[SF] Summer Wind (wmatsui) 05 up*13-05-2016

 

 

 

01 l 02 l 03 l 04 l 05 l 06 l 07 l 08

01

 

 

 

ถ้าอยากรู้จัก… สักวันคงได้รู้จัก

 

 

 

 

 

 

                รถสกูตเตอร์สีครีมพร้อมคนขี่ที่สวมหมวกกันน็อกครึ่งใบสีครีมขาวจอดอยู่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่สุดทางหมู่บ้าน หนังสือพิมพ์ฉบับสุดท้ายที่พับซ้อนไปซ้อนมาหลายทบถูกสอดเข้าไปในตู้จดหมายสีแดงปนสนิม ยืนยันให้รู้ว่ามันผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเพียงใด

 

 

ขี่สกูตเตอร์ออกไปได้สักพัก ก็ต้องเบรกตัวโก่งเมื่อข้างหน้าของเขาเป็นหอยทากตัวใหญ่ กำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะข้ามถนนจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง

 

 

มัตสึอิ จูรินะ เจ้าของรถสกูตเตอร์หยุดมองที่พื้นถนนดินลูกรังและยิ้มออกมา คอยลุ้นเป็นกำลังใจให้เจ้าหอยทากค่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ส่งหนังสือพิมพ์เสร็จแล้ว ยังเหลือเวลาอีกถมเถก่อนจะไปเปิดร้าน หญิงสาวเท้าแขนกับแฮนด์สกูตเตอร์และมองดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย

 

 

จนได้ยินเสียงรถที่เครื่องยนต์ดังจนต้องหันมอง รถคันนั้นขับมาจากทางขึ้นเขา รถกระบะสีฟ้าอ่อนสไตล์ k-car สภาพกลางเก่าจอดอยู่ตรงบ้านหลังสุดท้ายที่เขาเพิ่งส่งหนังสือพิมพ์เสร็จ

 

 

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำลงมาจากรถ มัตสึอิ มิโนรุ เจ้าของบ้านหลังนั้นที่บังเอิญนามสกุลเดียวกับเขาเป๊ะ ๆ ชายหนุ่มที่กลับมาอยู่บ้านหลังนี้ได้ประมาณปีกว่า ๆ และก็เปลี่ยนไร่สวนของบ้านหลังดังกล่าวที่เคยรกร้างให้กลายเป็นแปลงเกษตรแบบธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก พอมิโนรุเปิดประตูรั้ว สุนัขตัวใหญ่วิ่งออกมาจากในบ้าน กระโจนล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าของ จูรินะเห็นภาพแบบนี้หลายต่อหลายครั้งจนชินตา

 

 

แต่ที่เขาแปลกใจก็คือ เมื่อมิโนรุขับรถเข้าไปจอดในบ้าน เขาเห็นหญิงสาวอีกคนลงมาจากรถคันนั้นด้วย หญิงสาวที่เขาไม่คุ้นหน้า หญิงสาวผมยาวรูปร่างผอมบาง เธอกำลังช่วยมิโนรุนำขอนไม้ลงจากท้ายกระบะ ท่าทางจะเอาไปใช้ในโรงเพาะเห็ดที่มิโนรุทำเอาไว้

 

 

จูรินะมองดูหญิงสาวคนนั้นและเผลอยิ้มออกมา ก็ท่าทางของเธอดูไม่มีความคล่องแคล่วเอาซะเลย ออกไปทางเงอะ ๆ งะ ๆ เสียด้วยซ้ำ น่าจะไม่เคยทำอะไรพวกนี้มาก่อน แล้วทำไม… ถึงมาอยู่กับมิโนรุ และมาช่วยงานแบบนั้นได้นะ

 

 

และกลายเป็นว่าเขามองดูเธอไม่วางตา หญิงสาวที่ดูแปลกแยก… แตกต่างจากหญิงสาวชาวไร่ชาวสวนที่เขาเคยเห็นโดยทั่วไป มาจากเมืองใหญ่อย่างนั้นหรอ พอเห็นว่าเธอทำขอนไม้ร่วงลงกับพื้น เขาถึงกับตาโตเลย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ขอนไม้นั้นไม่ได้หล่นไปทับขาเธออย่างที่เขาคิด แต่ดูท่าเธอจะถอดใจ และเดินกลับเข้าบ้านโดยปล่อยให้มิโนรุทำทุกอย่างคนเดียว จูรินะส่ายศีรษะ และยิ้มอยู่แบบนั้น เธอดูแตกต่างจริง ๆ

 

 

 

                หันกลับมามองเจ้าหอยทาก ที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงไปตรงทุ่งหญ้าเตี้ย ๆ ข้างทาง ถึงเวลาที่เขาเองคงต้องไปแล้วเช่นกัน แม้บางส่วนเสี้ยวในใจของเขา ยังอยากจะรู้ว่าหญิงสาวที่อยู่กับมิโนรุคือใครกัน

 

 

เอาเถอะ เขาคิดในใจ ถ้าอยากรู้จัก… สักวันคงได้รู้จัก

 

 

เขาหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

……………………………

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                เสียงบานพับของประตูไม้ที่กำลังขึ้นสนิมดังเป็นเอกลักษณ์ และเสียงดังกล่าวเป็นการบอกให้รู้ว่าร้านแห่งนี้กำลังจะเปิดต้อนรับลูกค้าในอีกไม่นาน จูรินะเลื่อนป้ายร้านที่ทำจากไม้ขนาดไม่ใหญ่มากออกมาตั้งหน้าร้าน หมุนไปหมุนมาจนได้องศาที่ชอบ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านใน

 

 

เช็กความเรียบร้อยบริเวณชั้นหนังสือที่เรียงตัวกันเบียดเสียดพอ ๆ กับหนังสือที่อยู่บนชั้น เปิดหน้าต่างรับลมและแสงแดด พร้อมฟังเสียงกระดิ่งที่ดังตามจังหวะพัดพาของสายลม

 

 

 

                   กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง

 

 

 

ร้านหนังสือในบ้านไม้หลังเก่า ที่เขารับช่วงต่อมาจากพ่อของเขา ร้านหนังสือร้านเดียวในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้

 

 

 

                ร้านหนังสือริมทางรถไฟ

 

 

 

จูรินะมองออกไปนอกหน้าต่าง มองทางรถไฟที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ตลอดสองข้างทาง ต้นไม้ที่ให้ร่มเงาสีเขียวแก่  ใบไม้สะท้อนกับแสงอาทิตย์หน้าร้อนเป็นภาพที่เขาจะได้เห็นไปอีกสักพัก ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นขาวโพลนในหน้าหนาว

 

 

เดินไปที่เคาเตอร์หน้าร้าน ทิ้งตัวลงนั่งและกางแล็บท็อปตัวเก่งของเขาที่ใช้งานมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ยกแก้วเซรามิกที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเครื่องดื่มสีเข้มจรดริมฝีปาก กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ และรสชาติที่เขาคุ้นเคย

 

 

เป็นการเริ่มต้นวันที่แสนปกติธรรมดาของเขา… อีกวัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

……………………….

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                จักรยานคันเก่ากำลังพาหญิงสาวลัดเลาะไปตามทางเดินริมทางรถไฟ ของที่มีอยู่เต็มตะกร้าหน้ารถ ทำให้เธอบังคับแฮนด์จักรยานยากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่จะทำยังไงได้ มีสองทางให้เธอเลือก ระหว่างจักรยานเก่าเก็บ กับรถกระบะเก่าแก่

 

 

ซึ่งเธอขอเลือกจักรยานดีกว่า เพราะขืนเธอเอากระบะออกมาขับ แล้วเสียกลางทาง มันคงยุ่งกว่าจักรยานเสีย ที่แค่จูงไปก็ถึงที่หมายได้ไม่ยาก

 

 

มัตสึอิ เรนะ เฝ้ามองทางที่เธอปั่นจักรยานผ่านให้แน่ใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอลงมาซื้อของในตัวเมือง ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงจากบ้านที่เธออาศัยอยู่ตรงสุดหมู่บ้านใกล้เนินเขาเพื่อมาซื้อของในตลาด แต่ขากลับ เธอหวั่นใจว่าอาจจะต้องใช้เวลาเกินชั่วโมง เพราะเป็นทางขึ้นเขา

 

 

            แค่คิดก็ไม่อยากกลับแล้ว

 

 

เมื่อแน่ใจแล้วว่าเธอมาถูกทาง เธอก็ปั่นเร็วขึ้น จนรถไฟแล่นผ่านมา เธอปั่นจักรยานช้าลงเพื่อเฝ้ามองรถไฟสายชนบท ทุก ๆ อย่างรอบตัวไม่เหมือนกับที่โตเกียว แม้แต่รถไฟยังช้ากว่า เธอรู้สึกได้

 

 

ก่อนจะหันกลับมามองทาง และสะดุดตากับแผ่นป้ายไม้ที่เขียนว่า ร้านหนังสือริมทางรถไฟ

 

 

            ร้านหนังสือ อย่างนั้นหรอ

 

 

เรนะจอดจักรยานแอบเข้าข้างทางไม่ไกลจากหน้าร้านเท่าไหร่นัก ก่อนจะเดินกลับมา ประตูร้านเปิดเอาไว้ทำให้เห็นด้านในร้านอย่างง่ายดาย ไม่รวมหน้าต่างอีกหลายบานที่อยู่ใกล้ ๆ กับประตูทางเข้า เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของคนที่เปิดร้านย่านชนบทแบบนี้เท่าไหร่

 

 

พอเดินเข้าไปด้านใน เธอเห็นชั้นหนังสือเรียงรายกันอยู่  ก็คงเป็นร้านหนังสือจริง ๆ แต่เป็นร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ และดูไม่ค่อยจะเชื้อเชิญให้คนเข้ามาสักเท่าไหร่

 

 

 

              สักพักเธอก็ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังแว่วมา เสียงกระดิ่งลมในหน้าร้อนที่เธอไม่ได้ยินมานาน มองไปทางเคาเตอร์ แต่ทว่าไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น มีเพียงโน้ตบุ๊กวางอยู่ ทิ้งร้านไว้แบบนี้เลยอย่างนั้นหรอ

 

 

เรนะได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย และเลือกที่จะเดินเข้าไปสำรวจตามชั้นหนังสือ หนังสือส่วนใหญ่ห่อปกพลาสติกเอาไว้ เธอไล่สายตาไปตามสัน และอ่านชื่อหนังสือแต่ละเล่มเพลิน ๆ อย่างน้อยก็ยังมีหนึ่งสถานที่ที่เธอชอบในเมืองที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้

 

 

จนได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังร้าน เธอรีบเดินออกมาจากแถวของชั้นหนังสือเพื่อบอกให้คนที่ร้านรู้ว่าเธอเข้ามา

 

 

 

                “เอ๊ะ!”    เสียงแสดงถึงความตกใจของอีกฝ่าย เรนะเห็นเขาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ขาที่ก้าวก็ยกค้างไว้ ตกใจขนาดไหนกันนะ    “เอ่อ…”

 

                “เข้ามาดูหนังสือน่ะคะ”   เรนะเลยต้องเป็นฝ่ายบอกออกไปก่อน

 

                “อ่อ”   จูรินะพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ หญิงสาวที่อยู่กับมิโนรุเมื่อตอนเช้า ถ้าอยากรู้จัก… สักวันคงได้รู้จัก เขาคิดไม่ผิดจริง ๆ   “พอดีไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ ขอโทษทีนะคะที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับ”   จูรินะเอ่ยปากขอโทษและพูดเป็นการเป็นงาน ไม่บ่อยนักที่เขาจะเจอคนแปลกหน้าในร้าน ถ้าไม่ใช่ลูกค้าประจำแถวนี้ ก็เป็นคนที่เคยคุย ๆ กันมาก่อนผ่านบล็อกในอินเทอร์เนต

 

                “ไม่เป็นไรค่ะ”   เรนะส่ายศีรษะเล็กน้อย ย้ำให้เขาเข้าใจชัดว่าไม่เป็นไร

 

                “งั้นตามสบายเลยนะคะ ชั้นนั้นเป็นวรรณกรรมญี่ปุ่น ส่วนชั้นทางด้านหลังเป็นวรรณกรรมแปล”   เขาเริ่มต้นแนะนำ เมื่อเริ่มจะตั้งสติได้    “ถ้าสนใจแนวไหนลองถามได้ แต่บนชั้นก็มีติดบอกประเภทหนังสืออยู่บ้างแล้ว”

 

 

 

เขาชี้มือไปตรงป้ายที่ถูกเขียนด้วยลายมือแยกประเภทของหนังสือเอาไว้บนชั้น เรนะพยักหน้ารับ ส่วนเจ้าของร้านก็เดินกลับไปที่เคาเตอร์ แต่ก็ยังมองทางเรนะไม่วางตา

 

 

 

                “คะ”   เรนะสงสัยที่เขายังจ้องเธออยู่ และไม่ยอมละสายตาไปไหน เป็นคนที่แปลกมากทีเดียว

 

                “เอ่อ…”   ไปไม่เป็นเลย ท่าทางเธอจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงเอาแต่มองเธออยู่แบบนั้น เขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยเรื่องอื่น ๆ นอกจากหนังสือกับหญิงสาวคนนี้ยังไง

 

                “ที่คุณไปเข้าห้องน้ำ แล้วปล่อยร้านไว้แบบนี้ ไม่เป็นไรหรอคะ”   เรนะเลยเป็นฝ่ายถามออกมาก่อน ถามสิ่งที่เธอสงสัยตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน    “โน้ตบุ๊กก็วางทิ้งไว้ ประตูร้านก็เปิดโล่ง”

 

                “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ร้านนี้นาน ๆ จะมีคนเข้าสักที ทางตรงหน้าร้านช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านกันหรอกค่ะ แถมคนแถวนี้ก็ไม่ได้มีนิสัยขโมยอะไรแบบนั้นด้วย”   จูรินะพูดอย่างมั่นใจ ก็เขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กและก็ทำแบบนี้เป็นประจำตั้งแต่มาดูแลร้านนี้เต็มตัว

 

                “ก็ไม่ได้ว่าว่าคนแถวนี้จะขโมยนี่คะ แต่ถ้ามีคนจากที่อื่นล่ะค่ะ”    เรนะถามจูรินะกลับ เขาพูดแบบนั้น เหมือนกับว่าเธอกำลังจะกล่าวหาว่าคนแถวนี้เป็นขโมยอย่างนั้นแหละ เธอแค่เป็นห่วงความปลอดภัยในทรัพย์สินของร้านหนังสือนี้ต่างหาก

 

                “เอ…. เหมือนอย่างคุณหรอคะ”

 

 

 

เขาถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม เรนะมองจ้องจูรินะ ท่าทางเธอคงต้องคุยกับคน ๆ นี้ แทนการหาหนังสืออ่านเสียแล้วหละมั้ง

 

 

 

                “จะหาว่าฉันเป็นขโมย…”    เรนะถามน้ำเสียงจริงจัง จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ขึ้นมาเลยที่พูดเล่นไม่เข้าเรื่อง เขาเลยต้องอธิบายแก้สถานการณ์

 

                “เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้คิดว่าคุณจะเป็นขโมยหรืออะไรหรอกนะคะ เพียงแค่คิดว่าคุณเองก็น่าจะเป็นคนที่มาจากที่อื่นเหมือนกัน เพราะว่าฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน”    จูรินะพูดออกมาแบบนั้น แต่ก็ต้องรีบกลับลำอย่างรวดเร็ว   “ไม่สิ ฉันเคยเห็นหน้าคุณก่อนหน้านี้ เมื่อเช้าน่ะคะ”

 

                “คะ”   เรนะยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เมื่อเช้าเธอเข้าไปในป่าบนเขากับมิโนรุ เขาจะมาเห็นเธอได้ยังไง

 

                “พอดีไปส่งหนังสือพิมพ์แล้วเห็นคุณกับมิโนรุซังที่อยู่บ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้านบนเนินเขา”   เขาอธิบายใหญ่เลย กลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดหาว่าเขาเป็นสโตกเกอร์ หรืออะไรเทือก ๆ นั้น    “ใช่มั้ยคะ”

 

                “อ่อ”   เรนะพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยิ้มออกมา    “ค่ะ ฉันอยู่บ้านหลังนั้น”

 

                “แล้วคุณ เป็นอะไรกับมิโนรุซังคะ”    เขาลองหยั่งเชิงถาม ไม่อยากฟันธงถามไปตรง ๆ ว่าอยู่ในสถานะไหน

 

                “น้องสาวค่ะ”   เรนะตอบและกำลังพิจารณาคำถามของคนตรงหน้า ว่าเขาถามด้วยเหตุผลอะไรกัน แต่การเรียกพี่ชายเธอด้วยชื่อ ก็คงจะสนิทสนมกับพอสมควร    “แล้วคุณเป็นเจ้าของร้านนี้หรอคะ”

 

                “ค่ะ”  

 

 

 

เขาตอบพร้อมพยักหน้ารับ ทำไมก็ไม่รู้ เขาไม่อยากให้การพูดคุยระหว่างเขากับเธอจบลงเลย และอีกอย่าง… เขารู้สึกเหมือนหัวใจเขาจะพองโตขึ้นมาเล็กน้อย กับคำตอบของเรนะที่บอกว่าเธอเป็นเพียงน้องสาวของนิโนรุ

 

 

เรนะมองจ้องเจ้าของร้านหนังสือที่ทำหน้าที่ส่งหนังสือพิมพ์ด้วย จะว่าไปก็อาจจะเป็นร้านหนังสือร้านเดียวในเมืองแห่งนี้ เพราะเธอไม่เห็นร้านหนังสือร้านอื่นเลย

 

 

 

                “ทำไมถึงเปิดร้านหนังสือล่ะคะ เมืองนี้ก็ดูไม่ได้ใหญ่โตอะไร และนอกจากหนังสือพิมพ์ มีคนอ่านหนังสืออย่างอื่นกันด้วยหรอคะ”   เรนะถาม และเดินลัดไปตามชั้นหนังสือ จูรินะลุกจากเคาเตอร์และเดินตามไป เขาอยากคุยกับหญิงสาวคนนี้เหลือเกิน

 

                “คนเข้าร้านนี้มีไม่มากหรอกค่ะ”   เขาตอบตรงไปตรงมา เรนะหันหน้ามองจูรินะสงสัย    “แต่ร้านนี้เป็นร้านที่สืบทอดกิจการกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ของฉัน ก็เลยไม่อยากจะให้มันต้องปิดตัวลง”

 

                “แล้วมันอยู่ได้หรอคะ”   

 

 

 

เรนะไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าร้านแบบนี้จะเอาตัวรอดได้ถ้าไม่มีลูกค้า แค่หนังสือพิมพ์ที่ตามบ้านรับเป็นรายเดือน มันก็ไม่น่าจะเพียงพอ และบางบ้านอาจจะเลิกรับหนังสือพิมพ์ไปแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ แค่เปิดสมาร์ทโฟน ข่าวสารก็หลังไหลเข้ามาโดยไม่ต้องกางหนังสือพิมพ์เป็นเล่ม ๆ อ่านแบบแต่ก่อน

 

 

 

                “มันก็อยู่ได้ด้วยหลาย ๆ เหตุผล แต่เหตุผลหลักคือฉันไม่อยากปิดน่ะค่ะ”   เขาบอกและหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น    “เพราะวันหนึ่ง อาจจะมีลูกค้าสักคนที่อยากจะอ่านหนังสือ และแวะเข้ามา แบบคุณยังไงล่ะคะ”

 

                “นั่นสินะคะ”

 

 

 

เรนะไม่คิดจะสงสัยในเหตุผลของเขาอีกแล้ว เพราะเธอรับรู้ถึงความรู้สึกดีที่จูรินะมีต่อร้านหนังสือร้านนี้

 

 

               

                “ไม่รู้ว่าคุณชอบอ่านนิยายรึเปล่า”  จูรินะส่งหนังสือเล่มที่เขาหยิบออกมาให้กับเรนะ    “แต่ฉันอยากให้คุณลองอ่านเรื่องนี้ดู”

 

 

 

เรนะรับหนังสือเล่นนั้นจากจูรินะ หนังสือเล่มเล็กที่มีชื่อหนังสือพิมพ์ชัดเจนบนหน้าปก จูรินะแกะห่อพลาสติกของหนังสือเล่มนั้นไปแล้วด้วย

 

 

 

                “ที่แกะห่อไม่ได้บังคับให้ซื้อนะคะ แค่ให้ลองอ่านดูก่อน เผื่อว่าคุณจะชอบ จะนั่งอ่านตรงริมหน้าต่างนั้นก็ได้”

 

 

 

จูรินะชี้มือไปทางโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับหญิงสาวให้นานกว่านี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ส่วนเรนะ เธอมองหนังสือในมือสักพัก และสุดท้ายก็เลือกส่งคืนให้กับจูรินะ

 

 

 

                “ไว้เป็นพรุ่งนี้แล้วกันนะคะ วันนี้คงอยู่นานไม่ได้ มีของหลายอย่างที่ต้องรีบเอากลับไปที่บ้าน”   เรนะปฏิเสธแบบนุ่นนวล และเต็มไปด้วยเหตุผล จนจูรินะหมดหนทางที่จะดึงรั้งเธอเอาไว้

 

                “พรุ่งนี้มาแน่ ๆ ใช่มั้ยคะ”    คำถามของเขาเต็มไปด้วยความหวังที่อัดแน่น และเรนะ… จะปฏิเสธไปได้อย่างไร

 

                “ค่ะ”

 

 

 

หญิงสาวบอกและค้อมศีรษะเล็กน้อย เดินผ่านจูรินะที่หลบตัวไปติดชั้นหนังสือ

 

 

 

                “เดี๋ยวก่อน”   จูรินะนึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่รู้    “ถามชื่อได้มั้ยคะ เอ… แต่คงไม่ดีแน่ถ้าถามก่อนโดยที่ไม่บอกของตัวเองใช่มั้ยคะ ฉันชื่อจูรินะค่ะ นามสกุลมัตสึอิ”

 

                “มัตสึอิอย่างนั้นหรอคะ”   เรนะเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาเรียกพี่ชายของเธอด้วยชื่อจริง จูรินะเฝ้ามองรอยยิ้มนั้นของเรนะ และก็เผลอยิ้มตามออกมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว    “เรนะค่ะ มัตสึอิ เรนะ”

 

                “แล้วเจอกันนะคะ”   จูรินะกล่าวลาหญิงสาว เรนะพยักหน้ารับและเดินกลับออกไปนอกร้าน

 

 

 

จูรินะมองหนังสือที่อยู่ในมือของตัวเอง หยิบมันติดมือไปที่เคาเตอร์ และวางมันลงข้างแก้วสีขาวที่ไม่มีกาแฟหลงเหลืออยู่

 

 

ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เอนหลัง และหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ผ่อนออกมาช้า ๆ และฟังเสียงกระดิ่งลมเพลิน ๆ

 

 

เขาได้รู้จักกับเธอแล้ว หญิงสาวที่เข้ามาในร้านหนังสือที่เปิดโล่ง และไร้คนดูแลในตอนแรก

 

 

หญิงสาวที่เตือนเขาเรื่องขโมย แต่เธอกลับมาขโมยเสียเอง

 

 

มัตสึอิ เรนะ เธอขโมยเอาความสนใจของเขาไป ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ

 

 

 

 

 

 

 

…………………………….…..

 

 

 

TBC.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

=============================================

 

 

จริง ๆ ผมกำลังแต่งเรื่อง SAIN ภาค 2 ครับ

แต่เรื่องนี้มาก่อนได้ไงไม่รู้

 

มาแบบสั้น ๆ แล้วกันครับ ไม่น่าเกิน 7 ตอน

ส่วนจะดราม่า หักหลังคนอ่าน หรืออะไรยังไง

ให้เนื้อเรื่องเล่าไปแล้วกันครับ

ปูเสื่อรอเลย

อุ้ย เรื่องใหม่ ดีใจจังค่ะ

อุ้ย บรรยากาศนอกเมือง ชื่อเรื่องมีคำว่า wind ด้วยดราม่าแน่เลย (ตรรกะอะไรไม่รู้)

เรนะมาอยู่บ้านนอกแบบนี้หรือว่ามาพักรักษาตัวหรอ ไม่นะคะ ไม่

คนป่วยอะไรจะอยากแบกขอนไม้เนอะ

ตั้งโต๊ะรอเลยค่ะ ทั้งเรื่องนี้และเรื่องSAIN(รอคอยมานานแสนนานหุหุ)

หวานละมุนมาก จีบลูกค้าแบบนี้ได้ยังไงกันคะจูรินะ

รอเรื่องSAIN อยู่นะไรท์นานเท่าไหร่ก็จะรอ

กรี๊ดดดดดดดดด มีฟิคให้ตามอีกแล้ว
ขอบคุณมากๆค่ะ ที่อุตส่าห์แต่งให้เราได้อ่านตลอดมา
ส่วนเรื่อง SAIN นั้น เราก็ยังรอแหละค่ะ ยังไงก็ติดตามต่อไป
เข้าเรื่อง บรรยากาศชนบทกับสาวชาวเมืองที่ต้องปรับตัว 
มันน่ารักจังค่ะ จูรินะนี่ออกนอกหน้านะคะ ชอบเขาแล้วละสิ 
ต่อไปคงมีโมเม้นท์มากกว่าในร้านหนังสือแน่ๆค่ะ 

มาวันแรก จูก็โดนขโมหัวใจไปซะละ แหม่ //หาเสื่อมาปูแป๊บ

มาปูเสื่อรออ่านค่ะ บรรยากาศน่ารักดีจังเลย คู่นี้ ดีงามมมม ฮือออออออออออออออ

ปูเสื่อรอเลย

02

 

 

 

 

ทุกดวงดาวต่างก็โคจรไปตามเส้นทางของตัวเอง

 

 

 

 

                รถสกูตเตอร์สีครีมพร้อมคนขี่จอดอยู่ที่ตรงหน้าบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้านบนเนินเขา หยิบหนังสือพิมพ์ใส่ไว้ในกล่องรับ ก่อนคนเจ้าของสกูตเตอร์จะชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน รถจักรยานคันเก่าจอดอยู่ข้าง ๆ รถ k-car สีฟ้าหม่น สองพี่น้องมัตสึอิคงไม่ได้ออกไปไหน

 

 

จนเขาเห็นมิโนรุเดินออกมาจากชานบ้าน แต่งตัวพร้อมเข้าสวน พอมิโนรุเห็นจูรินะที่หน้าบ้าน เขาเลยกล่าวทักทาย

 

 

 

                “สวัสดีครับ จูรินะซัง”

 

                “สวัสดีค่ะ มิโนรุซัง”    เขารีบตอบรับ และมองตามหลังมิโนรุ หญิงสาวอีกคนเดินตามออกมา เธอเองก็แต่ตัวไม่ต่างจากมิโนรุเท่าไหร่นัก    “สวัสดีค่ะ เรนะซัง”

 

                “ค่ะ”   เรนะยิ้มรับ ไม่คิดว่าจะได้เจอคนอีกคนเร็วขนาดนี้ ใจจริงที่เขาชวนเธอไปร้านหนังสือของเขาในวันนี้ เธอยังชั่งใจอยู่ว่าจะไปหรือไม่ไปดี ทั้ง ๆ ที่ก็ตอบรับไปแล้ว

 

                “กำลังจะไปทำอะไรกันหรอคะ”    จูรินะถามต่อ พยายามจะหาเรื่องคุยและรั้งตัวเองให้อยู่หน้าบ้านมัตสึอินานขึ้น ยื้อเวลาอยู่กับเรนะ… ให้มากขึ้น

 

                “พอดีจะเข้าไปเก็บเมล่อน จูรินะซังอยากเข้าไปดูแปลงเมล่อนมั้ยล่ะครับ”

 

                “อยากค่ะ”

 

 

 

ก็คำถามเข้าทางเสียขนาดนี้ จูรินะจะปฏิเสธได้อย่างไร เขาจอดสกูตเตอร์ของตัวเองเอาไว้ และเดินเข้าไปในบ้านของมิโนรุ มองผ่านเห็นสุนัขอากิตะสีน้ำตาลอ่อนลายดำพาดกลางหลังเป็นแนวยาวที่นอนอยู่ใต้ชานบ้าน จูรินะยืนชั่งใจอยู่สักพัก ก็ลองยืนมือไปลูบหัว สุนัขตัวโตกระดิกหางรับแต่ยังคงนอนอยู่เหมือนเดิม จูรินะหัวเราะออกมา เชื่องกับคนแปลกหน้าขนาดนี้ มิโนรุเลี้ยงไว้ทำไมกันนะ

 

 

จูรินะเลิกเล่นกับสุนัขตัวโต แล้วเดินเลาะไปทางข้างบ้านจนเจอกับพื้นที่ไร่สวนที่อยู่ทางด้านหลัง พื้นที่ที่เคยรกร้างถูกทำเป็นแปลงปลูกพืชผลมากมาย รวมทั้งโรงเรือนปลูกพืชที่มิโนรุลงแรงสร้างขึ้นมาเองเพียงคนเดียว มิโนรุเดินนำไปที่โรงเรือนสำหรับปลูกเมล่อนที่ออกผลพร้อมเก็บเกี่ยว

 

 

มิโนรุเอากระบะไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่หลายสิบอันมาวางไว้ข้าง ๆ แปลงพร้อมกับกองฟางอีกกองใหญ่

 

 

 

                “จะเก็บไปขายหรอคะ”   จูรินะหันไปถามชายหนุ่มผิวแทน

 

                “ครับ”   มิโนรุตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ๆ สไตล์ของเขา  “ว่าจะแวะเอาไปฝากขายที่ตลาดในเมือง ที่เหลือก็ฝากให้คนแถวนี้”

 

 

 

มิโนรุว่าแล้วก็เดินลึกเข้าไปด้านใน เรนะเดินเลี่ยงไปอีกแปลงใกล้ ๆ จูรินะมองทั้งมิโนรุ และเรนะ ก่อนที่เขาจะเลือกเดินตามเรนะไปติด ๆ

 

 

 

                “ให้ช่วยมั้ยคะ”   จูรินะหยุดยืนข้าง ๆ หญิงสาวที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ มองต้นเมล่อนที่พันกิ่งก้านกับเสาปลูกจนสูงเลยศีรษะ เมื่อวานมิโนรุบอกแล้วว่าลูกประมาณไหนที่เก็บได้

 

                “คะ”  เรนะหันหน้ามองเจ้าของคำถาม เพราะตั้งใจอยู่กับอย่างอื่น เรนะเลยได้ยินไม่ถนัดว่าจูรินะพูดว่าอะไร

 

                “ให้ช่วยมั้ยคะ”   จูรินะถามอีกครั้ง เรนะก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะดีรึเปล่าที่ให้จูรินะมาช่วยแบบนี้ แต่ว่า… เขาเองก็คงเต็มใจจะทำหละมั้ง

 

                “ค่ะ”   

 

 

 

ว่าแล้วเรนะก็ตัดเมล่อนและส่งให้จูรินะ จูรินะรับมาและยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเอาไปทางกระบะไม้ หยิบมันออกมา และปูฟางลงไปให้มากพอที่จะไม่ทำให้เมล่อนช้ำ

 

 

 

                จูรินะช่วยเรนะได้สักพัก ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตกใจเอาเรื่องที่เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ แต่เขากลับไม่ได้สนใจมันเลย เขาปัดมือกับกางเกงยีนส์ และหันไปคุยกับหญิงสาวที่ตัดเมล่อนมากว่าครึ่งแปลง แต่ยังดูท่าทางไม่ชำนิชำนาญขึ้นมาสักนิด

 

 

 

                “เดี๋ยวฉันไปก่อนนะคะ”   จูรินะขอตัว แม้จะอยากอยู่ต่อ แต่เขาก็มีภาระที่รอให้เขาไปจัดการเหมือนกัน    

            

                “ค่ะ”   เรนะตอบแบบไม่ได้มองหน้าหญิงสาว เพราะกำลังสงสัยกับอะไรหลาย ๆ อย่างตรงหน้า จูรินะยิ้มออกมาบาง ๆ

 

                “จะไปแล้วหรอครับ”   มิโนรุถาม จูรินะหันมายิ้มกับชายหนุ่มที่กำลังเดินเอาเมล่อนมาใส่กระบะไม้

 

                “ค่ะ ต้องไปเปิดร้านแล้ว”    จูรินะเดินไปทางประตูโรงเรือน ท่าทางเร่งรีบ   “แล้วตอนบ่าย ๆ เจอกันที่ร้านนะคะ เรนะซัง”

 

 

 

จบคำพูดนั้น เรนะถึงรู้ตัวว่าจูรินะออกจากโรงเรือนไปแล้ว และมีการย้ำให้ไปเจอที่ร้านอีก มิโนรุมองมาทางเรนะ เรนะก็หันมองพี่ชายของตัวเอง

 

 

 

                “ไปร้านของจูรินะซังมาแล้วหรอ”   มิโนรุถามสงสัย

 

                “อือ”   เรนะตอบรับสีหน้าเรียบเฉย

 

                “แล้ววันนี้ก็จะไปอีก”   อีกหนึ่งคำถามจากพี่ชายของเธอ แล้วตอนบ่าย ๆ เจอกันที่ร้าน ของจูรินะ มันจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นได้ยังไง

 

                “เธอชวนน่ะ”   เรนะตอบออกไปแค่นั้น มิโนรุขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะมองไปทางลังเมล่อนที่เก็บไปได้แล้วส่วนหนึ่ง   

 

                “งั้นฝากเอาเมล่อนไปให้จูรินะซังหน่อยสิ เขาอุตส่าห์มาช่วย”   เมื่อครู่จูรินะรีบออกไป มิโนรุเลยไม่ทันคิดว่าเขาน่าจะเอาเมล่อนให้จูรินะติดไม้ติดมือกลับไปเสียหน่อย

 

                “ทำไมไม่เอาไปให้เองล่ะ ยังไงพี่ก็ต้องลงไปที่ตลาดอยู่แล้ว”   

 

 

 

เรนะตั้งท่าจะปฏิเสธ เพราะเธอยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่า สรุปเธอจะไปร้านหนังสือของจูรินะดีมั้ย

 

 

 

                “ก็จูรินะซังชวนเราไปที่ร้านแล้วนี่ ไม่ไปจะดีหรอ”

 

 

 

มิโนรุถามแบบนั้น เล่นเอาเรนะถอนหายใจออกมาเลย ท่าทางเธอคงต้องไปจริง ๆ แล้วหละ

 

 

 

                “เดี๋ยวตอนฉันลงไปทีตลาด ติดจักรยานไปที่ท้ายรถด้วยแล้วกัน เพราะเดี๋ยวฉันต้องข้ามไปอีกเมือง กว่าจะกลับคงดึก ๆ เราคงต้องกลับเอง”

 

 

 

เรนะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ปั่นจักรยานกลับมาที่บ้านเองอย่างนั้นหรอ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เมื่อวานเธอเกือบเป็นลมระหว่างทาง นี่เป็นเหตุผลหลักเลยแหละที่ทำให้เรนะไม่อยากไปร้านของจูรินะ เพราะขากลับ… มันลำบากหนักหนาเอาเรื่อง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

…………………………..

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                มิโนรุยกจักรยานคันเก่าวางไว้ที่หน้าร้านหนังสือริมทางรถไฟ หลังจากนั้นก็ส่งถุงใบใหญ่ให้เรนะรับเอาไว้ ก่อนเขาจะขึ้นรถแล้วขับออกไป เรนะมองถุงในมือ ลมหน้าร้อนพัดมาวูบหนึ่ง ทำให้กระดิ่งลมหน้าร้านหนังสือส่งเสียงชวนฟัง

 

 

เรนะเอามือเกลี่ยผมไปทัดที่ใบหู และเดินเข้าไปในร้าน ยังคงเหมือนเดิม ร้านหนังสือที่ยังไร้ผู้คน มีเพียงแต่เจ้าของร้านหนังสือที่นั่งหน้าเครียดอยู่ตรงเคาเตอร์ พร้อมพิมพ์งานในโน้ตบุ๊กส่วนตัวจนไม่ได้รู้เลยว่า มีใครกำลังเข้ามาในร้าน

 

 

 

                “สวัสดีค่ะ”   เรนะทักทายตามมารยาท แม้จะเสียงไม่ได้ดังมาก แต่ก็ทำให้คนที่มีสมาธิอยู่กับอะไรสักอย่างสะดุ้งขึ้นมา เรนะเผลอหัวเราะกับท่าทางตกใจจนโอเวอร์ ก่อนจะพยายามหยุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าจูรินะเขินจนหน้าแดงไปแล้ว

 

                “ตกใจหมดเลย”   เขาพูดพร้อมจับหน้าอกซ้ายของตัวเอง ตอนนี้ใจของเขามันเต้นรัวไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะตกใจ หรือเพราะคนที่ทำให้เขาตกใจกันแน่   

 

                “มิโนรุฝากมาให้ค่ะ”    เรนะส่งถุงเมล่อนให้กับจูรินะ “ที่คุณมาช่วยเมื่อเช้า ขอบคุณมากนะคะ”

 

                “ไม่เห็นต้องลำบากเอามาให้เลย”   จูรินะพูดพร้อมยิ้มกว้าง และรับถุงเมล่อนนั้นไป ข้างในมีผลไม้ลูกกลมสีเขียวอยู่สองลูก  “แล้วนี่… พันธุ์อะไรคะ”

 

                “Andensu มั้งคะ ถ้าจำที่พี่ชายฉันบอกไม่ผิด”   เรนะมองจ้องคนที่ยังสนอกสนใจเมล่อนในถุงไม่เปลี่ยน    “เขาว่ากันว่าสายพันธุ์นี้ ถ้ากินติดต่อกันทุกเดือนเป็นเวลา 1200 เดือน จะอายุยืนไปอีก 100 ปีเลยนะคะ”

 

                “คะ”

 

 

 

จูรินะเงยหน้ามองเรนะ ก่อนจะคิดตามคำพูดนั้นของหญิงสาว ไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา เรนะยิ้ม ๆ กับเสียงหัวเราะของคนตรงหน้า เป็นคนที่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่น่ามองน่าฟังดีเหลือเกิน

 

 

 

                “ไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนตลกแบบนี้”   อยู่ดี ๆ มาพูดเล่นกับเขาแบบนี้ จูรินะดีใจเลยแหละ แสดงว่าเธอเองก็โอเคกับเขาใช่มั้ย จูรินะวางถุงเมล่อนไว้ที่เคาเตอร์ และหยิบหนังสือเล่มที่เมื่อวานแนะนำให้เรนะไปแล้วครั้งหนึ่ง ส่งมันให้กับหญิงสาว    “ลองอ่านดูนะคะ”

 

                “ค่ะ”   เรนะรับมันมา จูรินะชี้ไม้ชี้มือไปทางโต๊ะตัวเล็กริมหน้าต่าง เรนะพยักหน้ารับน้อย ๆ   “แล้วเมื่อกี๊คุณทำอะไรอยู่หรอ ถึงได้ไม่รู้ว่าฉันเข้ามาในร้าน”

 

                “เขียนอะไรนิดหน่อย”   จูรินะตอบเสียงเบา และหันไปมองโน้ตบุ๊กตัวเอง กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะบอกเรนะมากกว่านี้ดีมั้ย   “พอดี… ใกล้กำหนดส่ง แต่ยังทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง เลยต้องใช้สมาธิมากเป็นพิเศษ”

 

                “กำหนดส่ง”   เรนะทวนคำสงสัย

 

                “ฉันเป็นนักเขียนน่ะค่ะ”

 

 

 

จูรินะบอกแค่นั้นพร้อมรอยยิ้มตามแบบของเขา เรนะเลิกคิ้วเล็กน้อย หญิงสาวตรงหน้านอกจากเปิดร้านหนังสือแล้ว ยังเป็นนักเขียนด้วยอย่างนั้นหรอ หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่จูรินะรักร้านหนังสือร้านนี้ เพราะชีวิตเขาอยู่กับหนังสือ

 

 

 

                “ดื่มอะไรมั้ยคะ เดี๋ยวฉันเอาให้”   จูรินะตัดบทเรื่องนักเขียนของเขา เพราะเขาเองก็ยังอายเกินกว่าจะเล่ามันออกไป จริง ๆ เขาก็ไม่ค่อยชอบบอกให้ใครรู้ด้วยซ้ำ มันเป็นทั้งความภาคภูมิใจ และความเขินอายในทีที่เขาก็อธิบายไม่ถูก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ… เขาอยากจะหลีกเลี่ยงคำชมอย่างเช่น เก่งจังเลยนะ สุดยอดไปเลยนะ อะไรแบบนั้น ก็ฝีมือของเขา… มันยังเรียกแบบนั้นไม่ได้หรอก

 

                “ไม่เป็นไรค่ะ”

 

 

 

เรนะปฏิเสธและเดินไปที่โต๊ะเล็ก ๆ ริมหน้าต่างร้าน แดดจัดข้างนอกทำให้เธอตัดสินใจได้ทันทีว่าเธอควรอยู่ที่ร้านหนังสือนี้สักพัก ค่อยปั่นจักรยานกลับไปที่บ้านตอนที่แดดร่มลมตกไปแล้ว

 

 

หญิงสาวมองชื่อหนังสือที่จูรินะแนะนำมา ก่อนจะได้ยินเสียงพัดลมเพดาน เธอเงยหน้าขึ้นมอง จูรินะคงเป็นคนเปิดมัน กลับมาสนใจที่หนังสืออีกครั้ง พลิกดูด้านหลัง เพื่ออ่านคำอธิบายของหนังสือเล่มนี้

 

 

 

                “ชีวิตคนเราก็เหมือนดวงดาว แม้จะมีช่วงที่เคว้งคว้าง และไม่รู้หนทางข้างหน้า แต่สุดท้าย ทุกดวงดาวต่างก็โคจรไปตามเส้นทางของตัวเอง”

 

 

 

เป็นเพียงแค่คำโปรยสั้น ๆ แต่กระทบความรู้สึกของเรนะได้มากทีเดียว ชีวิตไม่เหมือนใบไม้ที่ถูกพัดพา แต่เป็นดวงดาวที่มีวงโคจรของตัวเองอย่างนั้นหรือ

 

 

คิดแบบนั้น ก็ได้แต่ยิ้ม รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเยาะเย้ยตัวเองในที ก่อนจะพลิกหน้าอ่านคำนำสำนักพิมพ์ทางด้านใน

 

 

เรื่องสั้นที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงวัยทำงาน ความรัก ความคิด การใช้ชีวิต …เนื้อเรื่องแบบนี้จะมีคนสนใจอย่างนั้นหรอ เรนะก็อยากจะรู้เหมือนกัน

 

 

 

 

 

 

                ไล่สายตาไปตามตัวอักษรของบทแรกอย่างเชื่องช้า รับรู้ถึงความรู้สึกนุ่มนวล และอ่อนโนภายในไม่กี่ประโยค เสียงกระดิ่งลมยังคงดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงจั๊กจั่นเรไรที่เริ่มขับขานบทเพลงแห่งหน้าร้อน แต่ดูเหมือนว่าเรนะจะสนใจหนังสือในมือของเธอมากกว่าอะไรไปทั้งสิ้น

 

 

แก้วเซรามิกถูกวางที่โต๊ะตรงหน้าของเรนะ เธอละสายตาจากหนังสือขึ้นมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม กลิ่นกาแฟหอม ๆ ลอยมาแตะจมูกจนได้

 

 

 

                “ไม่เห็นต้องลำบากเลยนี่คะ”   เรนะออกจะเกรงใจเจ้าของร้าน แม้จะรู้ดีว่าเขาเต็มใจจะทำก็เถอะ

 

                “ไม่เป็นไรค่ะ”

 

 

 

จูรินะตอบสั้น ๆ และเดินออกห่างจากเรนะไปช้า ๆ แต่สายตายังคงมองเธออยู่ ท่าทางที่ดูตั้งอกตั้งใจ สายตาที่ไล่ไปตามตัวอักษรในหน้าหนังสือ ใบหน้าด้านข้างที่จูรินะละสายตาไปไม่ได้ เขายิ้ม… และเดินกลับไปที่เคาเตอร์

 

 

ทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าเคาเตอร์ ในร้านหนังสือที่แสนเงียบสงบ มีเพียงเสียวแว่วของกระดิ่งแก้วยามสายลมพัดผ่าน แต่ความเงียบในวันนี้ ไม่ได้เป็นเหมือนทุกครั้ง มันไม่ได้… เงียบเหงา

 

 

มันกลับทำให้หัวใจของเจ้าของร้านรู้สึกวูบไหว และเต็มตื้น เหตุผลก็คงเป็นเพราะหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในร้านหนังสือ หญิงสาวที่จูรินะละสายตาจากเธอไปไม่ได้… สักวินาที

 

 

 

 

 

 

 

                เรนะอ่านจบบทแรก พร้อม ๆ กับแก้วกาแฟตรงหน้าที่พร่องไปเกือบครึ่ง เธอปิดหนังสือและยิ้มออกมา อ่านชื่อเรื่องซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะลุกไปหาเจ้าของร้านที่เธอเห็นว่าเขามองมาทางเธอ แต่พอเธอมองไปทางเขา เขารีบหลบไปอยู่หลังโน้ตบุ๊กของตัวเอง และทำท่าทางเคร่งเครียด

 

 

 

                “จูรินะซัง”   เสียงหวานใสที่เรียกชื่อเขาทำเอาหัวใจของจูรินะพองโตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขามองสบตากับลูกค้าเพียงคนเดียวของวัน

 

                “ว่ายังไงคะ”

 

                “ฉันอยากซื้อหนังสือเล่มนี้”    เรนะหันหน้าปกให้จูรินะดู เขายิ้มออกมา  

 

                “จะเอาเล่มใหม่หรือว่า…”

 

                “เล่มนี้แหละค่ะ”    เธอบอกและหยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อจ่ายเงินซื้อหนังสือ

 

                “ให้ใส่ถุงให้มั้ยคะ”

 

                “ไม่เป็นไรค่ะ”   เธอตอบรับและมองต้องเจ้าของร้าน    “ถ้าไม่ใส่ถุง จะลดให้ด้วยมั้ยคะ”

 

                “ลดค่ะ”    เขารีบตอบ และยิ้มกว้างกว่าเดิมกับคำพูดที่แล่นเข้ามาให้หัว   “ลดโลกร้อน”

 

 

 

เรนะหัวเราะออกมา หญิงสาวกับเสียงหัวเราะ จูรินะคิดว่าเขาโชคดีเหลือเกินที่รับช่วงต่อร้านหนังสือร้านนี้ จนทำให้เขาได้พบกับเรนะ

 

 

 

                “เอาคืนเรื่องเมล่อน”   เรนะพูดเป็นเชิงถาม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เธอชอบที่จะได้พูดคุยกับเขาเสียแล้ว แม้จะไม่ได้พูดคุย เธอก็เริ่มรู้สึกชอบบรรยากาศระหว่างเขากับเธออย่างช่วยไม่ได้

 

                “ค่ะ”   จูรินะตอบรับและหัวเราะออกมาน้อย ๆ ก่อนจะรับเงินค่าหนังสือจากเรนะ และหาเงินมาทอน    “คุณอ่านหนังสือเล่มหนึ่งประมาณกี่วันคะ”

 

 

 

คำถามจากเจ้าของร้านที่ยังวุ่นวายอยู่กับเก๊ะเก็บเงิน เรนะกำลังคิดว่าเขาถามไปอย่างนั้น หรือมีจุดประสงค์อย่างอื่น

 

 

 

                “ประมาณสองสามวันได้”    เรนะกะประมาณเอา ถ้าเป็นหนังสือเล่มที่อยู่ในมือเธอ จริง ๆ เธออ่านไม่กี่ชั่วโมงก็คงจบ ถ้ามิโนรุไม่ได้เรียกเธอเข้าไปช่วยทำไร่ทำสวนทั้งวัน

 

                “แล้วคุณจะอ่านเล่มใหม่มั้ยคะ ถ้าเล่มนี้จบแล้ว”   เขาส่งเงินทอนให้หญิงสาว อีก 2-3 วันเชียวหรือ กว่าเขาจะได้มีโอกาสพบเธออีกครั้ง หรือดีไม่ดี… อาจจะไม่ได้พบกันอีกเลยที่ร้านหนังสือแห่งนี้

 

                “ขอคิดดูก่อน”   เรนะพอจะเข้าใจความหมายในคำถามของคนตรงหน้า แสดงออกชัดเจนอยู่เหมือนกันนะ จูรินะ

 

                “แล้วจะกลับเลยรึเปล่า”

 

 

 

คำถามนี้ของจูรินะ ทำเอาเรนะต้องหันมองออกไปนอกหน้าต่างร้านหนังสือ แดดร่มกว่าตอนที่เธอเพิ่งมาถึงร้าน เธออาจจะกลับเลยก็ได้

 

 

 

                “คงอย่างนั้น”   เรนะตอบรับและหันกลับมามองหน้าเจ้าของร้านหนังสือ

 

                “ปั่นจักรยานกลับไป คงเหนื่อยน่าดู”   จูรินะเองก็รู้ข้อนี้ดี เพราะระยะทางจากร้านไปบ้านของเรนะไม่ใช่ใกล้ ๆ แถมเป็นทางขึ้นเขาอีก เขาเองก็เคยปั่นจักรยานไปมาเส้นทางนั้นอยู่บ่อย ๆ    “วันหลังถ้าคุณจะแวะมา ให้มิโนรุซังมาส่ง และให้ฉันขี่รถไปส่งที่บ้านขากลับก็ได้นะคะ”

 

                “รบกวนเปล่า ๆ”   ขี่รถไปส่ง เรนะทวนคำนั้นของจูรินะในใจ ก่อนจะมองจ้องคนตรงหน้าอยู่แบบนั้น ก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ว่า… มันอาจจะไม่ดีกับจูรินะในท้ายที่สุดน่ะสิ  

 

 

 

คำพูดนั้นของเรนะ ทำเอาจูรินะอยากจะตอบกลับไปว่า ไม่ได้รบกวนอะไรเลย แต่ทว่าความรู้สึกบางอย่างฉุดรั้งเขาเอาไว้ อาจเป็นเพราะแววตาของเรนะที่มองมาทางเขา บอกกับเขากลาย ๆ ว่า… อย่าเลย อย่าเพิ่งพูดอะไรแบบนั้นออกมา

 

 

จนเรนะได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากทางหน้าร้าน กลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมจากโรงเรียนใกล้ ๆ น่าจะเพิ่งเลิกกิจกรรมชมรม แต่ละคนสะพายไม้ลาครอสมาคนละอัน ทั้งหมดเดินเข้ามาในร้านหนังสือ ลูกค้ากลุ่มแรกที่เรนะเห็น นอกจากตัวเธอเอง

 

 

พอเห็นว่าเด็ก ๆ กลุ่มนั้นเข้ามาในร้าน และจูรินะคงต้องไปดูแล เธอเลยค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงบอกลา จูรินะพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปพูดคุยกับกลุ่มเด็กนักเรียน

 

 

 

 

                เรนะวางหนังสือลงบนตะกร้าหน้ารถจักรยาน มองเข้าไปในร้านอีกครั้ง จูรินะโบกมือให้เธอ และหันกลับไปแนะนำชั้นหนังสือแต่ละชั้น ก็มีลูกค้าเหมือนกันนี่นา เรนะยิ้มออกมาบาง ๆ

 

 

ขึ้นคร่อมจักรยาน และสูดหายใจเข้าเต็มปอด เรื่องยากต่อจากนี้ของเธอ คือปั่นเจ้านี่กลับให้ถึงบ้าน ส่วนเรื่องยากของจูรินะ… คงเป็นเรื่องความรู้สึกของเขา ที่มันอาจจะก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ คงจะเป็นเรื่องนั้น

 

 

 

 

………………………………………

 

 

 

TBC.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

=======================================

 

 

รอบนี้ลงเร็วหน่อยครับ

เพราะจะไม่อยู่หลายวัน

เดี๋ยวกลับมาจะรีบลงตอนต่อไปให้ครับผม

จูรินะออกตัวจีบแรงกว่าแดดประเทศไทยขณะนี้อีกค่ะ

น้องจูแสดงท่าทีชัดเจนมากค่ะ ล้อฟรีควันโขมงกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆๆๆ
แต่ดูเหมือนการจะเข้าไปอยู่ในใจเรนะคงยากอยู่นะ ดูเธอใจแข็ง
ส่วนพี่มิโนรุนี่ตั้งใจหรือเปล่านะ คงดูรู้ล่ะมั้งว่าจูสนใจน้องสาวเลยชงให้ซะเลย

ออกหน้าออกตามากค่ะ คุณเจ้าของร้าน
ส่งมาให้ทางนี้อ่านบ้างสิคะ อยากอ่านเหมือนกัน

บรรยากาศดูชนบทดีจัง ชอบๆ

ปักหลักรอเลยค่าาา

น้องจูล้อฟรีมากค่ะ ออกตัวแรงเวอร์ น่าตีจริงๆ เระก็อีกคน เค้าชวนก็ไปเนอะ ใจง่ายจริงๆ

อบอุ๊นอบอุ่น แบบนี้เรียกว่าจีบรึยัง

จงใจจีบมากค่ะ ฮ่าๆ แต่แปลกๆแฮะเหมือนเรนะไม่อยากจะตอบรับ….

บรรยากาศ​ดีจังเลยค่ะ บรรยายเก่งจังนึกภาพตามแล้วน่าเข้าไปอยู่มาก (จะไปอยู่บ้านข้างๆจูรินะ)

ที่เรนะไม่สนใจ ไม่ตื่นเต้นต่อการรุกจีบของจูเป็นเพราะเคยเจ็บช้ำอกหักรักคุดมาก่อนรึเปล่า หรือเคยถูกหลอก?
สาเหตุที่ทำให้คนเมืองที่ทำงานในไร่ไม่ได้เรื่องมาอยู่ชนบทถ้าไม่ใช่เรื่องสุขภาพก็อาจเป็นเรื่องนี้ก็ได้มั้ง (เดาค่ะ)