นั้น มีเงือกสาวสองสามตนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

                ขึ้นไปบนปราสาท ภายในห้องที่น่าจะเป็นห้องนางเงือกผู้เป็นองค์หญิงของอาณาจักร ผิวขาวราวไข่มุก ไม่สิแม้ไข่มุกที่ใดในท้องทะเลก็ไม่อาจเทียบได้ ตัดกับผมยาวไสวสีดำสนิท เรียวปากสีชมพู ดวงตาสีน้ำตาเข้มน่าหลงใหลนั้นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง มองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย 

                “เฮ้อ”

                เสียงถอนหายใจดังขึ้นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบ เกิดขึ้นจากที่นางนั่งคิดและใฝ่ฝันถึงสิ่งๆนึง แต่มันไม่อาจเป็นไปได้เลย นางอยากขึ้นไปบนผิวน้ำ อยากรับแสงตะวันที่ส่องลงมา อยากเป็นพื้นดิน และ อยากพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนนั้น บ่อยครั้งที่มีสิ่งของจากโลกเบื้องบนตกลงมายังอาณาจักรเธอ ในบรรดาของเหล่านั้นมีหนังสือภาพอยู่ด้วย รูปภาพเหล่านั้นมีสิ่งต่างๆที่องค์หญิงไม่เคยเห็น ทั้งพื้นดิน ต้นไม้ สัตว์นาๆชนิด รวมทั้ง มนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ส่วนบนเหมือนพวกเฝือก ต่างกันก็แค่ส่วนล่าง ที่เป็นขาสองขา ไว้เดินบนพื้น อยากเห็นจัง แต่ท่านพ่อคงไม่ยอมแน่ๆเลย

“เฮ้อ”

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดึงองค์หญิงกลับสู่ความเป็นจริง นางหันไปมองตามเสียงก่อนจะอนุญาตให้ผู้ที่อยู่หลังบานประตูนั้นเข้ามาได้

“มีอะไรเหรอ คาน่อน” องค์หญิงเอ่ยทักทายเงือกที่เพิ่งเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม

“ราชินีเรียกให้องค์หญิงไปพบเพค่ะ” อีกฝ่ายพูดบอกธุระของตน ก่อนจะมองหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่าย “องค์หญิงเป็นอะไรรึเปล่าเพคะ?”

“โธ่ ฉันก็เคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดสุภาพกับฉัน แล้วก็เรียกชื่อด้วย”

“แต่ว่า….”

“แต่อะไรเล่า เรารู้จักกันมานานแล้วนะ ฐานะอะไรนั้นไม่สำคัญหรอกนา” องค์หญิงว่ายเข้าไปหาคนตรงหน้า ผู้เป็นทั้งคนคอยดูแลและเป็นน้องสาวของตน นางมักจะย้ำเสมอว่าให้เรียกชื่อและไม่ต้องพูดสุภาพด้วย แต่อีกคนก็มักจะเผลอพูดสุภาพและเรียกนางว่าองค์หญิงอยู่ตลอด

“ขอโทษ เรนะ” เงือกสาวกล่าวขอโทษ และอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มเสียจนตาปิด

“ดีมาก……ว่าแต่ท่านแม่เรียกฉันไปหา มีอะไรรึเปล่า”

“ไม่รู้สิ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชาล่ะมั้ง”

“เหรอ”

พูดจบก็ไปยังห้องของราชินี เคาะเรียกผู้ที่อยู่ในห้อง ก่อนจะเข้าไปข้างใน

“ท่านแม่เรียกลูกมาพบ มีอะไรรึเปล่าคะ?” เรนะเอ่ยถามถึงธุระจากมารดา ซึ่งตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับเอกสารตรงหน้าอยู่

“เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านพ่อ องค์ราชาเดินทางไปอาณาจักรข้างๆน่ะจ๊ะ” ราชินีเงยหน้าจากกองเอกสาร มองหน้าลูกสาวของตนที่ตอนนี้ทำหน้าไม่เคยสู้ดีเท่าไร เพราะเรื่องที่จะได้ยินต่อจากนี้เดาไม่ค่อยยาก

เงียบไปสักพักราชินีทำท่าจะพูดต่อ แต่โดนองค์หญิงเรนะขัดขึ้น

“ลูกไม่แต่งงานแน่ๆ”

                “ไม่ลองพบอีกฝ่ายดูก่อนล่ะ ลูกอาจจะชอบเขาก็ได้”

                “ไม่มีทางหรอก ใช่ว่าลูกไม่เคยพบเขาเสียเมื่อไร ตอนงานเลี้ยงคราวที่แล้วลูกเห็นเขาแล้ว และลูกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกับเขาเลยสักนิด”

                “นั้นเพราะลูกยังไม่ได้ทำความรู้จักกับเขาดียังไงล่ะ หากลองพูดคุยกันดู….”

                “ต่อให้พูดคุยกันแล้ว ลูกก็ยืนยันคำเดิม ลูกจะไม่แต่งานกับองค์ชายนั้นหรอก”

                พูดจบเรนะก็ออกจากห้องไป องค์ราชินีได้แต่ถอนหายใจ ส่ายหน้าไปมากับความเอาแต่ใจของลูกสาว ใช่ว่านางอยากจะบังคับให้เรนะแต่งงาน แต่เพื่อความสัมพันธ์อันดีของสองอาณาจักร การแต่งงาน ก็ถือเป็นหนึ่งในทางเลือก  ใช่ มันเป็นแค่หนึ่งในนั้น ตอนนี้องค์ราชินีพยายามคิดกนทางอื่น หนทางที่ไม่ต้องฟื้นใจลูกสาวของตน แต่มันช่างยากเหลือเกิน

                องค์หญิงเรนะ หลังจากที่ออกมาจากห้องแล้ว ก็มาทำอารมณ์ให้เย็นลงที่สวนในปราสาท บรรยากาศสบายๆกับดอกปะการังหลากสีช่วยให้จิตใจของนางผ่อนคลายลงได้มาก เมื่ออารมณ์เริ่มเย็นลงแล้วก็เริ่มคิดแผนที่จะปฏิเสธงานคลุมถุงชนนี้

                หรือเราจะหนีไปดีนะ

                “องค์หญิง”

                เสียงเรียกทำให้เธอตื่นจากความคิด ก่อนจะหันไปมองต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็น คาน่อน เธอจึงส่งสายตาดุๆกลับไป ทำเอาคาน่อน เลิกลัก ก่อนจะเรียกใหม่อีกทีด้วยชื่อของเธอ

                “อะ เออ….เรนะ เป็นอะไรรึเปล่า ราชินีเรียกไปคุยเรื่องอะไรเหรอ ถึงได้ดูอารมณ์ไม่ดีแบบนี้”

                คาน่อนพูดขึ้น ก่อนจะเข้าไปใกล้ๆอีกฝ่าย

                “เรื่องแต่งงานน่ะ” เรนะถอนหายใจเบาเมื่อนึกไปถึงเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดเลยจริงๆ “กับองค์ชายของอาณาจักรข้างๆ”

                “เอ๊ะ!..องค์ชายคุมิเหรอ” คาน่อนทำท่าตกใจเล็กน้อย เรนะพยักหน้ารับ เฮ้อ ทำไมเธอถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ องค์ชายที่ไหนไม่เป็นดันมาเป็นคุมิ เงือกตนนั้นที่เธอรู้ดีว่า อีกคนนั้นหลงรักอยู่ ถึงแม้จะไม่เคยบอกเธอก็เถอะนะ เรนะเหลือบมองอีฝ่าย คาน่อนก้มหน้าพยายามซ่อนสีหน้าของตนเอาไว้ เมื่อรู้สึกว่าถูกมองก็ยิ้มให้เรนะ แต่ถึงแม้จะยิ้ม แต่แววตาของเธอช่างดูเศร้าเหลือเกิน

                ยิ่งเห็นแบบนี้ เธอยิ่งไม่อยากเจอองค์ชายอะไรนั้นเลย ท่านพ่อนะท่านพ่อ เดินทางไปเพื่อยกลูกสาวให้คนอื่นเหรอ คิดแล้วก็น่าน้อยใจ แต่เอ๊ะ ตอนนี้ท่านพ่อไม่อยู่ พวกองครักษ์ก็ตามไปด้วย ทำให้กำลังทหารในวังลดลง แบบนี้ก็…….

                “ฉันว่าจะหนีล่ะ”

                “คะ???”

                จู่ๆเรนะก็พูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อออกมา คาน่อนเบิกตาโตด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ปากอ้าพะงาบ  พะงาบ เค้นเสียเอยถามตะกุกตะกัก

                “หนะ หนี เดี๋ยวสิเรนะ หนีงั้นเหรอ!!”

                “นา แค่ชั่วคราวเอง ประมาณว่าออกผจญภัย” เรนะพูดพลางกอดอกยิ้มร่าอย่างตื่นเต้น ตรงข้ามกับคาน่อนที่หน้าซีดเหมือนจะเป็นลมแล้วล่ะตอนนี้

                “แต่ข้างนอกมันอันตรายนะ มีอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้” คาน่อนพูดเตือนสติให้องค์หญิงของตนคิดดูดีๆอีกครั้ง แต่กลับไม่เป็นผล องค์หญิงกลับฉีกยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้นกว่าเก่า

                “มีอะไรอยุ่บ้างไม่รู้ เพราะงั้นเลยต้องออกไปดูให้รู้ไงล่ะ”

                นั้นปะไร คาน่อนกุมหัวพรางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ห้ามไปคงไม่ฟังแล้วล่ะแบบนี้ แต่ถ้ามีคนไปด้วยคงไม่เป็นไร

                “แน่นอนว่าฉันจะไปคนเดียว” เหมือนอ่านความคิดของคาน่อนออก เรนะพูดขึ้น สายตาจ้องไปยังอีกฝ่าย แววตาที่จริงจังทำให้คาน่อนรู้สึกกลัวในความคิดที่เดาไม่ได้ขององค์หญิง

                “แต่ว่า…..”

                “ฉันอยากให้เธออยู่ที่นี้ คาน่อน คอยหาข้อแก้ตัวให้ฉันเวลาท่านพ่อกลับมาก่อนที่ฉันจะกลับ”

                เรนะเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มบางของคาน่อน ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ เธอรู้ว่าข้างนอกมันอันตราย แต่คนที่อยากรู้อยากเห็นอย่างเธอก็พร้อมจะออกไปเผชิญ แล้วเธอก็ไม่อยากให้คนที่ตามเธอไปได้รับอันตรายด้วย ยิ่งเป็นคนที่เปรียบเสมือนน้องสาวของเธอยิ่งแล้วใหญ่

                “อือ…….งั้นพาโดฟินไปด้วยสิค่ะ” หลังจากทำหน้าเครียดคิดอะไรบางอย่างอยู่เธอก็พูดถึงโลมาสีขาว โดฟินขึ้นมา ถ้าองค์หญิงพามันไปด้วยเธอก็วางใจได้เปราะนึง เพราะโดฟินเป็นโลมาที่ฉลาด คงช่วยได้หากเกิดอะไรขึ้น

                “โอว ฉันก็กำลังคิดจะพาเด็กคนนั้นไปด้วยเหมือนกัน”  เพื่อลดความกังวัลของคาน่อน เรนะก็คิดที่จะพาโลมาขาวไปด้วยอยู่แล้ว โชคดีที่คิดเหมือนกัน

                ทั้งสองได้พูดคุยถึงวันและเวลาที่จะออกเดินทาง เรนะว่าจะไปเสียตั้งแต่รุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ คาน่อนเลยอาสา ช่วยจัดเตรียมของใช้ที่จำเป็นให้ แต่ดูเหมือนของใช้จำเป็นสำหรับเธอมันจะรวมไปถึงจานชามด้วยสิ เรนะจึงต้องบอกให้เอาออกเพราะว่ามันดูแล้วจะหนักเปล่าๆ เอาไปแค่ มีดพก กับอาหารนิดหน่อยก็พอ(เธอว่าจะไปหาเอาข้างนอก)

                แม้ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมกับแผนการในวันพรุ่งนี้ องค์หญิงเรนะกลับข่มตาหลับไม่ลง น่าตื่นเต้นจริงๆ พรุ่งนี้เธอจะได้ออกไปชมโลกกว้างภายนอกอาณาจักร ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังมีแผนอื่นอีก แผนที่ไม่อาจบอกคนสนิทของเธอได้ เธอคิดที่จะไปหาแม่มดแห่งดินแดนทางตะวันตก เพื่อทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง ขึ้นไปพ้นผิวน้ำ ไปสัมผัสกับดินแดนที่เรียกว่าพื้นดิน

                แค่คิดก็ชักจะตื่นเต้นขึ้นมาอีกแล้วสิ

02—

                เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากล่ำลา(ชั่วคราว)กับคาน่อน(ที่พยายามยื้อเธอไว้ไม่ให้ออกมา)แล้ว เธอก็ออกเดินทางตามแผนที่วางไว้พร้อมกับเจ้าโลมาขาวตัวน้อย ระยะทางจากอาณาจักรไปยังเป้าหมายที่วางไว้นั้นไม่ใช่ใกล้ๆเลย แต่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ค่อยมีอุปสรรคอันตรายอะไรอย่างที่เธอได้ยินมา เหมือนกับมีอะไรเชื้อเชิญให้เธอไปหาแม่มดแห่งดินแดนตะวันตกอย่างนั้นแหละ 

                เพราะไม่มีอุปสรรค(ที่เรนะหวังจะให้มีสักนิดนึง) พวกเธอก็มาถึง ดินแดนที่เต็มไปด้วยปะการังหลากสีสัน  กับฝูงปลาแหวกว่ายไปมาทั่วทุกที่ นี่หรือ ที่อยู่ของแม่มด แต่ที่มั่นให้เธอมั่นใจก็คือ ถ้ำที่อยู่ตรงหน้า มันดันมีป้ายลูกศรชี้เข้าไปข้างในและเขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแม่มดตะวันตก’ เอิ่ม รู้สึกตื้อไปพักนึง เธอมองหน้าโดฟิน เจ้าโลมาน้อยก็ทำหน้ามึนไม่ต่างจากเธอเท่าไรนัก 

                 แต่ในเมื่อมีป้ายชี้บอกขนาดนี้จะไปเข้าไปตามคำชวนก็กระไรอยู่ เป็นไงเป็นกัน

                 เรนะกลืนน้ำลายก่อนจะว่ายเข้าไปภายในถ้ำนั้น โดฟินเห็นเจ้านายนำไปแล้วก็ว่ายตามไปติดๆ ภายในถ้ำบรรยากาศไม่ได้มืดมนอย่างที่คิด ตามพนังถ้ำมีผลึกอัฐมณีสีต่างๆส่องแสงเรืองรองแข่งกันอวดประกายของตน และมีของที่เธอคิดว่าคงมาจากโลกเบื้องบนประดับตกแต่งไว้ประปราย  ดูแล้วเจ้าของบ้านถือว่ามีรสนิยมดีทีเดียว โอ๊ะ ดูเหมือนจะสุดทางแล้ว เบื้องหน้าทั้งสองนักเดินทางนั้นมีประตูบานใหญ่ประดับประดาด้วยปะการังและ อัญมณีมากมาย แม่มดตนนี้สุดๆไปเลยจริงๆ เรนะคิด

                 ขณะกำลังคิดว่าจะเข้าไปยังไงดีนั้น ประตูตรงหน้าก็เปิดออก เกิดแสงสว่างจากอีกฝากของประตูจนเรนะต้องหลับตาแน่น ไม่อาจสู่แสงได้

                 “ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนของข้า องค์หญิงน้อย”

                  เพราะแสงสว่างเมื่อสักครู่ทำให้เรนะไม่อาจลืมตาเพื่อมองเจ้าของเสียงได้ เธอขยี้ตาเบาๆ(ขณะที่โดฟินพยายามส่ายหัวไปมาสลัดภาพเบลอ) เธอกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสายตา เมื่อเริ่มมองเห็นแล้ว ภาพตรงหน้าของเธอกลับเป็นแบบซูมอิน(Zoom in) หน้าของอีกฝ่ายอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ ทำเอาเธอผงะถอยหลังทันทีพร้อมกันกับโดฟินที่ว่ายมาขว้างหน้าเธอกับแม่มดเอาไว้

“โอ๊ะ โอ๋ ใจเย็นเข้าโลมาน้อย ข้าไม่ทำอะไรองค์หญิงของเจ้าหรอก” อีกฝ่ายยกมือขึ้นยอมแพ้เพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตนไม่ได้เจตนาร้ายอะไร “ข้าคือแม่มดแห่งดินแดนตะวันตก นามว่าอัตสึโกะ ข้ารอการมาของท่านอยู่แล้วองค์หญิงเรนะ”

แม่มดนามอัตสึโกะ แนะนำตนเอง นางเป็นแม่มดที่สวยมากทีเดียวในความคิดของเรนะ ผมสีดำสั้นประบ่า หาง(ก็นางเงือกอะ)ยาวสีเขียวอัมพันพลิ้วไสว รอยยิ้มและสายตาอันดึงดูดนั้นชวนมองยิ่งนัก

 

                   “หมายความว่าไง ท่านรู้อยู่แล้วรึว่าฉันจะมาน่ะ” เรนะถามด้วยความตกใจ

                   “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นถึงแม่มดเชียวนะ” แม่มดพูดพลางยืดอกชมเชยในความสามารถของตนอย่างภูมิใจ ก่อนจะกระแอ้มไอเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ท่านปรารถนาถึงการผจญภัยในโลกอันกว้างใหญ่ ดินแดนที่ท่านไม่รู้จัก ที่ที่เรียกว่า พื้นดิน”

                   “ใช่ ฉันอยากเห็นโลกเบื้องบน ดินแดนสีเขียวข้างบนนั้น”

                   “โลกเบื้องบนมันอันตรายนา เพราะมันไม่เหมือนกับดินแดนแห่งท้องทะเลที่พวกเราอาศัยอยู่ ข้างบนนั้นจะมีสิ่งใดบ้างก็ไม่รู้ บางทีท่านอาจไม่ได้กลับลงมาก็เป็นได้”

                    “เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ถึงได้ต้องไปดูให้รู้ไงล่ะ ต่อให้อันตรายแค่ไหน เรนะผู้นี้ก็ไม่กลัวหรอก” เรนะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แล้วแม่มดผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่าน จะช่วยให้ความปรารถนาของเราเป็นจริงได้หรือไม่”

มองลึกไปในดวงตา แววตาที่มุ่งมั่นของเรนะทำให้อัตสึโกะยิ้มอย่างพอใจ เด็กคนนี้น่าสนใจจริงๆ

                      “หึ ข้าเป็นถึงแม่มดผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตะวันตกเชียวนะ มีรึจะทำไม่ได้น่ะ!”

พูดจบก็ว่ายหายเข้าไปหลังห้อง เพื่อรื้อค้นหาของที่ต้องการ เกิดเสียงดังโครมครามเสียจนเรนะคิดว่าเธอสู้กับตัวอะไรอยู่ข้างหลังนั้นรึเปล่านะ

                       “เจอแล้ว!!”

หายไปราว15นาที อัตสึโกะก็โปล่ออกมาจากหลังกองข้าวของที่ถูกรื้อออกมาเสียกระจุย สภาพของถึงแม้จะดูเหนื่อยหอบแต่ก็ยังเป็นเงือกที่ดูดีอยู่ดี

                        “ฟู่— กว่าจะเจอ ปลิงทะเล ทากเรืองแสง แมงมุมน้ำ…(บลาๆ)”

เนื่องจากของแต่ล่ะอย่างมันออกจะฟังแล้วไม่น่าอภิรมย์เท่าไร จึงขอผ่านการสาธยายวัตถุดิบไปถึงตอนปรุงยาเสร็จเลยล่ะกัน

“แตนแต๊นนนนนน ยาสูตรพิเศษเสร็จแล้วจ้า” แม่มดพูดด้วยน้ำเสียงเริ่งร่ากว่าปกติพลางมองของเหลวสีเขียวหนืดๆในขวดอย่างภูมิใจพลางพูดเอ่ยชมตัวเองที่มีความสามารถปรุงยาวิเศษนี้ขึ้นมาได้

“เอ่อ……” เรนะที่เงียบอยู่นาน(เพราะเผลอหลับและสะดุ้งตื่นเพราะเสียงของอัตสึโกะ) “ไอ้นั้นมันอะไรเหรอคะ”

“ก็สิ่งที่จะทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริงยังไงล่ะ” แม่มดยิ้ม

“มันจะทำให้ท่านมีขาเหมือนมนุษย์เบื้องบน….แต่ยาตัวนี้มีผลข้างเคียง และมีเวลาจำกัดอยู่ หากไม่ระวังมันอาจหมายถึงชีวิตของท่านเลยทีเดียว”

สีหน้านั้นจริงจังจนเรนะต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะบรรยากาศรอบข้างอยู่ๆก็หนักอึ้ง อะไรกันความรู้สึกแบบนี้

“ผล….ข้างเคียง?” เรนะพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก เธอรู้สึกว่าตัวของเธอสั่นอยู่โดฟินที่อยู่ข้างๆไม่ห่างมองเธออย่างกังวล

“ใช่ เมื่อท่านดื่มยานี้เข้าไป ท่านจะสามารถขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่เบื้องบนได้ แต่ทว่า!”

เว้นจังหว่ะให้ได้หายใจ

“มันจะทำให้ท่านพูดไม่ได้ เสียงอันไพเราะของท่านจะถูกช่วงชิงไปเมื่อขึ้นไปบนนั้น จะไม่สามารถเอ่ยคำใดกับผู้คนได้”

“นั้นคือผลข้างเคียงสินะ เรื่องนั้นฉันไม่เป็นไรหรอก แค่เสียงเอง” เรนะพูดอย่างไม่ใส่ใจ แต่ข้างในกลับรู้สึกปั่นป่วนแปลกๆ “แล้ว เรื่องเวลาล่ะ”

“7วัน” อัตสึโกะตอบเสียงเรียบ “หากเกิดกว่านั้นร่างท่านจะกลับสู่สภาพเงือกดังเดิม หากมนุษย์บนนั้นเห็นท่านเข้า ท่านจบเห่แน่ๆ”

“อึก……7วันสินะ เข้าใจแล้ว” แม้จะพูดอย่างนั้น เธอก็โดนความกลัวเข้าจู่โจมเสียแล้ว กลัว แต่ว่า อุตส่าห์มาถึงนี้แล้ว จะถอยหลังกลับได้ยังไง

“แน่ใจแล้วนะ ท่านอาจไม่ได้กลับลงมาก็ได้”

“อืม…ฉันตัดสินใจแล้ว”

“หึ งั้นเหรอ” อัตสึโกะยิ้ม แววตาแบบนั้นทำให้เธอคิดถึงหญิงสาวผู้หนึ่ง หญิงสาวขี้แงแต่มีแววตาที่มุ่งมั่น ชวนให้โหยหาจริงๆ “อ้อ อีกอย่าง”

“คะ?”

“ถ้าท่านกลับเป็นเงือกแล้ว ยังไม่ได้กลับลงทะเล หรือก็คือ หากอยู่ในร่างเงือกบนพื้นดินนานเกินไป ตัวท่านก็จะสลายกลายเป็นฟอง”

“ก็หมายความว่า หากไม่กลับสู่ทะเลตามเวลาที่กำหนด หรือโดนมนุษย์เจอตัวเข้าก็ตายอยู่ดีสินะ”

“ก็ประมาณนั้น”

               เรนะพยักหน้า ก่อนจะคิดไตร่ตรองการตัดสินใจของตนเองอย่างละเอียดอีกทีเพื่อความแน่ใจว่าเธอจะไม่พลาดกลายเป็นฟอง หรือโดนจับไปชำแหละ สิ่งที่แม่มดบอกมาไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นข้อมูลเพื่อการตัดสินใจและวางแผน เป็นรายละเอียดที่ช่วยได้เยอะ หือ? มันมีอะไรแปลกๆ

             “ท่านแม่มด”

              “หืม?”

“ทำไมท่านถึงได้รู้ละเอียดอย่างนั้น ฉันหมายถึง นี้เป็นครั้งแรกที่ท่านปรุงยานี้รึเปล่า”

               อัตสึโกะตกใจกับคำถามที่ออกมาจากปากขององค์หญิงตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ต่างจากที่ผ่านมา มันอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความเศร้า เธอไม่ตอบคำถามแต่ส่งขวดยาให้กับเรนะ เรนะรับขวดยามาถือไว้แนบอก ไม่ว่ายังไงเธอก็จะทำตามสิ่งที่เธอต้องการ แม้จะกลัวอยู่บ้าง แค่เล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆนะ

เธอว่ายออกมาจากถ้ำของแม่มด มุ่งหน้าไปยังดินแดนเบื้องบน แม่มดบอกว่าเธอควรจะดื่มมันตอนอยู่ใกล้ผิวน้ำแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเธอจมน้ำตายเสียก่อนจะโผล่พ้นน้ำ

ว่ายขึ้นมาเรื่อยๆจนเริ่มเห็นประกายแสงจากเบื้องบน คงเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ ไม่เคยนึกเลยว่ามันจะสว่างขนาดนี้ก็ที่ๆเธออยู่มันลึกลงไปเยอะมาจนแสงไม่อาจส่องถึง ต้องพึ่งแสงจากปะการังและสิ่งมีชีวิตรอบตัวเป็นแสงนำทางให้ แต่พอได้มาเห็นแสงของจริงแล้ว มันช่างแวววาวจนไม่อาจมองตรงๆได้เลย ขณะที่กำลังเชยชมความงามของแสงตะวันอยู่นั้น เธอก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำมาบังแสงนั้นไว้

“มีอะไรเหรอโดฟิน” เรนะถามโลมาน้อยตรงหน้า อยู่ๆมันก็มาขว้างเธอไว้ แววตาของมันบอกเธอว่าไม่อยากให้เธอไปไกลกว่านี้ เรนะลูบหัวโลมาน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอโทษนะ ฉันรู้ว่าเจ้ากังวล แต่อภัยให้ความเห็นแก่ตัวของฉันเถอะนะ”

โลมาน้อยส่งเสียงร้องเบาๆ มันไม่ได้โกรธเธอรึอะไรทั้งนั้น มันเพียงแต่เป็นห่วง เพราะหากเธอขึ้นไปบนพื้นดินแล้ว ตัวมันก็ไม่อาจปกป้องอะไรเจ้านายที่รักของมันได้ รู้งี้น่าขอให้แม่มดช่วยปรุงยาสำหรับมันด้วยดีกว่า

“ฉันไม่ทิ้งเจ้าหรอกนา ไม่ต้องห่วงหรอก” เรนะจูบเบาที่หน้าผาก ก่อนจะมองหน้าโดฟินแล้วยิ้ม แม้จะกังวลแต่มันคงต้องเชื้อใจเจ้านายแล้วล่ะ ถึงจะเป็นองหญิงแต่ก็เคยเรียนวิชาป้องกันตัวมาบ้าง ถึงจะไว้สำหรับในน้ำก็เถอะ หวังว่าบนบกก็จะใช้ได้นะ

“ฉันว่าเราอยู่ใกล้ผิวน้ำมากพอแล้วล่ะ” เรนะพูดก่อนจะเงยหน้ามองผิวน้ำที่อยู่เนื้อขึ้นไปราวๆ6-7เมตร เธอหันไปมองโดฟิน ก่อนจะหยิบของจากกระเป๋าสัมภาระที่ห้อยอยู่กับเจ้าโลมา เธอหยิบมีดพกออกมาแล้วนำมาผูกไว้ที่เอว ก่อนจะหยิบขวดยาออกมากำไว้แน่น ชั่งใจอยู่ครู่นึง ถอยหลังไม่ได้แล้ว

เธอเปิดฝาขวดออกแล้วยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว รสชาติของมันยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ น้ำเหนียวๆไหลผ่านคออย่างยากลำบาก เธอพยายามที่จะกลืนมันลงไปให้ได้ ฉับพลัน จู่ๆร่างเธอก็ร้อนวูบวาบ หัวใจของเธอเต้นแรงเสียจนเธอคิดว่ามันจะเด้งออกมาจากอก หางของเธอสะบัดไปมาถึงอย่างนั้น เธอก็เหมือนค่อยๆจมลง โดฟินที่ตกใจกับอากาศของเจ้านายรีบเข้ามาประคองตัวเรนะเอาไว้ พลันหางเงือกสีส้มทองสดใสขององค์หญิง ก็แปลเปลี่ยนเป็นขาเรียวยาวสองข้าง ช่างเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ แต่ตะลึงอยู่ได้ไม่นาน อยู่ๆเธอก็ไม่อาจหายใจได้ เธอสำลักน้ำ นี่สินะที่แม่มดบอกไว้ เธอพยายามว่ายขึ้นไปเบื้องบน แต่เพราะเธอไม่มีหางแล้วเธอก็ได้เพียงแหวกมือปัดน้ำตรงหน้า โดฟินเห็นท่าไม่ดี รีบช่วยองค์หญิงดันตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เหมือนได้ยินเสียงฟองอากาศแตกดัง ป๊อก เบาๆ แล้วทั้งสองก็ขึ้นมาสู่ผิวน้ำจนได้

“แค่ก แค่ก” เรนะสำลักน้ำทะเลที่กลืนลงไปเต็มท้อง ก่อนจะสูดหายใจให้เต็มปอด เฮ้อ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว

เธอเกาะหัวโดฟินไว้ ก่อนจะหันไปมองรอบตัว แย่ล่ะสิ ลืมคิดเรื่องแผ่นดินไปซะสนิทเลย จะทำยังไงล่ะทีนี้

“……????” เธออ้าปากพะงาบพยายามจะเปล่งเสียง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา อา จริงสิ ผลข้างเคียงของยา แบบนี้ก็พูดให้เจ้าโลมาน้อยช่วยไม่ได้สิ คงต้องพึงความฉลาดของมันแล้วล่ะ

อืม โดฟินเป็นโลมาที่ฉลาดจริงๆ แค่มองตาก็รู้ว่าเจ้านายต้องการอะไร มันมองหาเกาะ โอ๊ะ ดูเหมือนจะเจอแล้ว แต่ไกลเหมือนกันนะ กว่าจะไปถึงตะวันคงตกทะเลเสียก่อน ต้องรีบแล้วล่ะ

เจ้าโลมาส่งเสียงร้องเล็กๆของมัน เป็นเชิงบอกให้เจ้านายรู้ว่ามันเจอสิ่งที่หาแล้ว เธอพยักหน้า กำชับมือเกาะเจ้าโลมาไว้แน่น เมื่อแน่ใจว่าเรนะจับไว้มั่นคงแล้ว มันก็เร่งว่ายน้ำ ไปให้ถึงเกาะตรงหน้าให้เร็วที่สุด

                ดวงตะใกล้จะลับฟ้า ส่องรัศมีสีส้มฉาบท้องนภา ช่างเป็นภาพที่งดงามจับใจนัก แต่นี้มันไม่ใช่เวลามาชื่นชมธรรมชาตินะ เธอเกือบจะจมน้ำตาย(ทั้งๆที่เคยเป็นเงือกแท้ๆ) แล้วยังสะเพร่า ลืมนึกถึงเรื่องแผ่นดินที่อมนุษย์อยู่ไป ทำให้ตอนโผล่พ้นน้ำมาก็ลอยเคว้งซะงั้น กว่าจะว่ายมาถึงเกาะก็เล่นเอาเกือบตาย ที่ตายน่ะไม่ใช่ฉันหรอกนะ(ถึงจะเหนื่อยอยู่บ้างก็เถอะ) แต่เป็นเจ้าโลมาน้อยที่ว่ายพาฉันมาถึงนี้โดยไปพักเลยต่างหาก ตอนนี้เธออยู่ในถ้ำที่เชื่อมต่อไปยังทะเลได้ โดฟินพาเธอเข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่า ต่อให้มันบนแรงจนเผลอหลับไปองค์หญิงก็อยู่ในที่ๆปลอดภัยแล้ว เพราะดูๆแล้วถ้ำนี้ก็ไม่เหมือนที่ๆคนจะอาศัยได้

เรนะลูบหัวเจ้าโลมาน้อยเบาๆ เธออยากจะพูดขอบคุณมันแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพื่อแรกกับขาทั้งสองข้างนี้ ขึ้นมานั่งบนบก ก้มมองขาทั้งสองข้างก่อนจะลูบเบาๆ ก็ดีใจอยู่หรอกที่ได้มา แต่ก็รู้สึกผิดที่ทำให้คนรอบข้างต้องมารับเคราะห์

เฟี้ยววว

                  สายลมลอดผ่านเข้ามาภายในถ้ำเกิดเสียงดังสนั่นจนเรนะตกใจ เธอกอดตัวเองด้วยความน้อย ฟ้ามืดแล้วทำให้อากาศเย็นลง ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเธอตอนนี้ไม่ได้มีอาภรณ์ใดปกปิดร่างกายไว้เลย (เงือกจะมีเกรดคอยปกปิดบางส่วนของร่างกาย)

หนาวจัง เรนะเอามือถูแขนตัวเองเพื่อเพิ่มความอุ่น แต่ก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไร เจ้าโลมาน้อยนิ่งไปสงสัยจะหลับไปแล้ว ตัวเธอเองก็ง่วงเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าจะหลับไปได้ ไม่งั้นเธออาจไม่รอดหากหลับตาลง

                  เธอค่อยๆแอนหลังพิงพนังถ้ำ ไม่ไหวแล้ว เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อยๆปิดลง

แซ่ก แซ่ก

นั้น เสียงอะไรน่ะ

กึก

อ๊ะ มีแสงด้วย คนเหรอ แย่ล่ะสิ ต้องหนี แต่ว่าร่างกายมัน

คิดได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่สติเธอจะเลือนไป

03—

จิ๊บ จิ๊บ

หือ? เสียงอะไรน่ะ อา แสบตาจัง

ร่างบางค่อยๆลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ เธออยู่ที่ไหนกัน จำได้ว่าโดฟินพาเธอเข้ามาอยู่ในถ้ำ จากนั้นเธอก็เผลอหลับไป รู้สึกว่าก่อนหน้านั้นจะมีคน……!!!

คิดย้อนความเสร็จด้วยความตกใจ เธอเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วทำให้เสียหลักตกเตียง

ตึง!!!

โอ้ย เจ็บชะมัดเลย

“นี่ เป็นอะไรหรือเปล่า”

หันตามเสียง เธอเห็นมนุษย์คนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้อง ดูจากลักษณ์แล้วคงเป็นผู้หญิงสินะ หน้าตาตื่นมาเชียว คงตกใจกับเสียง(ที่เธอตกเตียง)เมื่อกี้สินะ

ร่างสูงเดินเข้ามาช่วยพยุงเธอลุกขึ้น แต่เพราะเรนะยังไม่ชินกับขา ทำท่าจะล้มจนอีกฝ่ายต้องค่อยๆประคองเธอมานั่งที่เตียง พอมองไปรอบๆนี่คงเป็นห้องนอนสินะ เล็กกว่าห้องของเธออีก(แน่ล่ะ) ในห้องมีเตียงขนาดไม่ใหญ่มาก ชั้นวางหนังสือ โต๊ะเก้าอี้ อ๊ะ ตัวบ้านทำจากไม้ซะด้วย แปลกดีแฮะ

“นี่ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

มัวแต่สนใจห้อง จนลืมคนตรงหน้าไปเลย เธอหันกลับมามองอีกฝ่ายก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงว่า เธอไม่เป็นไร

“ดีแล้วล่ะ ว่าแต่คุณไปทำอะไรในถ้ำนั่นน่ะ แถมไม่ใส่เสื้อผ้าอีก เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมตายหรอก”

            พอเห็นว่าอีกฝ่ายไปเป็นไรก็เริ่มถามเรื่องเมื่อคืนทันที เมื่อคืนเธอเข้าไปในถ้ำใกล้ๆบ้านเธอ ไม่รู้อะไรดลใจให้ไปที่นั้นเหมือนกัน แต่พอไปถึงก็เจอผู้หญิงผิวขาวเนียน ผมดำยาว แล้วยังเปลือยอยู่ที่นั้น ตอนแรกเธอตกใจนึกว่าผีเสียอีก แต่พอมองดีๆแล้วก็ไม่ใช่แฮะ ใกล้ๆตรงนั้นมีทางน้ำที่เชื่อมไปสู่ทะเลจากในถ้ำได้อยู่ เธอเห็นโลมาสีขาวอยู่ใกล้ๆนั้น จ้างมาที่เธอไม่วางตา เธอเดินเข้าไปใกล้ๆผู้หญิงคนนั้นเพื่อดูอาการ เจ้าโลมาก็เหมือนจะไม่พอใจเท่าไร

‘ไม่ต้องห่วง เราไม่ทำอะไรหรอก

เธอดึงเสื้อคลุมของตนมาห่มให้หญิงสาวก่อนจะอุ้มพากลับมาที่บ้าน

            เมื่อคืนมืดไปหน่อยเลยเห็นไม่ชัด แต่หญิงสาวตรงหน้าช่างสวยจริงๆ ผิวขาว ดวงตากลมโตน่าหลงใหล อ๊ะ กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ยเรา เขาส่ายหน้าสะบัดความคิดบ้าๆก่อนจะหันมาถามอีกฝ่ายอีกครั้ง

“แล้ว ตกลงคุณเข้าไปทำอะไรในถ้ำนั้นล่ะ”

อืออ จะว่าไงดีล่ะ ก็อยากจะบอกอยู่หรอกนะ แต่ฉันพูดไม่ได้เนี่ยสิ อ๊ะจะว่าไป เสื้อผ้านี่คนๆนี้ใส่ให้สินะ อุ่นดีจัง

            “…..ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร เราชื่อจูรินะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก” จูรินะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปจึงคิดว่าเขาคงไม่อยากจะเล่าถึงสาเหตุ เลยเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นแนะนำตัวแทน

อ้า—- ถามแต่ล่ะอย่าง ฉันก็อยากจะตอบอยู่หรอกนะ งื้ออออออ

เรนะได้แต่บ่นกับตัวเองในใจก่อนจะชี้นิ้วไปที่ปากตัวเอง แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าตนไม่สามารถพูดได้

“อ๊ะ คุณพูดไม่ได้เหรอ”

เรนะพยักหน้า

“เอ๊ แล้วแบบนี้เราจะรู้ชื่อคุณได้ไงล่ะ” จูรินะขมวดคิ้ว อืม จะทำไงดีนะ เขียนเอาได้รึเปล่านะ

             เรนะมองอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตาคิดวิธีสื่อสารอยู่ จูรินะมีหน้าเรียว ตาคมดูเท่แต่มีประกายแบบเด็กๆ เรียวปากเล็กได้รูป ผมสั้นปะบ่า รูปร่างผอมสูง เป็นผู้หญิงที่ดูเท่จริงๆ

เรนะประคองหน้าจูรินะให้หันมาหาตน ชี้ไปที่ปากของให้อีกฝ่ายมองตามมา ก่อนจะอ้าปากพูดแบบไม่มีเสียง

“หืม???” จูรินะมองตามนิ้วอีกฝ่ายไป ปากเหรอ? หืม……. เอ……… อ้อ ชื่อสินะ อาฮะ

“อืมมมมมมม……เร….”

จูรินะลองพูดคำแรกที่เรนะใบ้ออกมาดู องค์หญิงเมื่อเห็นว่าสำเร็จไปครึ่งนึงก็ยิ้มดีใจจนตาแทบปิด และเริ่มคำต่อไป

                “เออ….มะ?…ไม่ใช่เหรอ อืมมม….นะ?”

                โอ๊ะ ดูเหมือนจะถูกแฮะ จูรินะคิดเมื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ที่ทั้งยิ้มและปรบมือท่าทางสุขมาก 

                “ชื่อเรนะสินะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เรนะจัง”

 

                จูรินะยืนมือออกไปข้างหน้าเพื่อจะจับมืออีกฝ่าย แต่เห็นอีกฝ่ายทำหน้างงๆ จึงต้องจับมือของเรนะขึ้นมาจับเอง เรนะสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่พอจูรินะบอกว่าเป็นการทักทาย ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่เอ๊ะ เหมือนลืมอะไรไป…..โดฟินล่ะ เจ้าโลมาน้อยของเธอล่ะ!!! เรนะเบิกตาโต หันมาหาจูรินะพยายามถามไถ่ถึงเจ้าโลมาขาว แต่มันช่างลำบากเหลือเกิน จูรินะที่เห็นท่าทางร้อนลนของเธอก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ เรนะสูดหายใจเข้าลึกๆ ฟู่…จะสื่อออกไปยังไงดี

                “จะถามเรื่องโลมารึเปล่า?” จูรินะที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็ลองเดาถึงเจ้าโลมาที่อยู่กับเรนะตอนที่เธอไปพบเข้า โป๊ะเชะ! เรนะหันมามองด้วยตาเป็นประกายพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะเขย่าตัวอีกฝ่าย

                “อุ หว่า หว่า!” จูรินะที่ตอนนี้ถูกเขย่าอยู่ส่งเสียงออกมาไม่เป็นคำ ก่อนจะตบมืออีกฝ่ายที่จับตน (เขย่า) อยู่เบาเป็นเชิงว่า มึนจะแย่แล้วหยุดเถอะ

                “อุย……เจ้าโลมานั่นไม่เป็นไรหรอก เมื่อเช้าเราไปดูมาแล้ว ยังรอเธออยู่ที่เดิมแหละ”  

                เรนะได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มอย่างโล่งใจ เจ้าโลมาน้อยคงเป็นห่วงเธอมากสินะ เดี๋ยวคงต้องไปหาซะหน่อย แต่ด้วยความโล่งใจรึอะไรไม่ทราบ ท้องเจ้ากรรมของเธอส่งเสียงร้องให้ได้อายอีกคน

                จูรินะมองคนที่ก้มหน้างุดด้วยความอายก่อนจะหัวเราะเบาๆ

                “ฮะฮะ ยังไงก็ไปกินข้าวก่อนเถอะ เราทำข้าวต้มไว้แล้ว” จูรินะพูดจบก็ลุกขึ้นเดินนำไป แต่ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะลุกขึ้นก็สงสัย

                “เป็นอะไรไป?”

                อา….จะบอกยังไงดี เรนะได้แต่คิด เธอยังไม่เคยเดินมาก่อน แค่ลุกขึ้นก็มีหวังล้มอีกแน่ๆ

                จูรินะได้แต่มองอีกฝ่ายอย่าง งงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาและนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเรนะ เรนะตกใจเล็กๆน้อยกับการกระทำของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้เงยหน้าจ้องมองมาที่เธอ ทำเอาเธออดที่จะหน้าแดงไม่ได้

                “เรนะจัง เจ็บขาเหรอ” ไม่พูดเปล่า จูรินะจับที่ขาของเรนะเบาๆ ไออุ่นจากมือจูรินะทำเอาใจเธอเต้นแปลกๆ เรนะสบัดความคิดประหลาดในหัว ก่อนจะส่ายหน้า เธอไม่ได้เจ็บที่ขาหรอก อ้า อย่ามองแบบนั้นได้ไหมเนี่ย เรนะหลับส่ายตาของจูรินะที่จ้องเธอไม่วางตา ทางฝั่งจูรินะก็มองเพลินไปหน่อย เมื่อรู้สึกตัวก็กระแอมไอเล็กน้อย

                “หรือว่า……..” ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น จนเรนะต้องหันกลับมามองอีกฝ่ายและเอียงคอด้วยความสงสัย จูรินะส่ายหน้าแล้วยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นส่งมือให้อีกฝ่ายจับ เรนะยืนมือไปจับ ถึงจะสงสัยอยู่ว่าทำไปทำไม แต่ก็เข้าใจเมื่อจูรินะพยายามประคองเธอให้ลุกขึ้นยืน เรนะพยายามทรงตัวด้วยขาทั้งสองข้างไม่ให้ล้ม โอ๊ะ ยืนได้แล้ว ถึงจะยังต้องจับตัวอีกฝ่ายไว้ก็เถอะ

                “ค่อยๆก้าวขานะ ไม่ต้องกลัว เราจับไว้อยู่” จูรินะพูด น่าแปลกที่คำพูดของคนแปลกหน้าคนนี้ทำให้เธอสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

                การฝีกเดินระยะสั้นๆ แน่นอนว่าไม่มีทางที่เธอจะเดินได้อย่างคล่องแคล่วทันทีหรอก แต่อย่างน้อยก็พอทรงตัวได้ล่ะนะ แต่กว่าจะลงมาถึงชั้นล่างได้นี้ ทำเอาเหงื่อตกเหมือนกัน เธอเกือบจะตกบันได ดีจะที่จูรินะช่วยประคองไว้ ข้าวต้มของเธอก็อร่อยไม่เลวเลย รูปร่างแปลกตาไม่เหมือนกับอาหารที่เคยกิน นี่สินะโลกเบื้องบน ข้างนอกคงมีสิ่งที่เธอยังไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะเป็นแน่ หลังจัดการอาหารตรงหน้าเสร็จ จูรินะที่กำลังเก็บกวาดก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอบอกกับเรนะว่ารอแป๊บนึง มีของจะให้

                หายไปสักพัก จูรินะก็เดินกลับเข้ามาพร้อมบางอย่างในมือ มันคือมีดพกของเรนะที่เธอพกมาจากปราสาทด้วย มีดพกที่ทำจากซากปะการัง และหิน ประดับด้วยผลึกหลากสี จูรินะนำมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเรนะ

                “นี่คงเป็นของเธอสินะ เป็นมีดที่แปลกดีนะ” จูรินะยิ้มให้คนตรงหน้า

                 เรนะพยักหน้าก่อนจะมองมีดของตน มันมีอะไรแปลกกันนะ เจ้ามีดนี่น่ะ เรนะไม่เข้าใจที่จูรินะพูด จูรินะมองไปที่มีดนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย บางทีเรนะจังอาจะเป็น…….

นั่งคุยเรื่อยเปื่อยสักพัก จูรินะก็บอกกับเธอว่าจะพาไปหาเจ้าโลมาขาว ระหว่างที่กำลังเตรียมตัวก็มีเสียงเรียกจากทางหน้าบ้าน

“ก๊อก ก๊อก มีใครอยู่ไหมเอ่ย”

เสียงของผู้มาเยือนทำเอาจูรินะกุมขมับ เดาได้ไม่ยากเลยว่าใคร เธอถอดหายใจเบาๆก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาใหม่เข้ามา

เรนะมองไปยังเด็กสาวตัวเล็กที่เพิ่งเข้ามา เธอคนนั้นมีหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตฉายแววสดใส เรียวปากสีชมพูเหยียดยิ้มน่ารัก ผมดำยาวถูกมัดรวบไว้ข้างหลังแบบลวกๆ ชุดประโปรงสีชมพูอ่อนๆช่างดูเข้ากับเธอนัก ราวกับตุ๊กตาเลยก็ว่าได้

 

“สวัสดีค่ะ ฉัน มายุ ยินดีที่ได้รู้จัก” มายุแนะนำตัวกับเรนะก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อย

             เรนะเลิกลักกับการกระทำของอีกฝ่ายก่อนจะก้มศีรษะลงแบบที่มายุทำ มายุมองเรนะแบบงงๆ ในขณะที่จูรินะกลั้นขำก่อนจะแนะนำเรนะให้มายุรู้จัก

เมื่อเช้าก่อนจะไปดูเจ้าโลมา จูรินะได้แวะไปหามายุเพื่อขอยืมเสื้อผ้ามาให้เรนะ ก็ชุดของเธอมันไม่เหมาะกับเรนะสักนิด เสื้อตัวหลวมแบบผู้ชาย ที่เธอเป็นคนสวมให้เรนะทำให้เธอซึ้งเลยว่าควรจะหาแบบที่ผู้หญิงเขาใส่กันมาให้ดีกว่า ก็เลยนึกถึงคนที่มีเสื้อผ้าสวยๆเยอะแยะที่ใส่มาไม่ซ้ำแต่ละวันอย่างมายุ ตัวมายุเองก็ดีใจที่จะมีคนอื่นมาใส่เสื้อของเธอ ก็แหม เธอเย็บเองเลยนะ ใส่เองคนเดียวมันก็น่าเบื่อ เคยขอให้จูรินะใส่ ก็ดันไม่ยอมอีก ทั้งๆที่คิดว่าต้องเข้ากันแท้ๆ

 

 

“เรนะจัง เขาพูดไม่ได้น่ะ” จูรินะอธิบาย มายุพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ถึงว่าตั้งแต่เข้ามายังไม่เห็นอีกคนส่งเสียงเลยสักแอะ

              มายุเข้าไปพูดคุยกับเรนะเล็กน้อย(ถึงเรนะจะทำแค่พยักหน้ารับก็เถอะ) ก่อนจะจูงมือพาเรนะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตนนำมา จูรินะได้แต่มองตามเรนะที่ทำหน้าตื่นๆอย่างเห็นใจ มายุจะรีบไปไหนนะ เกือบพากันล้มแล้วไหมล่ะ

จูรินะนั่งรอคนทั้งสองอยู่ในห้องนั่งเล่นพักใหญ่กว่าทั้งคู่จะออกมา

               “แตนแต๊น!” เสียงมาไวกว่าตัว มายุร้องอย่างเริงร่าก่อนจะโผล่มายืนให้เห็นตัว สาวตัวเล็กยิ้มร่า ไม่ต้องเดาก็รู้ ผลงานของเธอของออกมาพอใจมากแน่ๆ มายุดึงตัวเรนะที่หลบอยู่อีกฝากของพนังให้ออกมาโชว์ตัวสักหน่อย เรนะเซออกมาตามแรงฉุดของมายุ เธอเสียหลักเล็กน้อยแต่ก็โชคดีที่ไม่ล้มลงไปกองกับพื้น

                เรนะอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว คอเสื้อกว้างเผยให้เห็นลำคอขาวเนียน แขนเสื้อยาวสามส่วน กระโปรงยาวจนถึงเข่า ช่างดูเข้ากับคนสวมจริงๆ จูรินะเผลอจ้องอย่างชื่นชม เรนะก้มหน้าเขินอายกับสายตาของอีกฝ่าย มายุเห็นท่าทางของทั้งสองก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะเอ่ยถามจูรินะถึงผลงานชิ้นเอกนี่

“อืม ไม่เลวนะ”

             “แค่นั้นเองเหรอ แต่ออกมาดูดีขนาดนี้ มันต้องพูดอะไรมากกว่านี่สิ” ดูเหมือนมายุจะไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของจูรินะ หรือบางที เธอคงสนุกกับปฏิกิริยาของทั้งสองฝ่าย ที่จะหลบตา หน้าแดงนี่ล่ะมั่ง

“ค่ะ ค่ะ สวยมากค่ะ” จูรินะพูดทั้งๆที่หันไปทางอื่น มายุเห็นแล้วก็ฉุนเล็กๆกับท่าทางกวนๆนั้น แต่ก็ไม่วายแหย่อีกฝ่ายเล่นต่อ

“ชุด หรือคนใส่ล่ะ”

             นั้น ถึงกับสะอึกเลยทีเดียว จูรินะหันควับมาทางคนเจ้าเหล่ที่ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเหลือบไปมองเรนะ ที่หน้าแดงยิ่งกว่าแอปเปิลเสียอีก เห็นแล้วเธอเองก็อยากจะหยอกเล่นให้มันแดงกว่านี่อีก

                “นั้นสินะ……เพราะคนใส่ดูดีชุดมันก็เหมือนจะดูดีตามคนใส่นะ”

เรนะได้ยินอย่างนั้น เหมือนมีไอร้อนอยู่รอบหน้าร้อนจนจะละลายอยู่แล้ว จูรินะยิ้มอย่างพอใจกับภาพ(น่ารักๆ)ตรงหน้า มายุเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้ม จูรินะนี่ก็ไม่เลวนะ

                หลังจากที่มายุขอตัวกลับบ้านไปทำธุระของตัวเองต่อ เรนะนั่งหมดสภาพอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น โบกมือพัดหน้าตัวเองให้ความร้อนหายไปซะที  ก็สองคนนั้นเล่นหยอกเธอให้ต้องเขินอายจนอยากจะหายไปเลยนี่นะ โดยเฉพาะ จูรินะ ไม่รู้ทำไปคำพูดของคนๆนั้นถึงทำให้เธอใจเต้นแรงขนาดนี้ได้นะ หรือมันจะเป็นผลข้างเคียงของยาที่แม่มดให้มา แต่แม่มดก็ไม่ได้บอกอะไรนี่นา

                “โทษทีนะ ที่แซวเล่นซะขนาดนั้นน่ะ” จูรินะส่งน้ำให้เรนะดื่ม เรนะรับแก้วน้ำมาก่อนจะส่ายหน้า

                หลังจากให้เรนะพักแล้ว ทั้งคู่ก็เดินทางมายังถ้ำที่จูรินะเจอเรนะ ถ้ำนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของจูรินะนัก แต่หากเดินไปก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร ทั้งคู่เลยขี่ม้ามา(แน่นอนว่าเรนะขี่ม้าไม่เป็น และจูรินะก็มีม้าแค่ตัวเดียวด้วย เลยขี่มาตัวเดียวเนี่ยล่ะ ยังไงก็คิดภาพเอาล่ะกัน)

                เรนะเดินเข้าไปในถ้ำ จุดที่ถ้าเธอจำไม่ผิดคือตรงที่เธอหมดสติอยู่เมื่อคืน เมื่อเดินเข้าไปถึงก็เจอโดฟิน เจ้าโลมาน้อยยังคงอยู่ที่เดิม ที่เดียวกับเมื่อคืน และเมื่อเช้าที่จูรินะมาดู มันไม่ยอมไปไหนเลย มันยังคงรอเจ้านายของมันอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเรนะ มันกระโดดพ่นน้ำอย่างดีใจ เรนะนั่งลงลูบหัวเจ้าโลมาน้อยเป็นการเชยชม ที่มันยังคงซื่อสัตย์และรอเธอ แต่บางทีถ้าเธอไม่เอาแต่ใจ มันคงไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้

                “หืม ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเลยนะ เจ้านี่”

                โดฟินมัวแต่สนใจเจ้านายของมันเลยไม่ได้เห็นอีกคนที่มาด้วย ถึงจะเป็นผู้มีพระคุณ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงหงุดหงิดจริงๆเมื่อเจอคนๆนี้ เจ้าโลมาระบายความหมั่นไส้ด้วยการพ้นน้ำใส่อีกฝ่าย เรนะมองการกระทำของโลมาน้อยด้วยความตกใจ จูรินะยืนตัวเปียก รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเส้นเลือดตรงขมับถูกขึง

                เรนะหันไปมองโดฟินอย่างเอาเรื่อง แต่เจ้าโลมาตัวดีกลับทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องซะงั้น

 

                “เดี๋ยวก็จับไปย่างกินซะหรอก”

                คำพูดของคนข้างหลังทำเอาเรนะสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันมามองจูรินะด้วยน้ำตาที่คลอเต็มเบ้า กางมือออกกันเจ้าโลมาไว้ จูรินะเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนความโกรธเจ้าโลมานั้นหายไปหมดสิ้น เขายิ้มก่อนจะโบกไม้โบกมือบอกอีกฝ่ายว่าล้อเล่น เรนะได้ยินอย่างนั้นก็พ่นลมออกมาอย่างโล่งอก

 

                 อีกหกวันที่เหลือบนพื้นดิน หวังว่าจะมีแต่เรื่องสนุกๆนะ

04 –

                ณ ใต้ท้องทะเล เงือกสาวตัวน้อยว่ายวนไปวนมาอยู่ในห้อง โดยมีโลมาสีขาวตัวใหญ่คอยมองตามทุกฝีก้าว ตั้งแต่องค์หญิงออกจากปราสาทไปก็ผ่านมาวันหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เจอแม่มดแล้วโดฟินก็ไม่ส่งข่าวมาทางนี้เลย จะเกินอะไรขึ้นรึเปล่านะ หรือว่าจะโดนจับตัวไป อ้า!! คาน่อนเอามือกุมศีรษะ สะบัดความคิดไม่ดีออกไปจากหัว ต้องไม่เป็นไร องค์หญิงต้องไม่เป็นไร องค์หญิงของเธอเก่งจะตาย ต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้ใจเย็นลง ก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงดันเบาๆที่หลัง

                “หือ? อ๊ะ มีอะไรเหรอซาฟีน่า” คาน่อนหันไปถามโลมาสีขาวตัวใหญ่ที่มาสะกิดเธอ

                “โดฟินส่งข่าวมาแล้วค่ะ” ซาฟีน่าตอบ ซาฟีน่าเป็นโลมาสีขาวที่ฉลาดมาก ฉลาดกว่าเจ้าโลมาน้อยที่อยู่กับองค์หญิงด้วยซ้ำ ก็เธอน่ะเป็นแม่ของโดฟินนี่นา นอกจากนี้เธอยังสามารถพูดได้อีก ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้รับหน้าที่รับส่งข่าวจากโดฟิน แล้วคอยแจ้งให้คาน่อนรู้

                “เขาว่า เจ้าหญิงตอนนี้อยู่ที่ดินแดนเบื้องบนอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ค่ะ”

                “ฟู่ ค่อยยังชั่วหน่อย” ถึงปากจะพูดอย่างนั้น แต่ใจเธอก็ยังไม่อาจคลายความกังวลได้ จริงอยู่ที่ถึงอย่างปลอดภัย แต่จะอยู่ยังไงบนนั้นล่ะ

                “รู้สึกว่าจะถูกมนุษย์ผู้หนึ่งช่วยไว้น่ะค่ะ”

                “ห๊ะ!! มนุษย์เหรอ!!!” ได้ยินแบบนั้น ทำเอาคาน่อนจะเป็นลม มนุษย์เป็นยังไงก็ไม่รู้ เชื่อใจได้รึเปล่า จะถูกจับไปทำอะไรรึเปล่า อา หัวจะระเบิด

                “เขาว่า มนุษย์ที่ช่วยองค์หญิง ไว้ใจได้ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ (ถึงจะน่าหมั่นไส้ก็เถอะ)” ซาฟีน่าพูดต่อ โดยละประโยคหลังเอาไว้ คาน่อนถอนหายใจอย่างปลงๆ หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ

                ……………………

                ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ บนพื้นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ พื้นดิน ก้อนหิน ต้นไม้ ใบหญ้า สถานที่ ที่องค์หญิงแห่งท้องทะเลใฝ่ฝัน ตอนนี้เธอได้ขึ้นมาสัมผัสด้วยตัวเธอแล้ว  แต่ถึงยังงั้น ก็ยังไม่หายตื่นเต้นเสียที ที่นี้คงมีสิ่งต่างๆมากมายที่เธอยังไม่เคยเห็นแน่ๆ น่าสนุกจริงๆ

                เรนะกับจูรินะกลับมาบ้านหลังจากไปดูโดฟินแล้ว ท่าทางเรนะจะสนใจม้าเป็นพิเศษ เธอเอาแต่จดๆจ้องๆเจ้าม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มไม่วางตา สิ่งมีชีวิตที่เธอไม่เคยเห็น เจ้านี้เป็นยานพาหนะบนบกงั้นเหรอ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่แท้ ถ้าให้วิ่งคงจะเร็วน่าดู

                “ชอบม้าเหรอ” จูรินะที่นั่งมองอีกฝ่ายเพลินๆถามขึ้น

                ม้างั้นเหรอ เจ้านี้น่ะนะ……..ต่างกับม้าในทะเลเลยแฮะ ทั้งๆที่เป็นม้าเหมือนกันแท้ๆนะ

                จูรินะที่เห็นเรนะมองเจ้าม้าตัวใหญ่อย่าง งง ก็ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู เรนะเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่กำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ทั้งการเดิน ทั้งสิ่งของ สัตว์ เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้พบเจอหรือสัมผัส

                จูรินะเดินเข้าไปหาเรนะ เขาลูบหัวเจ้าม้าสีน้ำตาลเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเรนะ

                “เจ้านี้ชื่อ อดัม”

                อดัมเหรอ มาจากตำนานนั้นรึเปล่านะ อ๊ะ แต่ที่นี้จะมีตำนานแบบนั้นเหมือนกันรึเปล่า

                “จริงๆมีอีกตัวชื่ออีฟ แต่อยู่กับมายุ คนที่เจอเมื่อเช้าน่ะ”

                จูรินะบอกพลางหันไปมองเรนะ ที่ตอนนี้ยังไม่ละสายตาจากเจ้าม้าตัวใหญ่ ทำไมถึงตั้งชื่ออดัมกับอีฟกันนะ

                “คนที่ตั้งชื่อให้มันบอกว่า เป็นชื่อของบรรพบุรุษของมนุษย์ตามตำนานน่ะ รู้สึกจะเป็นตำนานจากท้องทะเล”

                เรนะที่ได้ยินอย่างนั้น หันมามองจูรินะด้วยความแปลกใจ ถ้างั้นชื่อนี้ก็มาจากตำนานที่เธอเคยได้ยินมาจริงๆ แล้วทำไมเขาถึง หรือว่าเคยมีเงือกขึ้นมาข้างบนนี้เหมือนกัน เรนะรู้สึกร้อนแปลกๆ จูรินะจะรู้

                “เป็นอะไรรึเปล่า เหงื่อท่วมเชียว”  จูรินะใช้หลังมือเช็ดหน้าผากให้อีกฝ่าย ทำเอาเรนะร้อนยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะความกังวลแต่เป็นเพราะอย่างอื่น ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้สาเหตุของมันเหมือนกัน ทำเอาลืมความคิดเมื่อครู่ไปเลย

                จูรินะคิดว่าเรนะคงจะเป็นลมแดด จึงพาเข้ามานั่งหลบแดดใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ก่อนที่ตนจะเข้าไปบ้านเพื่อเอาน้ำมาให้อีกคน สายลมอ่อนๆพัดใบหญ้าให้พลิ้วไหว บรรยากาศสงบเงียบทำให้เธอรู้สึกง่วงนอน  จูรินะเดินกลับมาเห็นเรนะนอนหลับตาพริ้มก็ไม่อยากปลุก เธอปล่อยให้อีกฝ่ายหลับต่อไป และนั่งจ้องใบหน้าตอนหลับนั้น

                สวยจังเลย ผิวขาวเนียน หน้าเรียวได้รูป ผมดำเงาเป็นประกายเมื่อต้องแสง ปากสีชมพู น่า………

                “จูริน้า—”

                เฮือก !!!

                จูรินะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ(?) สะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ๆก็มีคนเรียก เขาสะบัดความคิดแปลกชวนให้เขินนั้นออกไป ก่อนจะหันไปมองผู้มาใหม่

                “…..มายุเองเหรอ” จูรินะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นเพื่อนของเธอ ขัดจังหวะจริง

                แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเขาถึงกับต้องผงะไปข้างหลังเมื่อเพื่อนสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนหน้าของทั้งสองห่างกันไปกี่เซนฯ

                “เหวอ!!”

                “อะไรจะตกใจขนาดนั้น มันเสียมารยาทนะ” มายุพูดด้วยน้ำเสียงแกมงอน ก่อนจะทำแก้มป่องแบบเด็กๆ จูรินะเห็นก็อดขำไม่ได้ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มแก้มอีกฝ่ายพรางขอโทษ

                “อะแฮ่ม!”

                จูรินะเพิ่งสังเกตเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมายุ หญิงสาวอีกคนนั้นตัวเล็กกว่ามายุเล็กน้อย แต่ดูแล้วมีความเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก มายุหันไปมองก่อนจะปิดปากตกใจ แล้วขอโทษที่ลืมอีกคนไปซะสนิทเลย ทำเอาคนตัวเล็กงอนไปอีกคน แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ เธอจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

                “สวัสดีค่ะ คุณทาคามินะ” จูรินะกล่าวทั้งทายอีกคนหลังจากสาวตัวเล็กทั้งสองคุยกันจบ

                “สวัสดีจูรินะจัง”

                เสียงพูดคุยเบาๆดังก้องในความฝัน เรนะลืมตาขึ้นมา อา เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย เธอมองไปรอบๆก็เห็นจูรินะ มายุ และคนอีกคนที่เธอไม่รู้จัก กำลังพูดคุยกันอยู่ ไม่ว่าจะเรื่อง สวน ไร่ เรื่องในเมือง หรือในปราสาท อ๊ะ ที่นี้ก็มีปราสาทด้วยเหรอ อยากเห็นจัง

                ขณะที่พูดคุย ทาคามินะสังเกตเห็นว่าเรนะตื่นแล้ว จึงทักทายและแนะนำตัวเอง เรนะผงกหัวรับ รู้สึกประหม่าที่ทาคามินะเอาแต่จ้องมาที่เธอ

                “หน้าตาไม่เหมือนจูรินะจังเลยน้า ญาติกันแท้ๆ”

                หือ? ญาติ?

                ”ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”  มายุพูดต่อ

                อะไรเนี่ย กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ญาติเหรอ หมายถึงบุคคลในครอบครัวน่ะเหรอ กับใครล่ะ

                “ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหนิ แค่ญาติห่างๆ” จูรินะพูดด้วยท่าทีสบายๆ

                เรนะยิ่ง งง เข้าไปใหญ่ เธอกระตุกแขนเสื้อจูรินะเบาๆ เพื่อจะถาม ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ?  จูรินะเหลือบมองหญิงสาวก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อย ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้น รู้แค่ว่าตอนนี้หัวใจของเธอมันเริ่มเต้นแปลกๆอีกแล้วสิ

                “เรนะจัง ผิวขาวจังน้า” มายุจับแขนของเรนะขึ้นมาดู ทั้งลูบทั้งดม(?) ทำเอาเรนะเขินบวกรู้สึกแปลกๆ

                “นั้นสินะ” ทาคามินะพูดขึ้น “ผิวขาวเนียน อืมม เหมือนเงือกเลย”

                เหมือนบรรยากาศสบายๆเมื่อกี้เปลี่ยนกลายเป็นหนักอึ้งสำหรับเรนะ คำพูดของทาคามินะทำเอาเรนะรู้สึกปั่นป่วนในท้อง ความแตกเหรอ เธอเพิ่งขึ้นมาได้แค่วันเดียวเองนะ เธอเหลือบมองจูรินะที่ตอนนี้ถึงแม้ใบหน้าจะยิ้มเหมือนปกติ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนดวงตาของเขานั้นสั่นไหว

                “เธอเดินทางมาจากทางเหนือนะ คนทางเหนือผิวก็ขาวแบบนี้แหละ” จูรินะอธิบาย(แถ)

                “ว่าแต่ คุณทาคามินะพูดเหมือนเคยเห็นอย่างนั้นแหละ เงือกน่ะ” มายุพูดขึ้น

                “เคยสิ” น้ำเสียงอันมั่นใจของทาคามินะ ทำเอาคนทั้งสามนิ่งเงียบ “ฉันเคยเล่าให้พวกเธอฟังแล้วนิ” สาวตัวเล็กชี้ไปที่มายุและจูรินะ จริงอยู่ที่ทั้งสองเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆจากทาคามินะเมื่อพวกเธอยังเด็ก แต่ละเรื่องล้วนแต่มาจากท้องทะเล ใช่ว่าพวกเธอไม่เชื่อ แต่คนมันไม่เคยเห็นตัวเป็นๆนี่นะ

                “แล้วเงือกจะขึ้นมาเดินบนบกได้ไงล่ะ รู้สึกว่าพวกเขาจะไม่มีขานี่”

                “เวทมนต์ของชาวทะเลนั้นลึกลับนัก” ทาคามินะพูดพร้อมทำท่าเหมือนแม่มดกำลังร่ายมนต์ประกอบ ทำเอาทุกคนยิ้ม ยกเว้นแต่เรนะ ที่ตอนนี้กังวลเข้าไปใหญ่ เคยมีเงือกตนอื่นขึ้นมาข้างบนนี้ก่อนเธอ โดยเวทมนต์ของแม่มดอย่างนั้นเหรอ เรนะเผลอเกาะแขนจูรินะแน่นโดยไม่รู้ตัว จูรินะหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะลูบหัวเบาๆ มายุเห็นก็แอบเซวเล็กๆ

                “หวานจริงนะ ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าเป็นแค่ญาติกัน แต่เรืองเงือกนี่ ก็คงจะลึกลับจริงๆล่ะนะ ขนาดทางการจับตัวไม่ได้น่ะ”

                ทางการ?

                “พวกขุนนางพวกนั้นก็ประสาท ที่ไปเชื่อตำนานที่ไม่มีทางเป็นไปได้นั้น” ทาคามินะกอดอกพูดอย่างหงุดหงิด

                อีกครั้งที่บทสนทนาของทั้งสามทำให้เรนะสงสัย

                “อ๊ะ เรนะจังมาจากทางเหนือคงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้สินะ” มายุที่เห็นเรนะ(ที่ยังคงเกาะจูรินะอยู่)ทำหน้าสงสัยก็อธิบายให้อีกคนฟัง

                “ที่นี้เขามีความเชื่อเกี่ยวกับเงือกอยู่น่ะ สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์แต่อาศัยอยู่ในทะเล ถึงจะไม่เคยมีใครเห็นตัวจริงก็ถอะ”

                “ฉันเคยนะ” ทาคามินะยกมือแย้ง ทำเอามายุตอบรับได้แค่เพียง ค่ะค่ะ ก่อนจะเล่าต่อ

                “เขาว่า หากออกทะเลไปแล้วเรือเกิดอำปาง ชาวเงือกก็จะช่วยพาเรามาส่งที่ชายฝั่งให้ เป็นเหมือนผู้ที่คอยปกป้องเราในท้องทะเลล่ะนะ แต่อยู่ๆก็มีคนกุข่าวลือแปลกๆขึ้น” จู่ๆมายุก็เงียบไป เหมือนทิ้งช่วงให้หายใจก่อนทำท่าจะพูดต่อแต่กลับโดนจูรินะแย่งบทไป

                “มีชาวต่างแดนเดินทางมาแล้วบอกว่า ‘หากได้กินเนื้อของเงือกแล้วจะเป็นอมตะ’”

                มายุหันไปมองจูรินะตาขว้าง บังอาจมาแย่งเธอพูดได้นะ

                “ก็นะ แล้วพวกขุนนางที่รักตัวกลัวตายก็เชื่อที่คนแปลกหน้าคนนั้นพูด เที่ยวหาตัวเงือกไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยพบ”

                “เชื่อเข้าไปได้นะหืม??”

                หากกินเนื้อเงือกแล้วจะเป็นอมตะงั้นเหรอ?

                หมายความว่า หากเราถูกจับได้ก็จะตายงั้นเหรอ?

                 ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าหากกินพวกเราแล้วจะไม่มีวันตายล่ะ

                จูรินะหันไปมองเรนะเพราะรู้สึกว่าเธอบีบแขนตนแรงมากจนเริ่มจะเจ็บ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของอีกคน ทำเอาจูรินะทำอะไรไม่ถูกก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมืออีกข้างมาลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

                “เรนะจัง….ไม่เป็นไรนะ”

                เรนะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ลูบหัวตนอยู่ ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมือนั้นมาทำเอาภาพตรงหน้าพล่ามัวไปหมด น้ำใสๆไหลอาบแก้มทำเอาคนตัวสูงตกใจทำอะไรไม่ถูก อีกสองคนเห็นก็เลิกลักเปลี่ยนเรื่องทันที

                พอเห็นเรนะยิ้มทุกคนก็พากันโล่งอก แต่ถึงแม้ทุกคนจะพยายามเปลี่ยนเรื่องกันแล้ว แต่ในหัวของเงือกสาวในคราบมนุษย์นั้นยังคงคิดวนไปมาอยู่เรื่องเดิม

05—

                ยามดวงตะวันลับทะเลไปช่างมืดมิดนัก ไม่เหมือนดินแดนบ้านเกิด ที่ถึงแม้จะเป็นตอนค่ำก็ยังมีแสงสว่างของปะการังและสิงมีชีวิตเล็กๆแข่งกันอวดแสง แต่โลกข้างบนนั้นช่างมืด มืดสนิทเกินไป เรนะนอนมองเพดาน จริงๆเธอไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกว่าเธอลืมตาอยู่รึเปล่าเพราะเธอมองไม่เห็นอะไรเลย เวลาผ่านไปนานตั้งแต่เธอกับจูรินะเถียงกันว่าใครควรจะนอนบนเตียง(ถึงเธอจะได้แต่โบกไม้โบกมือส่ายหน้าไปมากเถอะ)

                จูรินะยืนกรานว่าควรให้แขกนอนบนเตียงแต่เรนะเห็นว่าเจ้าของห้องต่างหากที่ควรจะ สุดท้ายต่างฝ่ายต่างหมดแรงจะโต้ จูรินะก็เห็นว่ามืดมากแล้วจึงเสนอว่าให้นอนเตียงทั้งคู่ไปเลย ถึงแม้เตียงของเธอจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็พอที่จะนอนด้วยกันสองคนได้อยู่ เรนะหมดแรงจะคิด พยักหน้าหงึกๆ แล้วทั้งสองก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง

                ดูเหมือนจูรินะจะหลับไปนานแล้ว ตอนแรกเรนะก็ง่วงมากแต่พอเอาเข้าจริงๆกลับทำได้แค่พลิกตัวไปมาเท่านั้น  เฮ่อ นอนไม่หลับ สิ่งมีชีวิตเล็กๆด้านนอกยังคงบรรเลงบทเพลงยามค่ำคืน แรกๆก็นอนฟังเพลินดีอยู่หรอก แต่ไปๆมาๆชักรำคาญแล้วสิ……..ที่ปราสาทจะเป็นยังไงบ้างนะ คาน่อนคงเป็นห่วงเธอมากแน่ๆ จะนอนหลับดีรึเปล่านะ อา ชักคิดถึงบ้านแล้วสิ อ๊ะ! ไม่ได้ๆ เราเพิ่งขึ้นมาได้วันเดียวเอง ยังไม่ได้สำรวจเลย……แต่ว่าถ้าถูกจับได้ล่ะก็

เรนะเผลอคิดถึงเรื่องน่ากลัวที่ได้ฝังเมื่อตอนกลางวันจนได้ ทั้งๆที่พยายามจะลืมแล้วแท้ๆ ที่นี้เลยข่มตาหลับไม่ลงหนักกว่าเดิมเลย

ถ้าเราโดนจับได้…….เราก็จะตายงั้นเหรอ

                สายน้ำอุ่นๆเริ่มไหลอาบแก้มองค์หญิงน้อย เธอพยายามเช็ดมันออกไป แต่เจ้าน้ำตากลับไม่หยุดเสียที่ กลัว กลัวเหลือเกิน

                จูรินะลืมตาขึ้นมา เหมือนได้ยินเสียงแปลกๆ เขาค่อยๆหันไปหาเรนะ แม้จะมืดมากแต่ก็แน่ใจว่าอีกคนกำลังร้องไห้ ทำไมล่ะ? จูรินะกระเถิบเข้าไปใกล้เรนะแล้วกำชับกอดอีกฝ่าย เรนะสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันไปมองจูรินะ อ่า เธอคงทำให้เขาตื่นสินะ

                “เป็นอะไรไป หืม?” จูรินะลูบหัวอีกคนเบาๆเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะบรรจงจูบลงที่แก้มใสๆที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้น เรนะหลับตาพริ้มรับสัมผัสอันอ่อนโยนของอีกฝ่าย

ทำไมนะ ทุกครั้งที่จูรินะสัมผัส มันทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายเสมอ อยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆ

“ฝันร้ายเหรอ?”

     เรนะส่ายหน้าเป็นคำตอบให้จูรินะ อย่าว่าแต่ฝันเลย ยังไม่ได้หลับเลยสักงีบ

                  จูรินะมองคนที่นอนตัวสั่นในอ้อมกอด เธอกำชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะคลายออก ร่างสูงลุกขึ้นนั่งก่อนจจะเอื้มมือไปจับผ้าม่านที่อยู่ทางฝั่งของเรนะ ร่างบางมองคนตัวสูงอย่างงงๆก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งตาม จูรินะเปิดผ้าม่านออก แสงสว่างจากข้างนอกลอดเข้ามาทำให้ห้องสว่างขึ้นทันตา ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังมืดสนิทอยู่เลยแท้ๆ ไม่นึกเลยว่าข้างนอกจะสว่างขนาดนี้

                  จูรินะเรียกให้เรนะไปที่หน้าต่าง เข้าปิดหน้าต่างออกก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เรนะมองตามอีกคน ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ประกายแสงนับไม่ถ้วนแข่งกันส่องแสงเจิดจรัสบนท้องนภายามค่ำคืน เหมือนกับเล่าปะการังใต้ท้องทะเล แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง

“รู้รึเปล่าว่าไอ้ที่ส่องแสงอยู่ข้างบนนั้นคืออะไร?”

จูรินะถามอีกคนที่ตอนนี้แววตาเป็นประกายไม่แพ้ท้องฟ้าตอนนี้เลย เมื่อเห็นร่างบางส่ายหน้าจูรินะจึงเฉลย

“เขาเรียกว่า ดาว นะ”

ดาวงั้นเหรอ เหมือนเคยอ่านเจอในหนังสือ ไม่นึกเลยว่าจะมีอยู่มากมายขนาดนี้ เป็นภาพที่งดงามจริงๆ

                เรนะยังคงมองหมู่ดาวที่ยังแข่งกันอวดแสงบนท้องนภา โดยไม่ได้สังเกตเลยว่า อีกคนนั้นยังคงมองเธออยู่ ไม่สนความงดงามบนฟากฟ้า เธอเห็นมันจนเบื่อแล้ว ต่างกับหญิงสาวตรงหน้า ที่ช่างสดใสเป็นเป็นประกาย มากกว่าหมู่ดาวมากมายนั้นเสียงอีก ทำให้ร่างสูงไม่อาจละสายตากได้เลย

 

                อยากจะจ้องมองเธอแบบนี้ต่อไปนานๆ

 

//

ในที่สุดก็ได้ลงต่อ 

ฮาาา

เหมือนเดิม จะมาลงต่อสัปดาห์ละครั้งนะ

เจอกันอีกทีคิดว่าคงเสาร์หน้า

ขอให้สนุก ^^\\

ตอนนี้ช่างโรแมนติด

ภายใต้หมู่ดาวกับเราสอง

เรามาตามต่อ
ยังกับสามีภรรยามือใหม่กันเลยทีเดียว ///v///

สนุกมากยอากอ่านต่อๆ

นี่มันสามีภรรยา~

อยากอ่านต่อเร็วๆจัง(ฮา)

ติดตามต่อไปค่ะ!!!>w<)9

ตามมาจากบอร์ดเก่าา ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยเรื่องนี้!

รอตอนต่อไปค่าาา (^∀^)

แอบมาเม้นนิดๆ
จูแกต้องตกหลุมรักฮิเมะแล้วแน่ๆเชื่อชั้นซิ
สนุกมากเลยค่ะ ด้วยความที่ชอบลิตเติ้ลเมอร์เมทเป็นทุนเดิม ขอบอกว่าแอบฟิน 55555
ติดตามต่อค่ะ ^^

06—

                รุ่งเช้า ตะวันโผล่พ้นขอบทะเลขึ้นมาสาดแสงกล่าวทักทายเหล่าสรรพสัตว์และพืชไม้ เช้านี้จูรินะพาเรนะมาที่สวนผลไม้ แม้สวนจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็เต็มไปด้วยผลไม้นาๆชนิด ถัดไปมีไร่ผักและสมุนไพร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับองค์หญิง เธอมองตามที่จูรินะชี้ชวนให้ดูอย่างกระตือรือร้น จูรินะเห็นก็อดยิ้มให้ท่าทางเหมือนเด็กๆนั้นไม่ได้

                “เอ้า นี่” จูรินะยื้นผลไม้ลูกกลมสีแดงสดให้เรนะ ก่อนจะเด็ดส่วนของตัวเองมาอีกลูก เรนนะมองร่างสูงที่ตอนนี้กำลังกินผลไม้นั้นอยู่ เธอเลยลองกินดูบ้าง น้ำของมันไหลเหยิ้มเมื่อกัดลงไป ความหอมหวานของมันอบอวลอยู่ในปาก อร่อยจัง

                “หวานดีใช่ม้า  มะเขือเทศนี่น่ะ”

                เรนะมองผลไม้ในมือ เจ้านี่เรียกว่า มะเขือเทศ สินะ สีแดงสวยดีจัง  เรนะอมยิ้มพยักหน้าให้จูรินะก่อนจะกัดอีกคำ แต่ก็ไม่ใช่เพราะตระกะหรืออะไรหรอกนะ เจ้าน้ำมะเขือเทศดันเปื้อนแก้มใสๆของเธอ ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวแฮะ จูรินะเห็นแก้มของอีกฝ่ายเปื้อนน้ำมะเขือเทศ ร่างสูงเอื้อมมือไปเช็ดคราบนั้นออกก่อนจะเลียนิ้วที่เปื้อนของตัวเอง เรนะมองการกระทำของอีกคนทำเอาเขินจนทำอะไรไม่ถูก กี่ครั้งแล้วนะที่คนตรงหน้าทำให้เธอเขินขนาดนี้

                “ฮ่าฮ่า แก้มเรนะจังแดงไม่แพ้มะเขือเทศเลยนะ”

                นั้น ไม่วายมาแซวกันอีก  กัดไปอีกคนด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรือ เรนะเหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆบนใบไม้ ดูเหมือนมันกำลังกินอยู่ เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เรียกได้ว่าจ้องระยะประชิดกันเลยทีเดียว จูรินะเดินเข้าไปดูบ้าง หนอนนี่เอง ปกติผู้หญิงทั่วไปเขาไม่จ้องมันระยะสามมิติขนาดนี้หรอกนะ แต่ดูท่าสาวร่างบางตรงหน้าจะไม่เหมือนผู้หญิงปกติแฮะ

                “นั้นหนอน”

                จูรินะชี้ตัวที่เรนะมองอยู่ ก่อนที่สายตาของเรนะจะถูกดึงดูดด้วยปีกสีสวยของเจ้าตัวที่เพิ่งบินผ่านหน้าเธอไป หญิงสาวมองตามทางที่มันบินไปจนไปหยุดอยู่บนหัวของจูรินะ เหมือนโบวสีสันน่ารักจนเรนะหัวเราะคิกคัก เป็นผลให้จูรินะหน้าแดงขึ้นมา ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหัวเราะตนแต่เป็นเพราะท่าทางที่น่ารักของอีกฝ่ายต่างหาก เขากระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปที่เจ้าโบวมีชีวิตมันหัวตัวเอง

                “ส่วนเจ้านี้คือ ผีเสื้อ ถ้าหนอนตัวนั้นโตขึ้นก็จะกลายเป็นแบบนี้ล่ะ”

                ดูท่าเรนะจะตะลึงไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าเจ้าหนอนน้อยตัวอ้วนนี้จะกลายเป็นผีเสื้อสีสวยตัวเล็กได้ สิ่งมีชีวิตต่างๆนี้น่าทึ้งจริงๆ

                หลังจากที่ทั้งคู่ช่วยกันเก็บพืชผลในไร่และดูนู้นดูนี้เรียบร้อยแล้วก็พากันกลับที่พัก แม้ผลไม้ที่เก็บมาจะหนักเอาเรื่อง แต่รถเข็นก็ช่วยเบาแรงได้เยอะ จูรินะว่าจะเอาไปขายที่ตลาดช่วงบ่าย เขาถามเรนะว่าอยากไปด้วยไหม องค์หญิงพยักหน้าตอบทันทีแบบไม่มีหยุดคิดสักเสี้ยววิ ตลาดคงเป็นที่ๆมีของขายและผู้คนมากมาย เธออยากจะเห็นสิ่งต่างๆให้มากกว่านี้ อยากเรียนรู้สิ่งต่างๆ และ……

                เรนะเหลือบมองจูรินะที่กำลังขนตระกล้าผลไม้ขึ้นเกวียนม้า จนเจ้าตัวรู้สึกเหมือนถูกจ้องจึงหันมาสบตา คนผิวข้าวหลบตาก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ช่วยจูรินะยกของอีกแรง

                อยากอยู่ด้วยกันกับจูรินะ

……………………

                ตะวันขึ้นสูง ที่ใจกลางเมืองผู้คนจอแจคับคั่ง บ้างพูดคุยทักทาย บ้างส่งเสียงเรียกลูกค้าคนนู้นคนนี้มาดูสิ้นค้า ซึ้งมีทั้งปลาสดๆที่เพิ่งจับได้ บ้างก็เนื้อจากฟาร์มของตน ผลไม้พืชผักก็มีมากมาย ทั้งที่เหมือนในสวนของจูรินะและแบบที่เรนะไม่เคยเห็น สิ่งขอเครื่องใช้ก็มีมาขายเช่นกัน แม้สวนใหญ่จะเป็นเครื่องประดับที่ทำจากหินหลากสีจำพวกกำไล สร้อยคอ

                จูรินะเริ่มจัดวางผลไม้บนแผงขายของตัวเอง แม้ระหว่างที่จัดอยู่ก็มีลูกค้าเดินเข้ามาถามไถ่และซื้อผลไม้ของเธอไป มีผู้คนเดินเข้ามาไม่ขาดสาย แต่เรนะก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อ มีแต่ผู้หญิงและคนแก่

                “จูรินะเขาดังมาเลยล่ะ ในหมู่ผู้หญิงนะ”

                เสียงหวานกระซิบที่ข้างกายจนเรนะสะดุ้งหลุดออกจากความคิด มายุเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย

                 มายุตั้งแผงขายของข้างๆจูรินะ แน่นอนสิ่งที่เธอขายก็คือเสื้อผ้าที่เธอเย็บเอง แต่ล่ะชุดสีสันน่ารัก แต่ไม่ฟูฟ่องหวือหวาจนเกินไป ลูกค้าที่มาซื้อของร้านจูรินะเสร็จบ้างก็แวะเข้าไปในร้านของเธอ เรียกได้ว่าเลือกทำเลที่ตั้งได้ดีจริงๆ

                “พูดจาก็ดี ตัวสูง แล้วดูแต่งตัวสิ อย่างกับผู้ชาย สาวๆเลยหลงกันใหญ่ ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้ก็เถอะ” มายุก่อนอกหรี่ตามองคนตัวสูงที่กำลังขายของพร้อมรอยยิ้มชวนละลาย(สำหรับสาวๆที่เข้ามาซื้อ) “แถมยังใจดีชอบช่วยเหลือด้วย พวกคุณป้าทั้งหลายเลยเอ็นดูกัน” พูดจบได้ยินเสียงเรียกจากทางร้านของตน ก่อนจะขอตัวเดินไปขายของบ้าง

                เรียกได้ว่าเป็นคนดังเลยสินะ เรนะมองคนที่วุ่นวายอยู่กับลูกค้าที่เข้ามาไม่ขาดสาย ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปช่วย ทำเอาการค้าหยุดชะงักไปพักหนึ่งเลยทีเดียว

                “นี่จูรินะ เด็กคนนี้ใครเหรอ”

                “ผิวขาวจังเลย ดีจังน้า”

                “ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนะ”

                ผู้คนหน้าร้านเริ่มให้ความสนใจกับเรนะ บ้างถามชื่อ บ้างชมว่าสวย บ้างว่าอิจฉาความขาวก็เธอ ทำเอาเรนะทำอะไรไม่ถูกก่อนเข้าไปแอบหลังจูรินะ คิดถูกไหมเนี่ยที่เข้ามาช่วย

                “อา อา ใจเย็นๆค่ะ นี่เรนะจัง ญาติเราเองเดินทางมาจากทางเหนือน่ะ”

                จูรินะแนะนำก่อนที่มันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ เมื่อได้ยินลูกค้าทั้งหลายก็พยักหน้าก่อนจะจับจ่ายซื้อของกันต่อ

                เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงผู้คนเริ่มบางตา เช่นเดียวกับผลไม้ของจูรินะที่ตอนนี้เหลือไม่มากแล้วบนแผงขาย เรนะส่งผ้าให้จูรินะได้ซับเหงื่อจากไอร้อนของผู้คน ในที่สุดก็ได้พัก

                “ขายดีไม่เปลี่ยนเลยนะ”

                เพราะคนเริ่มบางลง มายุเลยผละตัวจากร้านมาหา (ต่อให้คนเยอะก็มาอยู่ดีล่ะนะ) เธอมองดูแผงที่เกือบจะว่างแล้วของจูรินะก่อนจะพูดชม แต่ทางร้านของเธอใช่ย่อยซะที่ไหน จากที่จูรินะเหลือบมอง เสื้อผ้าสวยๆของเธอก็แถบไม่เหลือเหมือนกัน

                “ทางเธอเองก็ใช่ย่อยนี่”

                “แน่นอน เสื้อผ้าสวยๆของฉัน ใครๆก็สนใจ(บวกกับทำเลมันดีด้วยล่ะนะ) ยกเว้นแต่เธอแหละ”

                “เราจะแต่งยังไงก็เรื่องของเรานา”

                พูดคุยกันสักพัก เมื่อเห็นว่าคงไม่มีลูกค้าแล้วบวกกับร้านรอบข้างต่างก็พากันทยอยเก็บของแล้ว พวกเธอเลยแยกย้ายกันไปเก็บของบ้าง ของที่เหลือมีแอปเปิ้ลกับส้มสินะ เอามาทำพายกับแยมก็ไม่เลว

                ปู้นนนนนนนนนน—

                เสียงแตรหลวงดังมาแต่ไกล จูรินะกับมายุหยุดมือก่อนจะออกมาจากแผงขายเพื่อดูผู้มาเยือน เสียงม้ากระทึบพื้นดัง    ก๊อบ ก๊อบ เพียงไม่นานก็เห็น ม้าหลวงประมาณ4-5ตัวกำลังเดินผ่านย่านร้านค้าพร้อมป่าวประกาศสอะไรบางอย่าง ดูท่าทางกำลังรีบด้วยสิ

                “องค์หญิงยูกิหลบหนีออกมาจากปราสาท หากผู้ใดพบกรุณาแจ้งทหารหลวงด้วย!”

                ไม่เพียงแต่จูรินะ แม้แต่คนรอบข้างในเวลานั้นก็ยังทำท่าเหนื่อยใจบ้างยิ้มหัวเราะในความแก่นขององค์หญิงของเมือง ที่มีเรื่องให้วุ่นวายไม่เว้นแบบไม่มีเบื่อ คราวก่อนก็แอบออกไปกับเรือประมง(ซึ่งเจ้าของเรือก็ยินดีให้ขึ้นและไม่คิดจะบอกทหาร) แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เธอก็กลับไปที่ปราสาทเองเมื่อตะวันลับฟ้า

                ทหารหลวงยังคงตะโกนก้องไปเรื่อยๆ จนเหลือบมาเห็นคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆจูรินะ ทหารหลวงที่อยู่ตำแหน่งหน้าสุดสั่งให้ทุกนายหยุด ก่อนจะหันไปถามคนแปลกหน้า

                “ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เจ้าเป็นใครกันสาวน้อย”

                “ญาติของเราเองล่ะคุณทหารหลวง”

                ทหารหันไปมองจูรินะที่ยิ้มกลับมาอย่างเป็นมิตรก่อนจะหรี่ตามองไปที่เรนะแวบหนึ่งแล้วทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป จูรินะมองตามพวกเขาไปจนพ้นสายตาก่อนจะลอบถอนหายใจ

                “ยูกิหนีออกมาอีกแล้วเหรอเนี่ย” มายุบ่นขำๆก่อนจะเดินไปเก็บข้าวของต่อ

                “ก็มันน่าเบื่อนี่”

                “อืม อืม……หือ?”

                แหมจะพยักหน้าตอบแต่ก็ต้องตกใจก่อนจะกันไปมองเจ้าของเสียงที่หลบอยู่หลังร้านจูรินะตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

                “ยูกิ!!!”

                ผู้มาเยือนก้าวออกมาจากที่หลบให้ได้เห็นเต็มตัว สาวผมดำยาวถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ใบหน้าเรียวได้รูป องค์หญิงแห่งดินแดนมนุษย์ดูเหมือนจะปลอมตัวเป็นพ่อค้าเพื่อหลบเหล่าทหารหลวง แต่จริงๆมันก็ไม่ได้ปลอมซะจนไม่เหลือเค้าเดิมอะไรหรอก หากแต่ได้ชาวบ้านช่วยพาหลบให้เลยรอดมาได้(ทุกครั้ง)

                “ชู่ อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวพวกทหารก็กลับมาหรอก”

                ยูกิใช้นิ้วชี้แตะปากมายุเบาๆเป็นเชิงให้เบาๆไว้ แต่ความจริงไม่ต้องห่วงเรื่องทหารหรอก คงไปไกลลิบแล้วล่ะ เพียงแต่องค์หญิงร่างสูงนี้อยากแกล้งสาวตัวเล็กตรงหน้านี้เท่านั้นเอง ก็หน้าแดงๆของอีกคนเวลาเขินน่ะ น่ารักจะตายไป นั้นไง หน้าแดงไปถึงหูแล้ว

                “อย่ามัวแต่แกล้งมายุสิ มาช่วยกันเก็บร้านหน่อย”

                จูรินะรู้ทันองค์หญิงขี้แกล้ง แน่นอนล่ะมันคล้ายๆเธอยังไงไม่รู้นะ พฤติกรรมแบบนั้นน่ะ จูรินะเหลือบมองเรนะที่กำลังเก็บผลไม้ลงตะกร้าแวบนึงก่อนจะยกตะกร้านั้นขึ้นเกวียน  แม้จะแค่แวบเดียวแต่ก็อยู่ในสายตาของยูกิ ที่ตอนนี้ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์จนมายุต้องกระทุกศอกเข้าท้องเรียกสติให้หยุดคิดแผนชั่วแล้วมาช่วยกันเก็บของ แต่เธอไม่มีเกวียน จึงเอาของไปใส่ในเกวียนของจูรินะ ซึ่งเจ้าของเกวียนก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่มายุจะอาศัยเกวียนคนอื่น(ขามาก็ฝากคนอื่นมา)

                “ที่บ้านมายุก็มีอีฟอยู่นี่ ทำไมไม่ใช่เกวียนล่ะ” ระหว่างทางยูกิเลยชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย

                “อีฟไม่ค่อยแข็งแรง ลากเกวียนไม่ไหวหรอก”

                “เราว่าจะพาอดัมไปหาอยู่พอดี เดี๋ยวขอแวะหน่อยล่ะกันนะ”จูรินะพูดจากที่นั่งด้านหน้าเกวียนโดยมีเรนะนั่งซบไหล่หลับไปแล้ว มายุพยักหน้าแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็เถอะ

                “ฉันก็ว่าจะถามอยู่นะ ผู้หญิงคนนั้นใครน่ะ แฟนเหรอ จูรินะ”

                คำถามของยูกิทำเอาจูรินะเกือบหัวทิ่มตกเกวียน ร่างสูงหน้าแดงกระแอมไอแก้เขิน ก่อนจะหันไปว่ามายุให้เลิกหัวเราะสักที

                “ญาติ ต่างหากล่ะพี่ยูกิมาจากทางเหนือ ชื่อเรนะจัง” แม้จะปรับเสียงให้เป็นปกติแล้ว แต่หน้ายังคงเหลือสีแดงจางๆไว้ให้เห็น

                เรนะที่ได้ยินจูรินะเรียก สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเอียงคอมองอีกคน แม้ตาจะยังลืมไม่เต็มที่ก็ยังน่ารัก จูรินะชี้ให้เรนะมองคนข้างหลังที่ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก ยูกิเห็นเรนะมองมาก็โบกมือน้อยๆก่อนจะแนะนำตัวเอง

                “สวัสดีฉัน ยูกิยินดีที่ได้รู้จัก” พร้อมกับยืดมือไปจับมือกับเรนะ ร่างบางพยักหน้ารับรู้น้อยๆ แม้จะยังรู้สึกมึนๆเพราะยังตื่นไม่เต็มที่แต่ก็ยังยิ้มให้อีกคน ยูกิก็ยิ้มตอบ

                ไม่ช้าก็ถึงบ้านของมายุ บ้านหลังน้อยติดกันนั้นมีโรงเก็บม้า และบ่อน้ำเล็กๆ บ้านของมายุไม่ได้มีสวนผักผลไม้เหมือนจูรินะ แต่เธอก็ปลูกดอกไม้นานาชนิดไว้มากมาย แม้จะเป็นยามเย็นที่แสงแดดเริ่มถูกความมืดบดบัง แต่นั้นก็ยิ่งทำให้สีสันของดอกไม้ได้อวดโฉมอย่างเต็มที่ มายุพาเรนะมาชมสวนดอกไม้ของตนพรางชี้บอกชื่อพันธุ์ต่างๆ ปล่อยให้ยิกขนของของเธอเข้าบ้านไป(เป็นแบบนี้ประจำทุกครั้งที่ยูกิมา) จูรินะก็ขนผลไม้ที่แบ่งไว้ให้เข้าไปเก็บในบ้านก่อนจะพาอดัมเข้าไปในโรงเก็บม้า

                โรงเก็บม้าของมายุไม่ใหญ่มาก เพราะเธอมีม้าแค่ตัวเดียวนั้นก็คือ อีฟ ม้าสีขาวสะอาดนอนอยู่ที่มุมในสุดของคอก ม้าสาวที่ได้ยินเสียงผู้มาเยือนชะโงกหน้าขึ้นมาดู

                “ไงอีฟ ไม่เจอกันนานนะ” จูรินะเดินเข้าไปทักทายม้าสาว มันยืนขึ้นต้อนรับเขา อีฟเป็นม้าที่ตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับอดัม ขนสีขาวนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของมัน ดูโดดเด่นเมื่ออยู่ในดอกไม้สีน้ำตาลนี้ อดัมก้าวเข้าไปหาอีฟ มันก้มหัวลงไปแนบกัน เป็นการแสดงความรักอย่างอ่อนโยน

                จูรินะมองม้าทั้งสองคลอเคลียกันอย่างรักใคร่ เรนะที่เดินเข้ามาหา สะกิดจูรินะเบาๆ มายุเข้าไปในบ้านกับยูกิแล้ว เธอเห็นว่าจูรินะยังไม่ออกมาจากโรงม้าเลยเข้ามาดู จูรินะยิ้มให้อีกคนน้อยๆก่อนจะจูงมืออีกคนเดินออกมา ปล่อยให้เจ้าม้าทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน

โมเม้นคู่นี้ที่เห็นล่าสุดคือ คอนSP กับ คอนโโตเกียวโดม

โมเม้นนิดๆแต่ชุ่มชื่นเลยทีเดียว

อยากได้เยอะๆมาเป็นแรงดันหน่อย ตอนนี้เริ่มตันๆ(อ้างไปเรื่อย)

จูหล่อล่ะ!!จูหล่อ#นี่เราจิ้นอะไร…

หวานไม่แพ้ม้าเลยนะ~

สู้ต่อไปค่ะไรท์เตอร์!!!

ปล.จะว่าไปไรท์เตอร์เล่นขุนด้วยสินะคะ ^ ^#ไม่เกี่ยวกับฟิคเลย

รักอ่ะ น้องจูหล่อ 555 เรนะน่ารักก คู่มายูกิก็ใช่ย่อย >__<

สู้ๆนะคะไรท์เตอร์! รออ่านอยุ่เสมอค่า  🙂