[SF] my heart หัวใจฉัน.. เป็นของเธอ (atsumina,kojiyuu,yuiparu) EP.2
ตัวละคร
อัตสึโกะ : เพราะรักถึงยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่รัก.. แม้สิ่งนั้นจะเรียกว่าการทรยศหักหลัง
มินามิ : ต้องทำยังไงถึงหนีพ้นความรักที่คอยตามหลอกหลอนกันให้หัวใจบอบซ้ำ มีคนเคยบอกว่าเวลาจะช่วยเยียวยา แต่ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับหัวใจที่เฝ้าเพ้อหาเธอ
ยุย : เพราะไม่อาจเข้าใจความรัก กลัวเหลือเกินหากตัวเองเกิดรักใครขึ้นมาจะเป็นดังภาพในความทรงจำที่ต้องเห็นคนสำคัญสูญเสียน้ำตาเมื่อถูกความรักทำร้าย แต่หัวใจกลับหวั่นไหวเมื่อพบกับนักเรียนใหม่ที่ย้ายโรงเรียนมา
พารุ : ความบังเอิญทำให้ได้พบ ครั้งแรกที่สบตาราวกับมีคลื่นสมุทรซัดเข้ากระทบชายฝั่งที่เคยแห้งเหือด หาทุกวิธีทางให้ได้เข้าใกล้รองประธานจอมเย็นชา
ฮารุนะ : ทั้งที่เชื่อใจแต่กลับหวั่นไหวกลัวใครคนนั้นทำให้เธอปั่นใจ แล้วเธอเองจะจัดการกับปัญหาอย่างไรเมื่อเพื่อนสนิทก็มีปัญหาให้กลุ้มใจพอกัน
ยูโกะ : หาทางช่วยเพื่อนสนิทออกจากความทุกข์ที่เป็นดังนรกบนดิน แต่ใครบางคนกับเริ่มสงสัยตีตัวออกห่างไปแล้วความเชื่อใจมีอยู่จริงใช่หรือเปล่า?
บทนำ
แสงสว่างจากโคมไฟที่ถูกเปิดทิ้งไว้พร้อมด้วยเสียงของเครื่องปรับอากาศดังขึ้นลงเป็นจังหวะบ่งบอกว่ามีคนกำลังใช้งานห้องอ่านหนังสือซึ่งเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นและห้องครัวของบ้านสไตล์โมเดิร์นสองชั้น ซึ่งค่อนข้างบอกฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวในชุดนักเรียนกลับเข้ามาจัดการถอดร้องเท้าเก็บใส่ตู้ก่อนสอดส่องดูหาคนภายในบ้าน
สาวตัวเล็กวัยทำงานท่าทางดูน่าเกรงขามนอนฟุบลงไปกับโต๊ะตัวยาวในห้องหนังสือที่เงียบกริบให้คนมาใหม่ยิ้มอ่อนใจและเดินไปนำผ้าห่มผืนบางมาคลุมไว้บนไหล่ของคนหลับ
“อัต..สึโกะ”
อีกแล้วกลับประโยคละเมอซ้ำๆ จะรู้ไหมว่าชื่อที่ออกมาจากปากของ ‘พ่อ’ จะมีผลต่อเธออย่างไร
‘แม่’ ที่ถูกพ่อตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงทรยศ คบใครไม่เลือกหน้า นอนกับชายชู้จนตั้งท้องลูกคนใหม่ ซึ่งทำให้พ่อเสียใจแทบบ้าทุรนทุรายหนีออกมาจากบ้านที่เคยอยู่อาศัยดันด้นมารักษาแผลใจอยู่กับเธอที่บ้านหลังใหม่ซึ่งไกลจากบ้านเดิมคนละทิศละทาง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครกลายเป็นผู้หญิงบ้างาน เก็บตัว ไม่สนใจรอบข้างแม้แต่จะดูแลตัวเองเพราะไม่อยากมีเวลาว่างมานั่งคิดถึงเรื่องของอดีตที่ผ่านมาจะหกเจ็ดปี
ไม่รู้ว่าตนเหม่อนานเท่าไหร่กระทั้งได้ยินเสียงงัวเงียของพ่อจึงต้องดึงสติกลับมา
“กลับมาแล้วหรอ”
“ทำไมมาหลับอยู่ตรงนี้ค่ะ พ่อ” แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมผู้เป็นพ่อถึงมานอนอยู่ตรงนี้ก็ยังอดแสดงความเป็นห่วงทางน้ำเสียงไม่ได้ เจ้าตัวก็คงจะโหมงานหนักอีกตามเคย ป่านนี้ไม่รู้จะทานข้าวหรือยัง กว่าเธอจะกลับก็ปาไปทุ่มกว่า
“เตรียมเอกสารว่าความพรุ่งนี้เพลินไปหน่อย”
อัยการพิเศษฝีปากกล้าเป็นอันดับต้นๆของสำนักงานอัยการเอกชนชื่อดัง ลงมือทำคดีกี่ครั้งก็ได้ชัยชนะมาใสๆ จนคนจ้างงานเข้ามาไม่ขาดสาย ดีตรงที่ไม่มีเวลาว่างมานั่งคิดเรื่องของคนในอดีตให้ปวดหัวใจ
ทาคาฮาชิ มินามิ คนนี้รักความยุติธรรมเป็นที่หนึ่ง ใครลองเข้ามาท้าทายจะโต้กลับไปให้เดินกลับบ้านไม่ถูกเลย ตอนนี้มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อ ยุย ดูจะติดนิสัยรักความยุติธรรมมาตั้งแต่เกิดเห็นใครเดือดร้อนปุ๊บยอมไม่ได้ต้องเข้าช่วยเหลือก่อนเลยเป็นอันดับแรก
บอกก่อนว่าเด็กคนนี้เกิดมาไม่เหมือนใครมีทั้งพ่อและแม่เป็นผู้หญิงทั้งคู่ เพราะได้หมอช่วยในผสมเทียมฝังตัวเข้าไปอยู่ในท้องของแม่จึงมีโอกาสได้ลืมตาดูโลก
ยุยไม่เคยน้อยใจ ไม่เคยมองว่าตัวเองแปลกแยกอะไร เพราะเชื่อเสมอมาตัวเองเกิดมาจากความรักของพ่อแม่ไม่ได้ต่างจากครอบครัวไหน แล้วจะไปคิดไปใส่ใจคำนินทาพวกนั้นทำไม แถมเดี๋ยวนี้สังคมเขาเปิดกว้างยอมรับกับเรื่องพวกนี้ได้เยอะขึ้น
“แล้วทานข้าวรึยังค่ะ” มินามิส่ายหน้าแอบยิ้มให้ลูกสาวที่ส่งสายตาตำหนิมาให้กับการที่ตนไม่ชอบดูแลตัวเอง
“จะสองทุ่มแล้วนะคะ ถ้าปวดท้องหนูงอนพ่อแน่” ยุยตีหน้าดุอย่างน้ำเสียงว่าก่อนเดินหายเข้าไปในครัว เนื่องจากถูกเลี้ยงดูกันมาเหมือนเพื่อนถึงได้สนิทกันมากเป็นพิเศษ
“รอสักครู่นะคะพ่อ ไปอาบน้ำ ทำตัวให้สบายรอหนูเลย”
คุณพ่อถึงกลับต้องหัวเราะขำแล้วเดินไปทำยังที่เจ้าตัวต้องการก่อนเสียงหัวเราะเมื่อครู่จะหายไปกลายเป็นรอยยิ้มเศร้าเมื่อนึกถึงเจ้าของหัวใจที่คอยตามมาหลอกหลอนกันทุกคืนวัน
นึกโกรธ นึกเกลียด นึกแค้น แต่ไม่เคยบอกหัวใจให้หมดรักคนที่เป็นอดีตได้เลย
“คนทรยศ” เธอรีบเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตลิ่ง ใครบอกเวลาจะเป็นตัวช่วยลบเลือน
ไม่เห็นจริงเลย เพราะยิ่งนานวันเข้าเท่าไหร่ ความเจ็บปวดของเธอมันยิ่งเพิ่มพูน
ไม่รู้ตอนนี้คนเคยรักกัน จะมีความสุขแค่ไหนกับการใช้ชีวิตครอบครัวใหม่ที่เขาเลือกเดิน
ผู้หญิงแพศยาแบบนั้น!! เขาไม่มีวันให้อภัย!!
‘Rrrr ’ เสียงโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดส่งสัญญาณเตือนเจ้าของเครื่องที่นั่งพักสายตาบนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นจนต้องหยิบขึ้นมาดู
เจ้าของเบอร์โทรที่โทรเข้ามาทำให้เขากดรับสายอย่างไม่รอช้า
“ฮัลโหล”
“….”
ปลายสายไม่ได้ส่งเสียงพูดออกมาจนเขาต้องลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความร้อนใจ
“ฮัลโหล เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
“ฮึก..” เสียงร้องสะอื้นจากทางนั้นเพิ่มความเครียดให้กับเจ้าของโทรศัพท์รุ่นใหม่ เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายนั้นโทรมาหาเธอด้วยอาการที่ดูไม่สู้ดี เธอกังวลจะเกิดเรื่องอะไรกับเพื่อนสนิททั้งปกติเป็นคนเก็บอารมณ์เก่งจะตาย
“เธอโอเคมั้ย ‘ อัตจัง’ อยู่บ้านรึเปล่า ฉันจะออกไปหา”
เธอได้ยินแค่เสียงขานรับในลำคอก็แทบไม่รอที่จะขับรถออกจากตัวบ้านเพื่อไปหาเจ้าของปลายสายที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงโทรมาร้องไห้ให้ฟัง ก่อนตัดสินใจกดเบอร์โทรหาใครบ้างคนที่หวังให้ช่วยไปรับลูกเมียแทนตนอยู่ที่สนามบิน
“โทรมามีอะไรให้ช่วยห๊ะ”
“พี่มาริโกะ วานไปรับฮารุนะกับพารุจังแทนเค้าหน่อย” เธอกรอกเสียงตามสายอ้อนพี่สาวญาติสนิทให้ไปรับคนรักกับลูกสาวที่สนามบินแทน
“โอเคๆ โชคดีนะวันนี้ว่าง ขอบอกคุณผู้จัดการก่อนว่า จะออกไปรับลูกเมียให้น้อง” เจอคำแซวเข้าไปคนถือสายถึงกับแอบเขินแต่มีหรือจะยอมลดราวาศอกให้ กล้าแซวมาก็กล้าแซวกลับเหมือนกัน
“ขอบอกคุณผู้จัดการหรือจะขออนุญาตแม่(ทุนหัว)ค่ะพี่สาว” เธอรู้ดีว่าระหว่างนางแบบคนดังกับผู้จัดการส่วนตัวที่สวยระดับดารามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
“ปากน่ะ เพลาๆบ้าง ไม่พูดก็ไม่มีใครว่า เดี๋ยวเถอะ” มาริโกะแกล้งส่งเสียงไม่พอใจใส่เจ้าของต้นสาย
“แค่นี้นะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิพี่ ไฟล์บินลงสี่ทุ่มนะ รายละเอียดเดี๋ยวพิมพ์ให้ในแชท”
ยูโกะพูดจบไม่ทันไรคนรับก็วางสายไปเฉยเลย สงสัยเพราะเสียงหวานหยดของคนผู้จัดการที่ดังเข้ามาในสายเมื่อครู่ ว่าอาบน้ำเสร็จแล้ว
หวานกันน่าดูเลยนะ พี่สาว
เธอเลี้ยวรถเข้ามาในบ้านของเป้าหมายที่เป็นบ้านสีขาวสองชั้นซึ่งถูกปิดไฟจนมืดสนิททำให้เธอกลับมากังวลอีกครั้งกับเรื่องของคนที่โทรหากัน เธอรีบจอดรถและวิ่งเข้ามาในตัวบ้าน จัดแจงเปิดไฟให้ห้องสว่างก่อนจะเห็นคนพึ่งโทรหานั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างโซฟา
“อัตจัง เป็นอะไร” เธอดึงเพื่อนสนิทเข้ามากอดปลอบประโลม เพื่อนเจ็บ เธอก็เจ็บ สงสารชีวิตของเพื่อนสนิทที่ต้องมาตกระกำลำบาก
“เขา..พะ พยายาม ข่มขืนฉัน.. ฮื่อๆ” เสียงพูดผสมเสียงร้องไห้แม้จะฟังยากแค่ไหนเธอก็ฟังออกและยังเผลอกำหมัดแน่น
เขาที่อัตสึโกะพูดถึงเธอรู้จักดี นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เจ้าของกิจการร้อยล้านที่พ่อของอัตสึโกะเลือกมาให้แต่งงานกับลูกสาว โดนการหนุนหลังทุกวิธีทางจะทำให้คนร้องไห้ในอ้อมกอดเธอยินยอมไปเป็นของนายนั้น
“ไม่ร้องนะอัตจัง”
แกกล้ามากที่ทำเพื่อนฉันแบบนี้ มันล้ำเส้นเกินไปแล้ว!
“ฉะ.. ฉันกัดเข้าไปที่แขนของเขาเต็มแรง ใส่เสื้อผ้าแล้วรีบหนีออกมา”
“แล้วจูรีจังละ” เธอถามถึงลูกสาวของอัตสึโกะที่ถูกทางบ้านนั้นจับตามองมากเป็นพิเศษ หรือง่ายๆก็คือ เอาไว้เป็นเครื่องต่อรองกับอัตสึโกะ
“ตอนนี้หลับอยู่ข้างบน ฉันพาแกหนีออกมา ฉันไม่ไหวแล้วยูโกะ ฮื่อๆ” เธอเข้าใจคำว่าไม่ไหวของเพื่อนเป็นอย่างดี ต้องหนีให้พ้นเงื่อมมือของปีศาจพรรค์นั้นถึงกี่ครั้งครอบครัวถึงจะยอมเข้าใจ ยังโชคดีแค่ไหนที่มีพ่อบ้านคนเก่าคนแก่ซื่อสัตย์กับนายหญิงคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ ไม่งั้นตอนนี้ไม่รู้ว่า ชีวิตของอัตสึโกะจะเป็นอย่างไร
ยอมไม่ได้ ไม่อยากเห็นเพื่อนต้องทนทุกข์ทรมานอีก อัตสึโกะต้องอดทนมากแค่ไหนเธอรู้ดี
“เธอไม่เป็นไรนะอัตจัง ฉันอยู่ตรงนี้ โอเคนะ” เธอลูบหลังของคนสะอื้นเบาๆให้หยุดร้อง เจ็บปวดเหลือเกินพอได้เห็นสภาพของเพื่อนสาว
ยอมทำทุกอย่าง… เพื่อปกป้องคนที่รัก…
แล้วเธอละ จะทำอย่างไรเพื่อคืนความสุขให้เพื่อนคนนี้ได้บ้าง??
ถ้าตอนนั้นเธอยังอยู่ เธอคงไม่ปล่อยให้เพื่อนกลายมาเป็นอย่างนี้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร แธอกลับมาแล้ว เธอจะหาทางดึงเพื่อนออกมาจากขุมนรกที่ทางครอบครัวเป็นคนผลักลงไป
ความรักของอัตสึโกะผิดอะไร ถึงได้ทำร้ายให้สองหัวใจต้องทนแบกรับความบอบช้ำมากขนาดนี้
……………………………………………………………………………………………
แอบเอาเรื่องใหม่มาแปะ ไม่รู้จะสนุกรึเปล่า 555+
เรื่องนี้มีตัวละครหลักสามคู่นะคะ เป็น SF ประมาณ 15 ตอน
ว้าวววว เม้นแรก!! 555 ผมบอกแล้วว่าจะติดตามๆ
ว้าวววว เม้นแรก!! 555 ผมบอกแล้วว่าจะติดตามๆ
ปักธงรอ
รอออออ!!!
สร้างบ้านรอเลยค่ะ><
มารอด้วยคนค่ะ ><
Ch.1 โรงเรียนใหม่
สาวร่างบางหุ่นนางแบบพึ่งกลับจากLAสดๆร้อนๆทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้าปรือตาขึ้นมองหาคนทำเสียงกุ๊กกักในห้องครัวสไตล์ลอฟท์ขาวดำราคาเฉียดแปดหลักตามรสนิยมเจ้าของบ้าน
“ยูจัง ทำอะไรอยู่ค่ะ”“ฮ้าว ลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่” คนพูดวางจานใส่อาหารใบสุดท้ายลงบนโต๊ะก่อนเดินมาปิดก็อกน้ำล่างมือแล้วเดินในชุดพากันเปื้อนไปหาร่างบางที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา
ใครจะรู้ว่าการทำแบบนี้จะเพิ่มความเซ็กซี่ให้อดีตนางแบบซุปตาจนคนมองแอบใจหวิว….อันตรายแต่เช้าเลย…..
“เมื่อครู่ยูจังทำอะไรอยู่ค่ะ” เธอถามย้ำพอยังไม่ได้รับคำตอบแน่นัด ทันได้เห็นสายตาแวววามก็ยกยิ้มพอใจ
แสดงว่าเธอยังมีเสน่ห์อยู่
แล้วดูมันจะใช้ได้ดีกับคนรักด้วย
“อาหารเช้าของเธอ ใครไม่รู้ตื่นสายสัญญากับลูกไว้แท้ๆ”เสียงช่วงท้ายกึ่งตำหนิคนรัก นัดกันไว้เสียดิบดีว่าจะไปฝากลูกเข้าเรียน… ที่ไหนได้คนลั่นวาจาดันตื่นสาย ต้องเดือนร้อนเขาไปจัดการเรื่องอยู่เนี่ย เกือบพาลูกไปส่งไม่ทัน ถ้าลูกสายตั้งแน่วันแรกนะ หึ
คนผิดเต็มประตูแกล้งเป็นไม่ได้ยินลุกเดินตัวปลิวเข้าไปในห้องครัวเมื่อกระเพาะน้อยๆส่งเสียงประท้วงขออาหาร ให้ยูโกะยืนทำหน้าอึ้งเดินตามคนรักเข้าไปคุยให้รู้เรื่อง ทว่าท่าทางที่นั่งลงโต๊ะกินอาหารพร้อมจับช้อนตักข้าวคำโตเข้าปาก มันน่ารักจนหมดอารมณ์บ่นไปชั่วคราว เห็นแล้วนึกด่าตัวเองอยู่ในใจกับนิสัยชอบใจอ่อน
“อร่อยรึเปล่า” เธอทิ้งตัวลงนั่งมองคนมีความสุขกับการกินอาหาร
“ยูจังน่าจะเปลี่ยนจากนักธุรกิจมาเป็นเชฟนะคะ” ฝ่ายนั้นหัวเราะคิกคักถูกอกถูกใจพลางเงยหน้ามองสบตาคนชั่งเอาใจ
ดูสิ จะเมนูไหนก็ของโปรดเธอทั้งนั้น แถมอร่อยจนน่าให้รางวัล
“ตอนนี้ก็เป็นอยู่รึเปล่า บริการพิเศษเฉพาะเธอกับลูกเท่านั้น” เคยเรียนทำอาหารมาก่อนทำไม่อร่อยก็ขอกัดลิ้นตัวเองตายดีกว่า คิดไปเองรึเปล่าว่ากำลังโดนเนียนเปลี่ยนเรื่องอยู่
ชั่งมันเถอะ
“ปากหวานอยู่เรื่อย จะจีบกันใหม่เหรอค่ะ”
“สำหรับเธอแล้ว.. จะให้หวานกว่านี้ก็ได้.. ”
“เลียน” ฮารุนะรวบช้อนส้อมมองหน้าคนชอบหยดชอบเอาใจ
“แล้วลูกเป็นไงบ้างค่ะ โอเคกับโรงเรียนมั้ย” นึกถึงก็กังวล พารุเป็นคนพูดไม่เก่ง
ตอนอยู่ LA มีเพื่อนไม่กี่คน แถมการย้ายโรงเรียนอย่างนี้ ไม่รู้จะมีปัญหาอะไรกับเพื่อนร่วมห้องใหม่รึเปล่า
ก็ใครเขาพาย้ายโรงเรียนกันกลางเทอมเล่า! ถ้ายูโกะไม่ติดต้องกลับมารับสืบทอดกิจการครอบครัว
เนื่องจากคุณพ่อท่านพึ่งเสียไปก็กะจะให้พารุอยู่ต่อมหาลัยที่ LA ซะก่อน“ลูกบอกไม่มีปัญหาหรอก โรงเรียนก็โอเค ฉันฝากผู้อำนวยการช่วยดูแลแล้ว”
“ยูจัง.. ”
“น่าๆ ลูกไม่เป็นไรหรอก” หวังให้เป็นอย่างนั้น แอบแวบๆไปดูสักหน่อยคงไม่มีใครว่าอะไร หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อย่างนี้
ห่วงและหวงลูกเป็นธรรมดายิ่งเป็นลูกสาวแล้วด้วย“ยูจัง..”
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ถ้ากังวลขนาดนั้น พรุ่งนี้เราแอบไปดูด้วยกันมั้ยล่ะคะ” เธอยืนมือจับมือคนรักส่งผ่านกำลังใจว่าไม่ต้องกังวลเรื่องลของลูกไปหรอก ลูกเองก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆอายุสองสามขวบแล้ว
“ก็ได้…”
“แล้วเมื่อวานยูจังมีเรื่องอะไรรึเปล่าค่ะ พี่มาริโกะถึงไปรับที่สนามบินแทน” ถามต่อถึงเรื่องคาใจ ไม่บ่อยนักที่คนรักจะยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้ ปกติไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรให้ตายยังไงก็จะมารับเธอ
“เพื่อนสนิทฉันน่ะสิ”“คนที่ยูจังเล่าให้ฟังบ่อยๆเหรอ?” ยูโกส่งยิ้มบางๆ
เธอกล้าเรื่องทุกอย่างให้ฮารุนะฟังแต่คงไม่ลงรายละเอียดมากเพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนสาว
“อื้ม เมื่อวานอัตสึโกะร้องไห้ มีปัญหากับทางบ้านอีกตามเคย” เธอเผลอกำมือแน่นเมื่อพูดถึงเรื่องชวนหงุดหงิดเกี่ยวกับคนที่เข้ามาตอแย่เพื่อนสนิท รู้ทั้งรู้ว่า ผู้หญิงเขาไม่เอาแล้วยังหน้าด้านอยู่ได้
“ฉันวางแผนจะพาเธอมาอยู่แถวนี้ด้วย มีอะไรจะได้ช่วยเหลือทันการ”
ผู้ชายฝ่ายนั้นยิ่งไม่น่าไว้ใจอยู่ เมื่อเช้าเลยขอให้คนแอบตามดูอัตสึโกะอยู่สักพักเพื่อทางนั้นจะเข้ามาทำอะไรเพื่อนเธอ
พ่อของทางเจ้าตัวจะว่าอย่างไรอีกนี้สิ ปัญหา..
ฮารุนะพยักหน้า พามาอยู่ใกล้ๆจะได้เป็นหูเป็นตาอีกแรง ได้ฟังเรื่องคราวๆมาจากคนรักก็น่าเห็นใจที่เพื่อนสนิทต้องมีสภาพอย่างทุกวันนี้ เธอแอบคิดว่าถ้าตัวเองเป็นฝ่ายนั้นจะทนสู้ถึงตอนนี้ได้รึเปล่า
รัก.. ที่มีไว้ปกป้อง
ดูเป็นความรักที่ใหญ่เหลือเกินนะ
แต่เธอก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี ถ้าต้องทำอะไรที่ฆ่าคนรักให้ตายทั้งเป็น
ไม่ได้หมดรัก แต่ถูกบังคับให้หมดรัก
ไม่แม้แต่จะเกลียดกันก็ต้องเกลียดกันจนมองหน้าไม่ติด
ทิ้งรักไปพร้อมทั้งหัวใจเป็นรอยแผล
มันจะทุกข์แค่ไหนกัน ความรักอย่างนี้
“ยูจัง เดี๋ยวฉันขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ”
เธอบอกให้เขาทำท่ารับรู้แล้วค่อยเดินขึ้นบนชั้นสอง
พูดถึงเพื่อนสนิท ลองโทรหาฝ่ายนั้นสักหน่อยดีกว่า ไม่ได้ยินเสียงกันมานาน ไม่รู้ว่าป่านนี้จะอาการดีขึ้นรึยัง
‘Rrrr’
‘Rrrr’
ใครโทรมาตอนนี้ว๊ะ!
ฝ่ายปลายสายที่กำลังนั่งจดจ่ออยู่กับเอกสารพอได้ยินเสียงโทรศัพท์เจ้าปัญหาก็แทบจับมันขว้างทิ้งทันที เพราะในเวลางาน คนอย่างเขาจะไม่มีทางแตะเครื่องมือสื่อสารใดเป็นอันขาด..ยกเว้นจะเป็นลูกค้าสำคัญ แน่ใจแล้วว่านั้นต้องเป็นธุระด่วนจริง
“ฮารุนะ” เจ้าของเบอร์เรียกเข้าทำให้คนตัวเล็กดูมีภูมิฐานเลิกคิ้วทั้งสองข้างด้วยความดีใจปนประหลาดใจ เพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานแรมปี โทรเข้ามา!
จะไม่รับก็ไม่ได้
งั้น..ขอถือว่านี้เป็นธุระด่วน
“ไฮ..คนบ้างาน”
“คำทักทายเหรอนั้น” มินามิส่งเสียงเขียวปัดเอาเรื่องเจ้าของสายทั้งที่ใบหน้ามีรอยยิ้มกว้าง
จำได้ตอนที่หัวใจถูกฉีกกระชากขาดจนไม่เหลือชิ้น ฮารุนะเป็นคนที่เข้ามาโอบประคองช่วยให้เขาตั้งตัวได้ใหม่
คำว่ามิตรภาพ ไม่เคยมีคำว่าจางหายกับเพื่อนของเขาคนนี้
“นี้ ตอนนี้ฉันกลับจาก LA แล้วนะ”
“จริงเหรอ!” โชคดีที่นี่เป็นห้องทำงานส่วนตัว ไม่นั้นคนในสำนักงานคงหยุดดูใบหน้าเปื้อนยิ้มของอัยการผู้เคร่งครึม ซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยยิ้มให้เห็นนอกจากแววตาที่ดูโศกเศร้าและใบหน้าที่ดูเรียบนิ่ง
“อื้ม ฉันพึ่งกลับถึงเมื่อวาน ขอจ้องคิวคุณอัยการคนดัง ออกไปดินเนอร์ด้วยสักมื้อได้รึเปล่า” เธอแซวอย่างสนุก ข่าวล่าสุดว่าเจ้าตัวพึ่งชนะคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของบริษัทนำเข้าอะไหล่รถชื่อดัง จนได้รับเชิญให้ไปสัมภาษณ์ออกอากาศผ่านทางโทรทัศน ซึ่งเป็นอันรู้ว่า คนอย่าง ทาคาฮาชิ มินามิต้องปฏิเสธแน่นอน
คุณอัยการเม้มริมปากมองดูตารางงานที่แน่นเอียดของตัวเอง
เอาไงดีนะ..
แต่เพื่อนมาทั้งที..
“ตกลง ขอเป็นเสาร์หน้าได้มั้ย วันนั้นดูท่างานจะไม่ยุ่ง พาสามีเธอกับลูกไปด้วย ฉันจะได้แนะนำลูกสาวฉันให้รู้จักกับลูกสาวเธอ”
ฮารุนะยิ้มนิดๆ เพื่อนเธอเป็นคนใส่ใจคนรอบข้าง โดยเฉพาะครอบครัว
เธออยากรู้นักใครเป็นผู้หญิงใจร้ายที่กล้าหักอก มินามิ
คนไม่เห็นคุณค่าความรักพรรคนั้น ไม่รู้เพื่อนเธอยอมแต่งงานด้วยได้ยังไง
สู้สามีเธอก็ไม่ได้ทั้งน่ารักทั้งเอาใจเก่ง
ไม่ค่อยจะยอคนของตัวเองเลยนะ ฮารุนะ
“ได้สิค่ะคุณอัยการ เธอเนี่ยดูจะจองตัวยากยิ่งกว่าดาราอีกนะ”
คนถูกทับถมหัวเราะชอบใจ เพื่อนเธอนิสัยไม่เปลี่ยนสักนิด ปากนี้คมยิ่งกว่ากรรไกร
“ฉันว่า ฉันยุ่งน้อยกว่าเธอตอนที่เป็นดาราแล้วกันน่า ตอนนั้นใครก็ไม่รู้ชอบมาโวยวายให้ฟังว่าไม่มีเวลาให้แฟน” เธอถึงขั้นหลุดหัวเราะกับเสียงโวยวายแหลมปี๊ดตามสาย “แค่นี้ละ คุณอดีตนางพญา”
เตรียมจะวางสายก็ยังไม่ลืมล้อฉายาในอดีตของเพื่อนสนิทที่ถูกเพื่อนในกลุ่มตั้งให้เป็นนางพญาแห่งแคทวอล์ค ใส่ชุดเดินแบบเมื่อไหร่รัศมีเฉิดฉายทุกที แถมตอนนั้นพ่วงตำแหน่งสาวฮอตประจำกลุ่ม คนเข้ามาขายขนมจีบไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อนเธอชอบเอาเธอตามไปเป็นโล่กำบัง ยิ่งเวลามีผู้ชายเข้ามาจีบ ฮารุนะจะสวมบทบาทนักแสดงแกล้งเป็นแฟนปลอมๆกับเธออยู่เรื่อย
นึกถึงอดีตดวงตาที่เคยพราวประกายก็พลั้นเศร้าหมอง ไม่เข้าใจความหอมหวานในรสรักที่ค่อยตามหลอกหลอนกันแทบทุกคืนวัน
เธอนั่งถอนหายใจจ้องมองโทรศัพท์เครื่องหรูในมือแล้วตัดสินใจว่างลงบนโต๊ะดังเดิม หากปล่อยให้ตัวเองว่างมากใจมันพาลแต่จะคิดถึงเธอ
“โครม” ไม่ต้องถามถึงสภาพของต้นเสียงที่เกิดขึ้น
นักเรียนเข้าใหม่ลงไปนั่งจุ้มปุ๊กกับพื้นพร้อมยกมือคลำสะโพกมนๆ ไม่ทันเห็นคู่กรณีที่มองมาด้วยสายตาเย็นเฉียบยืนเงียบไม่พูดจากำลังพิจารณาคนเดินชนเขาแล้วอิเหนาล้มเอง ใครมาเห็นได้คิดว่าเธอรังแกพอดี
ยัยซุ่มซ่ามเอ๊ย
“เป็นอะไรรึเปล่า” ในที่สุดคนถูกชนก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดพลางก้มลงเก็บเอกสารที่กระจายตกพื้นกลับมาในอ้อมกอดให้เรียบร้อย
เป็นครั้งแรกที่พารุได้สบตากับเจ้าของน้ำเสียงนิ่งๆ รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกเธอรีบลุกขึ้นยืนก้มหัวขอโทษ
อากาศคงร้อนเกินไปถึงได้หายใจลำบาก
“เอ่อ.. ขอโทษนะคะ” มั่วแต่มองทางอื่นไม่ทันดูคนบนทางเดิน รู้ตัวดีว่าตัวเองซุ่มซ่ามแค่ไหนแล้วยังไม่ระวังอีกนะ พารุ
“เธอนักเรียนใหม่ใช่รึเปล่า” ดูจากเครื่องแต่งกายที่ผิดแปลกกว่าชาวบ้านก็น่าใช่ คนนี้รึไง เด็กเส้นที่ ผอ. มาฝากให้ทางสภาช่วยดูแล ไม่คอยชอบใจยังไงก็ไม่รู้ แม้นี้จะเป็นโรงเรียนเอกชนก็ไม่ควรใช้เส้นสายมาเข้าเรียนอย่างนี้
“ค่ะ”
“งั้นตามมาทางนี้สิ ผอ.ฝากให้ทางสภานักเรียนจัดการชี้แจงรายละเอียดของอาคารสถานทีและรายละเอียดปลีกย่อยของโรงเรียนให้เธอฟัง”
“ค่ะ”
นึกไม่ออกว่าจะมีคำขานรับไหนที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ได้แต่เดินตามฝ่ายนั้นไปอย่างเงียบๆ ไม่รู้อกข้างซ้ายเป็นอะไรทำไมไม่เงียบตาม
ตื่นเต้น เธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะคุยกับคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก
“ขออนุญาตเข้าไปนะคะ” แค่พูดไปตามมารยาทเพราะรู้ว่าในห้องไม่มีคนอยู่ หลังจากที่แยกย้ายกันไปพักกลางเมื่อครู่
ยุยเดินเอาเอกสารวางไว้บนโต๊ะของประธานนักเรียนแลชำเลื่องมองคนเดินตามมาที่หลัง
“นั่งลงซิ เธอกินอะไรมาหรือยัง”
ถามแล้วไม่หันมอง เล่นเอาคนถูกถามหน้าเหวอ
แบบนี้ก็มีด้วยรึไง!
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ตอนนี้รู้จักโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน” ยังไม่สนใจหันมองหน้ากันสักนิด คนคนนี้ เป็นคนยังไงของเขาเนี่ย
“ไม่คิดจะแนะนำชื่อให้รู้จักหน่อยเหรอคะ” ใครว่าเธอเสียมารยาท ไม่มี๊
ก็เจ้าของชื่อไม่ยอมแนะนำตัวสักที จะไปเรียกกันถูกได้ไงเข้ามาถึงห้องนี้ทันใดก็มีแต่รั่วคำถามใส่ ไม่คิดจะพูดจาสร้างมนุษย์สัมพันธ์ก่อนหรอกหรือ
ยุยค่อยๆหันหลังไปสบตาเจ้าของคำทักทวงแล้วพยักหน้า
“ทาคาฮาชิ ยุย”
เป็นการแนะนำที่สั้นจนคนฟังแทบอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจว่าตัวเองมนุษย์สัมพันธ์แย่หรือคนตรงหน้ากันแน่ที่ไม่มี
“ฉัน โอชิม่า ฮารุกะ” มาไม้นี้ก็จัดให้ ฉันยิ่งได้รับฉายาว่า เกลือ อยู่ จะปล่อยพลัง(รัก)ใส่ให้ดู แล้วจะรู้ว่าใครแน่กว่ากัน
“แล้วตกลงเธอ รู้จักโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน” น้ำเสียงไม่มีตึงหย่อนลงแม้แต่น้อย ราบเรียบเสียจนคนฟังคิดว่าถูกฝ่ายนั้นโกรธชัดๆ เขาไม่มีอะไรจะพูดนอกจากเรื่องงานหรืออย่างไร มันน่าหาค้อนมาทุบหัวไอ้คนหน้าเหมือนแมวน้ำนี้ชะมัด
พึ่งเจอกันวันแรกดันตั้งฉายาให้เขาเฉยเลย พารุ
“ไม่นิ ท่านผู้นำอวยการบอกว่าให้เธอแนะนำไม่ใช่เหรอ”
กวนประสาท สิ่งแรกที่ยุยพึ่งนึกขึ้นได้แล้วเผลอค้อนอีกฝ่าย
“งั้นอย่างแรกเธอควรรู้ไว้ว่าสภานักเรียนของที่นี่ดูแลเบ็ดเสร็จทั้งเรื่องวินัยและกิจกรรมของนักเรียน ใครทำผิดกฎสภาสามารถลงโทษได้โดยยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากครูอาจารย์ ทั้งนี้ขอให้เธอจำและรักษากฏระเบียบของโรงเรียนอย่างเคร่งครัดด้วย แล้วในส่วนของเครื่องแต่งกาย แต่ละระดับชั้นจะใส่เนคไทต่างสีกัน”
นึกว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์รึไงห๊ะ คุณแมวน้ำ อธิบายได้ไรอารมณ์มากๆ เธอคิดว่าหุ่นยนต์ยังพูดได้ดีกว่านี้เยอะ
“ สีของเนคไทจะแบ่งเป็นสี่สี เขียวคือชั้นปีที่ 4 ฟ้าชั้นปีที่ 5 และน้ำตาล ชั้นปีที่ 6 ส่วนปีหนึ่งถึงสามใช้สีแดง แบ่งระดับโดยการติดเข็มกลัดที่มีตัวเลขหนึ่งถึงสาม” ยุยหยิบเข็มกลัดที่พูดถึงมาเรียงให้ดูบนโต๊ะ
เธอแอบสังเกตสักพักแล้วว่าอีกฝ่ายพอพูดถึงเรื่องงานจะกลายเป็นคนระคนกับบุคลิกปกติ พูดมากและชอบทำหน้าจริงจัง
“แล้วเข็มกลัดแบบที่ติดบนปกเสื้อของ ยุย ละ” ขอแอบตีเนียนสนิทเรียกชื่อจริงเขาเพื่อหาแนวร่วมในโรงเรียนใหม่ก่อน
เธอเปล่ากวนประสาทแมวน้ำหน้าตายนะ
ยุยส่งสายตาเขียวปัดชัดเจนว่า ไม่ได้รู้จักกันขนาดให้เรียกชื่อจริง
“ของสภานักเรียน!” น้ำเสียงหวนจัดรีบบอก “ไปเดินดูสถานที่เถอะ”
คนถูกตัดบทนั่งตัวแข็ง ตามอารมณ์คนหน้าเหมือนแมวน้ำไม่ทัน แค่เรียกชื่อแค่นั้น ไม่เห็นต้องโกรธกันขนาดนี้ด้วย
พอสบายกายก็มานอนอ้อนเชฟประจำครอบครัวอยู่บนโซฟาดูรายงานทีวีตลกประจำช่วงบ่ายเปิดเครื่องปรับอากาศภายในตัวบ้านให้ความเย็นกระจายอย่างสม่ำเสมอ
“ยูจัง” มือเล็กหยุดลูบผมของคนพลิกตัวกลับมาจ้องหน้า
“หืม”
“วันเสาร์หน้าว่างมั้ยค่ะ ฉันนัดเพื่อนกินข้าว” คนถูกถามกำลังนึกถึงตารางงาน แล้วปรากฏว่า ไม่ได้มีงานอะไรสำคัญ คงจะมีแวะไปหาเพื่อนสนิทตอนช่วงเช้า
“ว่างช่วงเย็นค่ะ ตอนเช้าจะแวะไปเยี่ยมอัตสึโกะ”
ชื่อเพื่อนสนิทของคนรักถูกเอ่ยอีกรอบ ไม่เคยมีวันไหนที่จะไม่ได้ยิน เห็นว่ากับฝ่ายนั้นสนิทกันตั้งแต่เด็กเพราะเมื่อก่อนยูโกะไปเล่นบ้านเขาบ่อย แล้วแบบนี้ใครจะกล้าอิจฉา ไม่อยากเป็นคนงี้เง่าหึงไม่เข้าเรื่อง เห็นรูปที่ยูโกะเอาให้ดูผ่านๆ
เธอเป็นผู้หญิงที่สวย น่ารัก ยิ้มเก่ง จนคาดว่าต้องมีคนหลงเสน่ห์รอยยิ้มนั้นบ้าง
“เหรอค่ะ ฉันจะได้โทรไปนัดเวลากับเพื่อนถูก”
“เพื่อนฮารุนะคนนี้ฉันรู้จักรึเปล่า”
“ถามอย่างนี้หึงเหรอ” เจ้าของคำถามหัวเราะชอบใจ รู้ว่ายังไงยูโกะไม่มีทางหึงเรื่องเธอกับเพื่อนแน่ๆ
เจ้าของตักดึงมือคนชอบหยอกขึ้นมาจูบซ้ำๆอย่างหมั้นไส้
“หึงค่ะ หึงมาก”
แอบสำรวจตรวจตาก็พบว่ามีเค้าลางอยู่หน่อยให้คนรับยิ้มแก้มปริก่อนนำริมฝีปากนุ่มกดลงบนแก้มเนียน
ง้อแล้วนะคะ แทนคำพูดหวานๆเธอชอบสื่อผ่านการกระทำ
“คนนี้ยูจังรู้จักค่ะ แต่ยังไม่เคยเจอตรงๆมั้งค่ะ” คิ้วสองข้างของคนตัวเล็กเริ่มย่นลงทำท่าคิดอยู่สักนิด ว่าเพื่อนฮารุนะคนไหนที่เธอรู้จักแล้วไม่เคยเจอ ก็จะมีแต่ตอนที่ย้ายครอบครัวจากถิ่นฐานเดิมไปอยู่ต่างประเทศ
“คนที่ฉันชอบพูดให้ฟังไงค่ะ”
“อ๋อ ที่ตอนนี้เป็นอัยการพิเศษแล้วอ่ะน่ะ”
“ค่ะ” เธอจำหน้าได้ล่างๆ ฮารุนะชอบล้อว่า เขาหน้าเหมือนเธอในบางมุม แต่ฝ่ายนั้นยิ้มน้อยกว่าเยอะ ทำตัวไม่น่ารักเท่าเธอหรอก ข้อหลังขอเข้าข้างตัวเองล้วนๆ
“ที่ชื่อ มินามิอะไรใช่มั้ย”
“คนนั้นละคะ วันเสาร์หน้ายูจังก็ได้เจอแล้ว”
คนรักเล่นพูดกรอกหูเกี่ยวกับกิตติศักดิ์คำลำลือของเพื่อนสนิทไว้เยอะซะจนเธออยากขอฝ่ายนั้นมารับตำแหน่งอัยการกิตติมศักดิ์ให้บริษัทบ้าง
เห็นเก่งไม่เบาเลยนินะ ดูจากผลงานล่าสุดแล้ว เธอยังพอใจกับฝีมือการว่าความของเขา นึกอยากลองเจอตัวจริงดูสักครั้ง
“ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอนะคะ”
ใครจะรู้ว่าจะมีเรื่องสนุกอะไรรออยู่…
คำว่าหมดแรงดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักเรียนใหม่ที่นั่งฟุบตัวลงกับโต๊ะเรียนหลังจากพึ่งหมดพักกลางวันหมาดๆ นึกไม่ถึงว่าการเดินดูอาคารเรียนจะใช้พลังงานเยอะขนาดนี้
มันจะไม่เหนื่อยเลยถ้าคนจากสภานักเรียนหน้าเหมือนแมวน้ำหันมาให้ความสนใจกันบ้าง ไม่ใช่เอาแต่พูดเรื่องงาน
“เธอ ฮารุกะซังสินะ” เจ้าของชื่อเงยหน้าจากโต๊ะมองคนทัก พอจำได้ว่าคราวๆว่าเจ้าตัวนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป
“เรียกว่า พารูรุก็ได้ค่ะ” ความจริงชอบให้คนเรียกชื่อเล่นมากกว่าชื่อจริงเพราะรู้สึกว่ามันเรียกง่ายดี
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ พารูรุจัง? ฉันชื่อ คาวาเอะ รินะ เพื่อนน่ะ ชอบเรียนฉันว่า คาวาเอ อยู่เรื่อย ฉันไม่ชอบมันเลย บอกให้เรียก รินะๆ ทุกคนก็ยังล้ออยู่ได้ สรุป ฉันเรียกเธอแบบนี้ได้ใช่มั้ย” พารุนั่งประมวลผลตามไม่ทัน ไม่เข้าใจว่าฝ่ายนั้นต้องการอะไรจากเธอกับถึงมาบ่นเรื่องของตัวเองแล้วไปๆมาๆกลับเข้าเรื่องได้แบบ… อะไรของเขา!
ไม่ใช่ว่าโรงเรียนนี้มีแต่พวกเพี้ยนๆหรอกนะ ตั้งแต่คนในสภานักเรียนที่เจอเมื่อเช้าแล้ว
“ได้สิค่ะ งั้นจะให้ฉันเรียกคุณว่า..”
“สุภาพเกินไปแล้ว พารุจัง…” มีการย่อชื่อให้เธอด้วย “เรียกฉันว่า รินะ แล้วก็ไม่ต้องสุภาพ พูดตามสบาย มีข้อสงสัยเรื่องเรียนตรงไหนถามได้นะ”
จบคำของคาวาเอะ รินะ ไม่ทันได้อ้าปากพูดเพื่อนโต๊ะอื่นในห้องก็วิ่งมารุมล้อมรอบตัวเธอ โต้เถียงโหกเหวกอะไรกันสักอย่างที่พอจับใจความได้ว่า อย่าถามคาวาเอะนะ ถ้ายังอยากเลื่อนชั้นอยู่
ห้องนี้มันอะไรกันเนี่ย!!
“เอะอะอะไรกัน”
ตอนแรกคิดว่า อจ. เดินเข้ามาในห้องที่ไหนได้…
!!!
มนุษย์หน้าแมวน้ำ!
ไม่น่าเชื่อว่าความโกลาหลเมื่อครู่จะกลับเขาสู่ภาวะปกติรวดเร็วซะจนมองตามไม่ทัน ก็เข้าใจอยู่นะว่า สภานักเรียนของโรงเรียนนี้มีอำนาจมาก แต่จำเป็นต้องกลัวกันขนาดนี้เลยหรือยังไง
โดยไม่ได้ตั้งใจเธอเผลอสบตาเข้ากับเจ้าของร่างเกือบจะอวบ เป็นอีกแล้วกับอาการหายใจไม่ออก หรือว่าโรคภูมิแพ้เธอจะกำเริบ ต้องบอกป๋ายูแม่ฮารุนะพาไปหาหมอหน่อยแล้ว
ยุยเบนสายตาออก
“นั่งที่กันได้แล้ว อีกสักพัก อจ.จะเข้ามา”
สิ่งที่ทำให้พารุตกใจจนมือไม้อ่อน คือ คนที่พึ่งหลบตาเธอกำลังเธอเข้ามานั่งโต๊ะว่างข้างๆที่เมื่อเช้าไม่มีคนนั่ง
อย่าบอกนะว่า..
“นั้นน่ะ ที่นั่งของยุยเขาละ เมื่อเช้าติดประชุมสภาไม่ได้เข้าเรียนหรอก” คาวาเอะหันมากระซิบบอกสิ่งที่ตรงใจเธออย่างมาก ราวกับอ่านใจเธอได้ว่าอยากรู้เรื่องของไอ้มนุษย์หน้าแมวน้ำนั้น
สรุปอยู่ห้องเดียวกันจริงๆใช่มั้ย!! อะไรโลกมันจะกลมขนาดนั้น
แล้วใครมันชั่งจัดที่นั่งให้ถึงจำใจต้องนั่งข้างกัน“ดูดีใช่มั้ยละ ภูมิใจนำเสนอเลยนะ ท่านรองประธานนักเรียนของโรงเรียนเรา”
จบคำพูดแสนภูมิใจในตัวเพื่อนของรินะ ฮารุกะถึงกับโตตา
คนแบบนี้นินะ รองประธานนักเรียน!!
ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่า ชีวิตในโรงเรียนใหม่ของเธอจะวุ่นวายมากกว่าเดิม
มาวันแรกก็ไปก่อกวน(หัวใจ)รองประธานนักเรียนเข้าให้แล้ว
…………………………………………………………………………………..
แอบมาแปะไว้ดึกๆ ไม่รู้มีใครรออ่านมั้ยน้าา
อิ อิ ครั้งหน้าเราจะเอาตอนพิเศษเรื่อง ตำนานแห่งเมืองหนาวลงให้น้า
สลับกันกับเรื่องนี้รอออออ!!!
ว้าว! เม้นแรกอีกแล้ว อยู่ดึกน่าดูเลยนะครับไรท์…เป็นกำลังใจให้นะครับ จะรออ่านตอนต่อไปอย่าใจจดใจจ่อเลย
คู่พ่อแม่นี่รู้สึกจะมาม่าหนัก แต่คู่ลูกนี่คงฮาหนักอะ สติแต่ละคน 5555
คุณรองประธานคุณจะขรึมไปถึงไหนคุณอย่าเนียนสิ
ที่จริงอาจจะยิ้มในใจก็ได้
พารุถ้าอยากเลื่อนขั้นอย่าฟังคำของเอ้555555
สงสัยเอ้จะฉลาดมากในห้อง555พี่ยุยเขินพารุหรือปล่าวน้าาา ทำเป็นนิ่ง
พารุเธอไม่ได้โรคกำเริบแต่เธอกำลังตกหลุมรักรองประธานนักเรียน 5555คุณรองประธานเย็นชาจังงง
พลุกวนเข้าไปค่ะ กวนเข้าไป
ให้มันรู้กันว่าจะทนเย็นชาได้สักกี่น้ำ
ท่านรองประธานมาดขรึมเชียว
พ่อแม่สองคนนี้คงต้องกินมาม่าเยอะสินะ
พารุตกหลุมรักรองประธานก็บอกมาตรงๆสิอ่า เพิ่งกลับมา มาเจอเรื่องนี้คือแบบ
พ่อแม่นี่มาม่าหนักมาก มินะรู้ความจริงเร็วๆเหอะ สงสารอัตสึ
ยุยจะขรึมไปไหน หนูพลุเค้าเครียดไม่รู้จะเข้าหาไงเลย
ขรึมได้ขรึมไป เค้าว่าแมวน้ำมันอยู่ในทะเลเค็มๆ เกิดมาคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกันหรอก 5555
มินะก็น่าสงสารต้องเจ็บเพราะไม่รู้ความจริง อัตสึนี้ยิ่งน่าสงสารรักแต่ต้องทำให้เกลียด
ไอ้ตัวผู้ที่บังอาจจะข่มขื่นอัต อิครอบครัวก็ไม่เข้าใจจะกีดกั้นทามไม บอมบ้านทิ้งดีไหมเนี้ย!! // อินเนอร์ล้วนๆ
Ch.2 เกมรุก??
เหนื่อยเหลือเกิน เจ็บเหลือเกินกับสิ่งที่ทำลงไป ตอนนี้เธอเดินมาไกลกว่าจะกลับไปแก้ไขอะไรอีกแล้ว สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงด้วยความปวดราวของสองหัวใจ ยังฝันถึงคืนวานแสนหวานที่ตรึงตรารวมกันเมื่อวันวาน
อยากให้เขาได้ฟังคำขอโทษจากคนเลวๆอย่างเธอสักคำ
“เหนื่อยรึเปล่าอัตสึโกะ” รอยยิ้มในความทรงจำตอนนี้ยังเฝ้าถามถึง เขาสบายดีมั้ย จะทำงานจนลืมดูแลตัวเองรึเปล่า ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะไม่สนใจเมื่อไหร่ที่มีข่าวคราวของคนที่อยู่ในหัวใจตลอดเจ็ดปีนี้เธอไม่เคยลืมที่จะติดตาม คิดถึงทุกช่วงลมหายใจ แล้วอย่างนี้จะลืมลงได้อย่างไร
เธอยิ้มตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จำได้ รับรู้ถึงความสุขใจเมื่อครั้งได้ตกอยู่ในห้วงความรัก ฝ่ามือเล็กอ่อนโยนทุกครั้งที่สัมผัสบนแก้มเธอเกลี่ยมันอย่างแผ่วเบาส่งผ่านอ่อนโยนจากฝ่ามือคู่นั้น
มินามิใช้เวทมนตร์อะไรกันถึงเจอหน้ากันไม่เคยจะสะกดคำว่าเบื่อคำว่าเหนื่อยเป็นเลย
“ไม่ค่ะ ไม่เลยสักนิด กลับมานานรึยังค่ะ หิวรึเปล่า” เธอรั่วคำถามใส่เขาชุดใหญ่สำรวจเครื่องแต่งกายที่เสื้อนอกถูกถอดไปเป็นที่เรียบรอย เขาเป็นคนที่แอบดูดีนะ เธอไม่ได้เข้าข้างนี้ความจริงล้วนๆ
“หิวตอนที่เธอถามนี้ละ วันนี้ทำอะไรบ้างคะ”
“ของโปรดมินามิค่ะ” คำเฉลยของแม่ครัวจำเป็นให้คนฟังแอบตื่นเต้น อัตสึโกะใส่ใจทุกรายละเอียดของเธอจริงๆ คบกันมานานแต่งงานมีลูกกับเธอคนนี้ไม่เคยลดความใส่ใจแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ จะไม่ให้เขารักเขาหลงได้อย่างไร
“ขอบคุณนะคะ” เธอดึงคนรักเขามากอดด้วยความดีใจ เห็นอาหารบนโต๊ะกับข้าวที่สุดที่รักอุสาตั้งใจทำให้ก็ดีใจจนกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่
ยอมรับว่าเธอเป็นคนขี้แย่ แต่เฉพาะกับคนที่มีความสำคัญต่อความรู้สึกของเธอเท่านั้น
ไม่เคยลืมเลยรึไงว่าเธอชอบอะไรบาง เกลียดอะไรบาง แต่ว่านะนิสัยอีกอย่างของคนรัก เป็นคนที่ชอบดูแลตัวเอง ฉะนั้นถึงจะรู้ว่าเธอไม่ชอบกินผักหรืออะไรก็ตาม เจ้าของหัวใจคนนี้ก็จะหาทางทำให้เธอกินมันคู่กับอาหารอื่นๆให้ได้
อย่างวันนี้ เธอเห็นนะว่ามีมะเขือเทศของโปรดของคนรัก แต่ไม่ได้โปรดปานสำหรับเธออยู่ในจานอาหาร..ถึงมันจะถูกแปรรูปเรียบร้อยแล้วก็เถอะ..
น่าจะพอกินได้นะ
อัตสึโกะเห็นสีหน้าของคนรักก็หัวเราะอย่างรู้ทันกอบกุมมืออุ่นๆคู่นั้นมานั่งกินข้าวข้างกันบนโต๊ะอาหาร แอบดีใจอยู่ลึกๆว่ามินามิเห็นความสำคัญของเธอ ชอบกลับมากินข้าวเย็นพร้อมกันทุกวัน แม้วันนั้นจะมีงานยุ่งก็ตามเขาจะรีบจัดการมันจนกลับมาทันมื้อเย็นทุกครั้ง เขาไม่เคยลืมสัญญาที่บอกไว้ครั้งเมื่อแต่งงานว่าจะทำให้เธอมีความสุขทุกวันที่อยู่ด้วยกัน เธอไม่เคยต้องรอวันวาเลนไทน์ เพราะทุกวันของเธอกับเขาคือวันแห่งความรัก
“กินนะคะ” เธอใช้สายตาอ้อนเขากับสิ่งไร้ชีวิตที่เรียกว่ามะเขือเทศในซ้อมที่เธอจิ้มไปจ่ออยู่ที่ปากเมื่อเห็นท่าทางไม่ยอมกินสักที
“ไม่กินไม่ได้หรอค่ะ” มินามิเป็นคนชั่งต่อรองแต่รู้สึกหมดอำนาจก็ตอนเจอลูกอ้อนของอัตสึโกะนี้ละ
ผ่ายแพ้ราบคาบอย่างสิ้นเชิง
“มินามิ..”
“กินก็ได้ค่ะ” เธออ้าปากกว้างพอฝ่ายนั้นใช้น้ำเสียงเซื่องซึม เจ้ามะเขือเทศสีแดงที่ได้รับการแปรรูปจึงเข้ามาอยู่ในปากของคุณอัยการร่างเล็กที่แม้จะไม่ชอบกินก็พยายามเคี้ยวแล้วกลืนลงคออย่างยากลำบากก่อนจะยิ้มหวานให้คนนั่งข้างกัน
“เก่งมากค่ะ” จะมีวันไหนไหมนะที่อัตสึโกะทำให้เธอยิ้มไม่ออก นิ้วเรียวของอีกฝ่ายลูบแก้มเธอเบาๆเป็นรางวัลปลอบใจที่ยอมกินเจ้ามะเขือเทศตัวปัญหาลงท้อง
ชอบแกล้งกันอยู่เรื่อยเลยคนนี้เนี่ย
มินามิหันหน้าให้ริมฝีปากสัมผัสนิ้วอัตสึโกะเบาๆ ยั่วกันดีนักเจอเอาคืนบ้างเป็นยังไงละ
เห็นสีหน้าแดงๆจากอีกฝ่ายก็ได้แต่หัวเราะชอบใจ
อัตสึโกะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ในชีวิตนี้เขาคิดจะรักกว่าจะตามจีบได้ง่ายๆที่ไหนเล่า คนนี้เขายิ่งเล่นตัวเก่งอยู่ จำได้เจอสมัยฝึกงานก่อนเรียนจบ อัตสึโกะมาขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีเรื่องที่ดินของเพื่อนสนิทด้วยความที่เป็นแค่เด็กฝึกงานก็ได้เป็นคนนำทางไปพบเจ้านาย ไปๆมาๆก็ยังแอบงงว่าตนเผลอชอบลูกความของเจ้านายตอนไหน หลังๆมาได้ถึงมีข้าวกล่องสดใหม่ติดมือมากินทุกวันฝีมือคนทำก็แม่ครัวคนนี้ น่ารักเสียไม่มี เธอจบมาได้สองปีก็ขอฝ่ายนี้แต่งงานจนกระทั้งอยู่กินกันมาจนถึงปัจจุบัน
“ไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ มินามิ “ เสียงเรียกของฝ่ายนั้นแฝงความหวงใยให้กันเสมอ ไม่เคยเลยที่จะปฏิเสธคำขอร้องแสนหวานของคนรักได้ เข้าใจว่าอัตสึโกะต้องการให้เธอผ่อนคล้าย สบายตัวที่สุด
“ค่ะ” จุมพิตหอมหวานที่ประทับบนแก้มสร้างความอายเล็กๆให้เธอยกยิ้มแก้เก้อ
“รีบตามขึ้นไปนะคะ”
จำได้ว่าเธอรีบวิ่งไปอาบน้ำตามที่คนรักบอกเพราะไม่รู้ว่าอยู่นานจะถูกเอาเปรียบอะไรอีกรึเปล่า ไม่รู้เลยว่าสายตาหวานคู่กำลังมองตามด้วยความโศกเศร้า
อยากให้มินามิรู้ว่า อัตสึโกะคนนี้ยังมีความลับที่บอก มินามิไม่ได้
ทาคาฮาชิ มินามิ เป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นความหวัง เป็นแสงสว่าง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ถ้าเธอเลือกย้อนกลับไป เธอขอให้ตัวเองกับมินามิไม่พบกัน
เพราะทุกคงไม่จบลงด้วยความเจ็บปวด ชีวิตที่แสนสวยงามไม่มีอยู่จริง
เธอสมควรแล้วกับคำว่าเกลียด เธอมันไร้ค่าเกินกว่าจะให้เขามาแตะต้องคนอย่างเธอ
ความรักของมินามิมันหอมหวานเกินไปแมลงร้ายถึงจ้องทำลายมัน
ทุกอย่างมาถึงทางตันเธอจึงสร้างหนทางใหม่ขึ้นมาปกป้องเขาจากคมดาบ
แม้ต้องทำร้ายตัวเองและคนของหัวใจก็ตาม..
“มามี้” แรงกระตุกชายเสื้อครั้งที่สามเรียกสติเธอกลับมาก่อนอุ้มเด็กสาวหน้าตาน่ารักขึ้นมาไว้บนตัก แอบพาหนีออกมาจากที่นั่นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา บ้านหลังเธอซื้อใหม่ขายบ้านหลังเก่าทิ้งไปหลายปีตั้งแต่ที่ถูกบังคับให้อยู่บ้านใหญ่ นอกจากยูโกะเพื่อนสนิทเธอไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่ามีบ้านหลังนี้อยู่ แต่ไม่รู้มันจะอยู่ปลอดภัยได้อีกกี่วันเมื่อคนในครอบครัวนั้นไม่มีทางปล่อยเธอง่ายๆ เรื่องจะสืบหาที่อยู่เธอมันไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย
“เรียกมามี้มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“หนูหิว..”
“รอแปบนึงนะคะ เดี๋ยวมามี้ไปทำกับข้าวให้”
“ไม่เอามะเขือเทศนะคะ” คำพูดเลิกลันของลูกสาวทำให้เธอหลุดขำ ทำไมไม่ชอบกินมะเขือเทศนะ ทั้งที่มันอร่อยจะตาย แล้วแบบนี้เธอจะลืมลงได้อย่างไร
“แล้วไหนบอกอยากสวยเหมือนมามี้ค่ะ ไม่กินแล้วไม่สวยนะคะ”
“ก็..หนูไม่ชอบ” เธอหัวเราะคิกกับคำยืนยันที่ไม่ยอมกินง่ายๆของลูกสาว แต่เธอก็มีวิธีที่จะทำให้เด็กคนนี้กินมะเขือเทศได้โดยง่ายละน่า
“ไปค่ะ ลงไปข้างล่างกัน” มือเล็กคู่นั้นเอื้อมมาให้เธอจับจูง ณ เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าลูกอีกแล้ว เธอเลือกจะปกป้องเขาแม้ต้องยอมทิ้งทุกอย่างที่เคยมีอยู่
“พรุ่งนี้หนูไปโรงเรียนได้แล้วใช่มั้ยค่ะ” เสียงหวานปนเศร้าของลูกสาวถามเธออย่างไม่แน่ใจ เป็นความผิดของเธอที่ให้ลูกหยุดเรียนไปทั้งอย่างนั้น โทรแจ้งโรงเรียนว่าลูกไม่สบาย ความจริงแล้วหาใช่อื่นแค่เธอพาลูกสาวหนีออกมาจากบ้านใหญ่ ไม่ต้องการให้ใครตามตัวพบ ฉะนั้นเรื่องการไปโรงเรียนจึงต้องถูกยุติไปโดยปริยาย
อัตสึโกะหยุดเดินก่อนถึงหน้าห้องครัวเธอย่อตัวลงเท่ากับลูกสาวจับสองมืออุ่นมาประคองไว้พร้อมส่งยิ้มให้
“มามี้ขอโทษนะคะจูรีจัง แต่ตอนนี้มามี้ยังให้หนูไปโรงเรียนไม่ได้ อีกสองสามวันมามี้จะทำเรื่องย้ายโรงเรียนให้หนู” เธอเกริ่นๆดูกับเพื่อนสนิทให้คิดหาทางช่วยพาลูกสาวออกจากการจับตามองของบ้านใหญ่ จูรีไม่ได้เด็กเกินไปที่จะทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เธอเข้าใจดีว่าลูกสาวต้องมีคำถามมากมายว่าทำไมตัวเขาถึงอยู่ที่นั่นไม่ได้แต่เด็กสาวยังเลือกไม่ถามเธอนอกจากการพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่เธอบอกทุกอย่าง
“มามี้ ตอนนี้มีความสุขมั้ยค่ะ” นัยน์ตาเธอสั่นไหวควบคุ้มสติให้สร้างกำแพงป้องกันความอ่อนแอขึ้นมาก่อนจะแสดงมันให้ลูกเห็น เธอต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งเพื่อปกป้องเด็กคนนี้
“แน่นอนสิค่ะ”
“ถ้ามามี้มีความสุข หนูก็มีความสุขนะคะ” ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของลูกสาวจะทำให้เธอแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่แขนเล็กๆของลูกโอบกอดเธอด้วยความอ่อนโยนสื่อความหมายว่าลูกรักและพร้อมที่จะอยู่รับการตัดสินใจของเธอ
มามี้ขอโทษนะคะที่ต้องให้หนูเกิดมามีชะตากรรมอย่างนี้ ทั้งที่.. ควรจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแท้ๆ
เช้าอีกวันที่ท่านรองประธานนักเรียนของเราใช้เวลาอย่างคุ้มค่ารีบตื่นขึ้นมาจัดการหน้าที่ภายในบ้านจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงแต่งตัวไปโรงเรียนเฉกเช่นเดียวกับคุณพ่อร่างเล็กที่เตรียมตัวออกไปทำงาน
ยุยชอบมองภาพของผู้ให้กำเนิดให้ชุดสูทเดินลงจากบันไดชั้นสองของบ้านมือถือกระเป๋าทำงานสีดำสนิทที่บรรจุเอกสารสำคัญของคดี เหมือนในบ้านมีบอการ์ดเลย ปะป๋าเธอใส่ชุดอย่างนี้ดูดีมากขนาดเป็นผู้หญิง
“ให้ไปส่งมั้ย” มินามิยื่นข้อเสนอพร้อมควงกุญแจในมืออย่างชำนาญ นานเหมือนกันที่ยุยขอไปโรงเรียนเองจนเขาแอบเสียดายที่ไม่ได้เห็นลูกสาวเดินเข้าโรงเรียนเหมือนเมื่อก่อน
“วันนี้ไม่รีบเข้างานเหรอคะ” ต้องเรียกว่าไม่เห็นท่าทางผ่อนคล้ายยามเช้าแบบนี้มานานแล้วมากกว่า ปกติตื่นมาคุณพ่อออกจากบ้านก่อนเธอเกือบตลอด มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นกับปะป๋าหรือเปล่านะ
“ไม่มีงานสำคัญน่ะ เหลือแค่สรุปคดีนิดหน่อย ตกลงไปกับพ่อรึเปล่า” ยุยลังเลสักพักก่อนพยักหน้ารับ ได้นั่งรถไปกับปะป๋าก็สบายเหมือนกันเพราะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคุณหนูอย่างไรอย่างนั้นแถมยังไม่ต้องยืนเบียดเฉียดกับผู้คนบนรถบัสเช้าๆ
รถยุโรปสีดำเคลื่อนออกมาจากรั่วบ้านสไตล์โมเดิร์นสองชั้นผ่านไปตามถนนหนทางของหมู่บ้านจัดสรรใกล้เคียง ยุยนั่งมองทิวทัศน์ข้างด้าน ชอบบรรยากาศยามเช้าสบายๆมีแดดหน่อยๆไม่ร้อนจัด เสียอย่างเดียวคือจำนวนรถที่มากเพราะทุกคันต่างเร่งรีบไปทำงานจนบ้างวันเธอก็เบื่อ พอเสาร์ – อาทิตย์ทีไรถึงไม่อยากออกไปไหน เกลียดชีวิตที่แสนจะวุ่นวายรอบๆตัวเอง ในโรงเรียนก็มีไม่กี่ที่ที่เธอจะได้อยู่สงบ
รถของมินามิจอดติดไฟแดงอยู่นานเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไปคนเป็นพ่อเลยชวนคุย
“เสาร์หน้าไปไหนมั้ยยุย” คนถูกถามมองกลับเข้ามาในรถ ไม่แน่ใจกับคำถามนึกอยู่นานแล้วค่อยๆเปิดปากบอก
“ไม่นะคะ พ่อมีอะไรรึเปล่า”
“จะชวนไปกินข้าว เพื่อนพ่อมา จำได้มั้ยที่เคยเล่าให้ฟัง น้าฮารุนะน่ะ” เพื่อนสนิทของปะป๋าที่เคยบอกว่าเป็นอดีตนางแบบน่ะหรือ คนนี้คือสาเหตุที่ทำให้ปะป๋าดูสดชื่นกว่าทุกวันรึเปล่า พ่อคงดีใจมากที่ได้เจอเพื่อนเก่าหลังห่างหายไปนาน
ยุยยิ้มยินดีกับการที่พ่อของตนดูมีความสุขมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
“หนูต้องไปด้วยอยู่แล้วค่ะ” พูดก็พูดเถอะ ปะป๋าดูไม่มีความสุขมาตั้งนานแล้วพึ่งจะเห็นตอนนี้ละที่ปะป๋าดูดีที่สุด อยากให้ปะป๋ามีความสุขแบบนี้ทุกวันจังเลยนะ
เธอก็ได้แต่ภวนาทั้งที่ความจริงไม่มีทางเป็นไปได้เมื่อคนที่ขึ้นชื่อว่าแม่ยังมีความสำคัญต่อความรู้สึกของพ่อเสมอ
รถของปะป๋าจอดเทียบท่าอยู่ด้านข้างโรงเรียนเธอยิ้มขอบคุณแล้วเข้ากอดคุณพ่อเป็นการลาก่อนลงจากรถ คนในโรงเรียนบอกว่าเธอเป็นคนเย็นชา นั้นแค่หน้ากากบังหน้าเพราะเธอไม่ต้องการสนิทกับใคร เธอจะแสดงด้านอ่อนโยนออกมากับใครใกล้ตัว ครอบครัวถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด.. อีกอย่างคือเธอกลัว ‘ความรัก’
ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี แต่เธอไม่พร้อมที่จะมีมัน ก็เห็นๆกันอยู่ว่า สภาพของปะป๋าตอนนี้เป็นยังไงหลังอกหัก…
“ยุย นี้ลูกคุณหนูชะมัด มีคนมาส่งแหนะ” เสียงของนักเรียนผิดวินัยประจำ คาวาเอะ รินะ บังคับสายตาเธอตวัดมองไปอย่างอัตโนมัติ
‘วันนี้ไม่สาย’ สาบานได้เป็นสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในสมองเธอขณะที่สายตาสำรวจตัวอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ผิดวินัย ไม่ใช่ว่าฝ่ายนั้นแต่งตัวไม่เรียบร้อยอะไรหรอกแต่ชอบมาสายจนเธอยอมแพ้ที่จะบอกให้แก้ไข เพราะถึงบอกไป…
คาวาเอ้ ก็จำไม่ได้
“ฉันแน่ใจว่าวันนี้ฝนจะตก”
“ไม่นะ พยากรณ์อากาศเมื่อเช้าบอกไว้ วันนี้อากาศแจ่มใสร้อยเปอร์เซ็นต์” ยุยลอบถอนหายใจไม่เข้าใจใครเป็นคนจัดห้องเรียนให้ถึงได้เอาคาวาเอ้มาไว้ห้องเดียวกับเธอ
ความสงบหายเกลี้ยง
“ฉันไม่มีเวลามาคุยด้วยหรอก เดี๋ยวต้องเข้าสภาแล้ว”
“เธอนิจริงจังไปไหน ฉันหิวข้าว” ยุยกำลังจะอ้าปากถามว่า แล้วไง มันเกี่ยวกับเธอตรงไหนมิทราบก็ไม่ทันเมื่อคนที่พึ่งจะบอกว่าหิวเข้ามาลากเธอไม่ฟงไม่ฟังอะไรเลย
ยัยเพี้ยนนี้!!
“หยุด ฉันต้องเข้าสภาไม่มีเวลามานั่งกินข้าวเป็นเพื่อน” เธอกระตุกแขนคนนำจนฝ่ายนั้นยอมหยุดหันหน้ากันด้วยความทะมึนตึง เธอมีงานในห้องสภาแท้ๆทำไมคาวาเอ้ชอบมาก่อกวนเธอเนี่ย
“งั้นฉันไปนั่งกินข้างใน” ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ทำท่าจะวิ่งเข้าห้องสภา นั้นมันที่ส่วนตัวเว้ยย
ยุยแสยะยิ้มที่มุมปากใช้ประโยคที่เหมือนจอมมารหยุดคาวาเอ้ได้ง่ายๆ
“ความผิดของคาวาเอะ รินะ มาสาย แอบหลับในห้องเรียน ชวนเพื่อนด้านข้างคุย ถูกหักคะแนนความ..อู้อี้ๆ”
“พอ! ไม่กวนแล้วก็ได้” เธอปล่อยมือออกจากคนที่ดิ้นขออากาศหายใจแล้วผลักตัวออกไปพ้นคำด่าใส่
“ไอ้เพื่อนบ้า! ฉันหายใจไม่ออกนะ” ใครจะรู้ความจริงไหมว่า คาวาเอ้มันเพื่อนสนิทเธอตั้งแต่มัธยมต้น อุสาช่วยเคี่ยวเข็ญจนขึ้นมัธยมปลายได้สำเร็จ นึกว่าจะได้หลุดพ้นจากกันที่ไหนได้ ตามติดยิ่งกว่าปิง
“รีบไปทำงานเถอะวะคะ ไอ้คุณรองประธานนักเรียน ฉันไปชวนพารุจังกินข้าวเป็นเพื่อนก็ได้” ชื่อของคนไม่คุ้นทำให้ยุยเผลอกดคิ้วลงด้วยความสงสัย ไม่พ้นสายตาของคนชั่งสำรวจอย่างคาวาเอ้หรอก
“อะไรๆหน้าตาแบบนั้น ไม่รู้จักพารุจังหรอ โอชิม่า ฮารุกะไง”
ยัยนักเรียนย้ายใหม่!
“ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องสนใจนิหน่า ไปละ รีบไปทำงาน” ยุยแกล้งทำเนียนตีหน้านิ่งผ่านไปทั้งที่ในใจก็สงสัยว่าสองคนนี้ไปทำความรู้จักสนิทกันตอนไหน
คาวาเอ้บอกได้คำเดียวว่า โครตขี้เก๊ก!!! แอบสนใจสาวเขาละสิ ไอ้คุณรองประธานนักเรียน
ห้องเรียนยังคงด้วยเสียงพูดคุยกันของสาวมัธยมปลายที่จับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน พารุที่ยังไม่ค่อยรู้จักใครมากถูกคาวาเอ้เข้ามาลากออกมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจคนประหลาดที่มาชวนกันไม่รอฟังคำตอบลากเอาร่างบอบบางอรชอนของเธอปลิวติดมือขึ้นมาบนดาดฟ้าอาคารเรียน
จะว่าไปมันก็เย็นสบายดีเนาะ แถมคนไม่พลุกพล่าน
“พารุจัง”
“คะ” เธอขานรับด้วยท่าทางรนรานกลัวอีกฝ่ายรู้ว่าเธอแอบนินทาอยู่
“เธอคิดว่ายุยเป็นไงบ้าง” ประธานนักเรียนหน้าแมวน้ำนั้นอ่ะน่ะ เจอกันเมื่อวานก็ทำเอาเธอปวดกะบานแล้ว คนอะไรน้ำแข็งเรียกพี่ ถือบางมุมมันจะ…
เอาอีกแล้วอาการอย่างนี้ สงสัยต้องไปหาหมอประจำตัวที่ดูแลเรื่องภูมิแพ้สักหน่อย
“โหด” คาวาเอ้เบะปากหัวเราะไม่มีกักจับมือพายุเขย่าอย่างถูกอกถูกใจในคำตอบ
“โอ๊ย ฮ่าๆ ธะ เธอทำฉันน้ำตาเล็ด” พูดเสร็จก็กุมท้องหัวเราะต่อ พารุว่าตัวเองคุยกับคนบ้าชัดๆ
“จริงๆแล้ว ไม่ได้โหดนะ แค่เข้มงวดไปหน่อย”
ยังมีการลงไปนอนหัวเราะต่อได้ ยอมใจเลยจริงๆ ขืนอยู่โรงเรียนนี้นานๆเธอคิดว่าตัวเองได้กลายเป็นคนไม่ปกติเข้าสักวัน
มัวแต่นั่งรับลมกันจนเผลอลืมเวลาไปเลยว่าเสียงระฆังเริ่มชั้นเรียนดัง อาคาเอ้สะดุ้งตกใจลุกเฮือกจับมือพารุวิ่งลงบันไดก่อนเสียงกระดิ่งครั้งสุดท้ายใกล้จะจบลง ขืนเข้าห้องเรียนไม่ทัน….
มีหวัง…
เอียดด เธอแบกกะทันหันตรงสี่แยกบันไดเข้าห้อง บอกได้คำเดียวว่า ซวยแล้วไง
หน้าตาของผู้คุ้มกฎโรงเรียนเด่นชัดขนาดนี้ ขาก้าวไม่ออกเลยที่จะเดินต่อ
“สายหนึ่งนาที หักคะแนนความประพฤติ 10 คะแนน” คำพูดแรกออกมาจากปากคนยืนเก๊กท่าอยู่หน้าปากทางเข้าห้องเรียนทำให้นักเรียนใหม่ยืนค้างเหมือนถูกค้อนร้อยปอนด์กระแทกหน้าอย่างจัง สายแค่ 1 นาที หักสิบคะแนน มันจะโหดเกินไปรึเปล่า ไอ้คนหน้าเหมือนแมวน้ำ
“ถือว่านี้เป็นครั้งแรกของเธอ ฉันแค่เตือน” ยุยหยักไหล่ใส่หน้าตาตลกๆของนักเรียนใหม่ที่อ้าปากเหวอ “คนทำความผิดตัวจริงอย่างหวังว่าจะรอด” คาวาเอ้สะดุ้งเอามือปิดหูแทบไม่ทันกับคำเทศนายาวเหยียดของรองประธานนักเรียน
“ไม่ทันไรก็พานักเรียนใหม่เข้าห้องเรียนสาย เธอควรเป็นรุ่นพี่ที่ดีให้ ในฐานะที่อยู่ในโรงเรียนมาก่อน ฉันหักเธอ 20 คะแนนเลยดีมั้ย คาวาเอ้ จะได้ไม่เป็นตัวอย่างให้อีก ที่หลังจะไปไหนมาไหน ดูเวลาก่อนมั้ง ดีนะที่วันนี้อาจารย์ไม่เข้าสอน แต่ใช่ว่าเธอจะพานักเรียนใหม่ไปเถรไถลได้”
แอบเป็นคนใจดีเหมือนกันนะเนี่ย
ไม่รู้ตัวเลยว่าคลี่ยิ้มมองหน้าขรึมของรองประธานนักเรียนตอนไหน รู้ๆมันทำให้เคลิ้ม..
เดี๋ยวนะ… ไม่ๆๆ ต้องไม่เคลิ้ม ไม่ใช่แล้ว
พารุส่ายหัวแรงๆไปมาหลายที รู้สึกว่าตัวเองชักแปลกขึ้นทุกที สงสัยอยู่กับคนบ้ามากไปก็แบบนี้
“เธอน่ะ”
“คะ” พารุตกใจขานรับเสียงหวาน แล้วน้ำเสียงที่ว่ากลับทำให้รองประธานนักเรียนไม่กล้าสบตาขึ้นมาดื้อๆ
ไม่ต้องขานรับซะหวานหยดขนาดนี้ก็ได้มั้ง คนฟังมันแสลงหู
“เข้าห้องไปได้แล้ว จะยืนตรงนี้อีกนานมั้ย” คนถูกไล่ยกยิ้มอารมณ์ดี แกล้งแหย่นิดแหย่หน่อยจะเป็นอะไรไป เก๊กมาก หมาดเยอะดีนัก อยากรู้ว่าถ้าหลุดมาดนิ่งๆจะกลายเป็นคนอย่างไง หมั่นไส้ อึ้ยย
“เป็นห่วงกลัวเมื่อยหรอค่ะ ถึงรีบไล่กันขนาดนั้น แต่ฉันเต็มใจที่จะยืนมองหน้ายุยนานๆนะคะ” ถ้าหูไม่ได้แววไปเธอได้ยินเสียงฮิ้วจากคนหน้าหงอยด้านหลัง เอาเข้าไป จะช่วยชงเธอกับไอ้รองประธานนี้รึไง
ฝันไปเถอะ คนอย่างนี้ไม่ใช่สเปคเธอ
“จะเข้าไปดีๆหรืออยากถูกหักคะแนนห๊ะ ฉันจำไม่ได้ว่าเราสนิทกันถึงขั้นให้เรียกชื่อจริง”
กรี๊ดด ไอ้แมวน้ำหน้านิ่ง!! คนเค้าอุสาอ่อย ผิดๆ อุสาชวนคุยไม่มีอารมณ์ร่วมเลยรึอย่างไร
ไปก็ได้ ชิ!
“แล้วคราวหน้าอย่ามาสายอีก” ยังไม่จบนะไอ้แมวน้ำ เธอจะหาทางจัดการให้อยู่มัดเลยค่อยดูสิ!
รู้จักพารูรุคนนี้ น้อยไปซะแล้ว
“ทำไมค่ะถ้าสายอีกครั้ง ท่านรองประธานนักเรียนจะเรียกดิฉันไปพบเป็นการส่วนตัวเหรอค่ะ ไม่ต้องก็ได้นะคะ เรียกดีๆฉันก็ไป รู้รึเปล่าค่ะว่าเต็มใจรออยู่”
“นี้เธอ” พารุหัวเราะพอใจเห็นท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของคนหน้านิ่งเท่ากับว่าเธอแหย่ฝ่ายนั้นได้สำเร็จแล้วสิ
“พารูรุค่ะ เจอกันครั้งหน้าเรียกอย่างนี้นะคะ”
แรงงง คาวาเอ้บอกเลยว่าเธอใจกล้ามาก ยุยตีหน้าดุขนาดนั้นยังกล้าต่อ ไม่พอเดินเชิดเข้าห้องราวกับนางพญา
ยอมเลย คาวาเอ้คนนี้ขอติดตามลุ้นสุดขอบสนามว่านักเรียนใหม่ปะทะรองประธานใครจะได้กำชัยในศึกครั้งนี้ไป
“ยิ้มอะไรคาวาเอ้”
“เปล่า ฉันเข้าห้องบ้างดีกว่า” พูดจบก็เพ่นแลบเข้าห้องปล่อยยุยยืนพ้นลมหายใจรู้สึกร้อนบนแก้มอย่างไรไม่รู้ตั้งแต่น้ำเสียงหวานนั้นพูดใส่
กวนประสาทกันซะไม่มี!! แล้วดูไอ้เพื่อนบ้านี้สิ หน้าตาล้อเลียนเธอหมายความว่าอย่างไร!!
เก้าอี้ของประธานที่เว้นว่างไปบัดนี้ได้ถูกแทนที่ใหม่ด้วยเชื้อสายของประธานคนก่อน ยูโกะเคาะปากกาลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิดมองแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรขณะที่ใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องของเพื่อนสนิทยังวนเวียนอยู่ในหัว
ทำอย่างไร
ทำอย่างไร
นึกถึงข้อความที่ได้รับจากอัตสึโกะคอนเช้า ขอให้เธอช่วยย้ายบ้านภายในอาทิตย์นี้พร้อมกับเรื่องที่จัดการเรื่องโรงเรียนใหม่ให้ลูกสาว ซึ่ง.. เธอไม่ได้มีปัญหาหรอก ที่น่าเป็นห่วงคือทางฝั่งนู้นมากกว่า ไม่รู้ว่าคนของทางบ้านใหญ่เคลื่อนไหวอัตสึโกะจะเอาตัวรอดอย่างไร ยิ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวเลี้ยงลูกแล้วใหญ่
กลุ้มใจ
โทรหาสักหน่อยดีกว่า
เธอวางปากกาลงบนโต๊ะหยิบมือเธอขึ้นมากดออกถึงเบอร์ที่ต้องการ รอสายไม่นานเกินสิบนาทีเจ้าของเครื่องก็กดรับ
“ฮัลโหล อัตจัง”
“ค่ะ” เธอได้ยินเสียงอ่อนแรงของฝ่ายนั้นทำให้รู้สึกกังวลขึ้นมาดื้อๆ
เอาอีกแล้ว สังหรณ์ใจไว้ไม่ผิด
“เป็นอะไรไป”
“ไม่มีอะไรหรอก ยูโกะโทรมาทำไม” เธอโกหกคำโต ใครจะกล้าบอกว่าแอบร้องไห้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเสียงแหบเสียงแห้งยังไม่หาย เรื่องที่ร้องไห้ก็เรื่องเดิมๆ บางครั้งเธอก็เกลียดตัวเองที่ลืมไม่ลงสักที ทั้งที่เป็นคนทำเขาแท้ๆ
“เป็นห่วงเธอน่ะสิ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก” อัตสึโกะยิ้มให้โทรศัทพ์ เป็นคนที่โทรมาได้รู้เวลาจริงๆเหมือนมีเรดาร์จับสัญญาณความเศร้าเธออย่างไรอย่างนั้น
“เธอบอกไม่เป็นไรแต่ร้องไห้ทุกที”
ยูโกะชอบทำเรื่องที่ไม่น่าตลกให้กลายเป็นเรื่องตลก เธอหัวเราะเนิบๆผ่านโทรศัทพ์
“ฉันโอเค ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย”
“ก็ดีแล้ว อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงบ่อยนักสิ”
เพื่อนที่น่ารัก พี่สาวที่แสนดี เธอนิยามคำๆนี้ให้ยูโกะตั้งแต่เด็ก พอเธอถูกแกล้งก็ตามไปช่วย เดือดร้อนก็ยืนมือเข้ามา
“ไม่ได้ทำสักหน่อย ยูโกะนั้นแหละขี้กังวลเกินไป”
หาเรื่องโทษคนอื่นทั้งที่คำของยูโกะไม่ได้เกินจากความจริงสักนิด
“ฉันขี้กังวลเธอไม่ดีใจรึไง หืม.. จะได้โทรตามติดพฤติกรรมของเด็กขี้แย่ทุก 24 ชม.”
“เวอร์”
เธอได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะคิก ยูโกะลุกจากเก้าอี้ถือโทรศัพท์ไปในมุมพักผ่อนสายตามองไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้าจากตึกชั้นสิบแปดเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮารุนะค่อยๆแง้มเปิดประตูเข้ามา
“เหมือนฉันมีแม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน”
“ฮ่าๆ เธอนี้มอบให้ฉันหลายตำแหน่งเหลือเกินนะ อัตจัง”
ชื่อของคนปลายสายหลุดลอยเข้าหูฮารุนะเงยหน้าสนใจกับเจ้าของสายก่อนเดินย่องเข้าไปแทรกแขนทั้งสองข้างผาดเอวขอดไว้
“อุ้ย” ยูโกะเกือบทำโทรศัพท์ตกพื้นมองคนรักที่เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง “มาตอนไหนค่ะ” เธอขยับปากบอกได้รับคำตอบเป็นการชี้มาตอนที่เธอลุกเดิน
เธอคุยสายกับอัตสึโกะอีกครู่สั้นๆก่อนบอกฝ่ายนั้นขอตัว ยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมามองคนสอดแขนเกี้ยวเอวก็หอมแก้มเธอฟอดใหญ่
“คุยอะไรกันตั้งนานค่ะ” มองสบตาฮารุนะส่ายหัวบอกว่าไม่ได้มีอะไรสำคัญ
“โทรไปถามไถ่ทั่วไปละคะ”
เรื่องทั่วไปของยูโกะ ไม่เคยทั่วไปสำหรับเธอในเมื่อปลายสายนั้น เป็นผู้หญิงที่ชื่อ อัตสึโกะ
บางครั้งเธอก็กลัวว่ายูโกะจะมีใจให้เพื่อนที่พูดถึงบ่อยๆ….
เพราะอัตสึโกะคนนี้มีอธิพลต่อ ‘โอชิม่า ยูโกะ’ เหลือเกิน
แล้วเธอจะไม่ให้เธอหวั่นไหวได้อย่างไร
ต่อให้เชื่อในความรักแค่ไหนก็ยังหวั่นไหวกับคนที่เคยใกล้ชิดกัน
“ยูจังค่ะ เย็นนี้ไปดินเนอร์กันหน่อยมั้ยค่ะ”
“หืมม” เธอส่งเสียงครางในลำคอบอกก็รู้ว่าเธอต้องการเหตุผลของการชักชวนดินเนอร์ ไม่แปลกไปหน่อยหรออยู่ๆก็ชวนไม่บอกกันล่วงหน้า
“นะคะ ไม่ได้ไปเดทกันนานแล้ว”
“ไปก็ไปค่ะ แล้วอย่าลืมบอกลูกนะคะ”
ลองกล้าไม่ตามใจดูสิ แม่ประคุณได้งอนสามวันสามคืนง้อกันลำบากอีก ฉะนั้นเย็นนี้หาข้าวกินเองนะคะคุณลูก ป๊าม๋าของตัวสวิทก่อน ว่างๆจะนั่งทำน้องให้หนูอีกคน
‘ตื่อดึ่ง’ เสียงข้อความเข้าจากมือเธอเรียกความสนใจของนักเรียนใหม่เลิกกระดานแอบมองโทรศัพท์ที่ถูกตั้งระบบสั่นอยู่ใต้โต๊ะ
‘ข้อความจากมามี้’
เลื่อนลงมาดูเนื้อความที่เขียนด้านในถึงกลับแอบค้อนชุดใหญ่อดทำสีหน้าระอาไม่ได้
[เย็นนี้ป๋าม๊า ทำธุระในเมืองนะคะ กินข้าวได้เลยไม่ต้องรอ]
ไปเดทกันอีกตามเคย ทิ้งเธออยู่บ้านคนเดียวประจำ ม๊าอ่ะชอบชวนป๋าเที่ยวตลอด พ้นสายตาหน่อยไม่ได้ สวิทกันจนวัยรุ่นยังอาย น่างอนจริงๆพ่อแม่คู่นี้ แสดงว่าเย็นนี้เธอต้องหาข้าวกินเองว่างั้น
“คุณโอชิม่า ไม่ทราบว่ากำลังสนใจอะไรใต้โต๊ะค่ะ”
เสียงของอาจารย์ภาษาอังกฤษสุดสวยคาไซ โทโมมิทำให้เจ้าของชื่อเสียวสันหลังวูบค่อยๆเงยหน้ามามองรอยยิ้มหวานที่ดูยังไงมันก็อันตรายเห็นๆ
“ปะ เปล่าค่ะ”
“งั้นก็ดี กรุณาอ่านบทต่อไปด้วยค่ะ” พารุถือกับเหวอมองซ้ายมองขวาว่าถึงตรงไหนกันแล้ว
ซวยแล้วไงฉัน
“รีบอ่านสิค่ะ มัวทำอะไรอยู่!”
“คะ” เสียงเข้มทำให้เธอผวาอยากจะข้อความช่วยเหลือจากใครสักคนในห้อง ใครก็ได้บอกเธอหน่อยเถอะมันถึงหน้าไหนกันแล้ว และราวกับมีเสียงสวรรค์มาโปรด
“หน้า 59 บรรทัดสาม ประโยคที่สอง”
เธออยากหันหน้าไปขอบคุณเหลือเกินถ้าไม่ติดว่าหันไปแล้วเจอหน้านิ่งๆของคนนั่งเก้าอี้ตรงข้างพร้อมรอยยิ้มที่แสยะมุมปาก ซ้ำยังกระซิบอีกว่า
คราวหลังก็ตั้งใจเรียนด้วย
กรี๊ดดด ไอ้แมวน้ำ จะให้รู้สึกดีด้วยนานๆไม่ได้รึอย่างไร
เธอหันกลับมาสนใจอ่านหนังสือตามที่คนเจ้าระเบียบบอกเผลอใช้น้ำเสียงหงุดหงิดอ่านบทความในหนังสืออยู่หลายทีหวังว่าคนที่ถูกกล่าวหาจะรู้ตัว แต่ก็ไม่เลย นอกจากท่าทางตั้งอกตั้งใจเรียนสุดๆจนหมดคาบเรียนไปนั้นแหละ
รู้สึกหมดแรงเหมือนออกสนามรบ
“เอานี้ไป” ไม่ทันจะได้พักผ่อนให้หนำใจก็เงยหน้ามาเผชิญกับไอ้แมวน้ำที่ทำพิษใส่ในคาบที่พึ่งจบไปมาดๆ เป็นอะไรกับเธอมากมั้ยเนี่ย แล้วยื่นอะไรมา ไม่อยากรับของจากแมวน้ำหรอก เชอะ เชอะ เชอะ
“อะไร”
“ยุยเขาสรุปให้รู้เปล่า กลัวเธอเรียนไม่ทันมั้ง” ไอ้คนนั่งเก้าอีกด้านหน้าหันมากระแนะกระแหน
“พูดมาก”
แหม่ ไม่ต้องหลบหน้าก็ได้ เห็นนะคะว่าเขิน จะทำตัวน่ารักกับเขาก็เป็นนิหน่า
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกฉันทำให้ทุกคน แม้แต่เด็กเส้น” เน้นอีกนะ ว่าเด็กเส้น แล้วมันหนักหัวมากรึไงห๊ะไอ้แมวน้ำ พูดจาดีๆกันไม่ได้เลยใช่มั้ย ได้!!
“เด็กเส้นแล้วยังไงค่ะ ไม่ชอบหรอค่ะหรือว่าแอบชอบกันเอ่ย” ไม่รู้อะไรดลใจให้ลุกขึ้นไปยกมือลูบแก้มของคนหน้านิ่งยืนแข็งทื่อเป็นหิน ได้ยืนเสียงกรี๊ดจากทุกมุมห้องก็แอบปวดหัวขึ้นมา
ทุกคนยกนิ้วให้เลยกับความกล้าของเด็กให้ที่เข้ามาไม่ทันไรก็ลูบคมรองประธานนักเรียนเข้าเสียแล้ว
“อย่ามาลามปาม”
“ไม่ลามปามก็ได้แต่ลามไปถึงใจ ไม่ว่ากันใช่มั้ยค่ะ”
อูยยย เสี่ยวได้อีก รองประธานนักเรียนจะหมดหมาดไหมงานนี้
“ถ้าไม่เอาก็เอาคืนมา” ยกนี้เป็นอันแน่ชัดแล้วว่าใครชนะโดยที่ยังไม่ทันออกแรง คนแพ้พาลเปลี่ยนเรื่องอื่นจะดึงสมุดในมือกลับ
“บอกตอนไหนจะไม่เอา” พารุตะครุบแทบไม่ทันจับเมือรองประธานนักเรียนเข้าเต็มๆ จนตอนนี้หน้าแดงแข่งกับแสงพระอาทิตย์ด้านนอก
“เอาก็เอาไป ฉันจะไปกินข้าวแล้ว!”
สมุดถูกปล่อยแผละลงบนโต๊ะ ยุยไม่รอเสียงทักเดินจ้ำออกจากห้องกลัวจะต้องค้นหาว่า อาการใจเต้นโครมครามเมื่อครู่เกิดจากอะไร
อีกฝ่ายที่เขินไม่ทันครบนาทีต้องรับมือกับคนที่ลุ้นอยู่วงนอก ร้องโฮ่แซวสนุกปากถึงความใจกล้าบ้าบิ่นที่เหมือนคล้ายจะจีบรองประธาน คนถูกกล่าวหาปฏิเสธหน้าบอกบุญไม่รับแต่มีหรือจะพ้นข้อกล่าวหาง่ายๆก็เล่นแสดงวีรกรรมเสียเด่นขนาดนี้
แล้วจะรู้ไหมนิว่าทั้งคู่ยังต้องเจอกันอีกนาน แน่ๆคือวันเสาร์หน้าที่ถูกพ่อแม่จัดแจ้งเวลาเป็นที่เรียบร้อย
……………………………………………………………………………………………………………..
มาแล้วนะคะ ไม่รู้ว่ามีคนรออ่านอยู่รึเปล่า อิ อิ
ว้าว! เม้นแรกอีกแล้ว อยู่ดึกน่าดูเลยนะครับไรท์…เป็นกำลังใจให้นะครับ จะรออ่านตอนต่อไปอย่าใจจดใจจ่อเลย
เม้นแรกอีกละ 555 เชียร์ยุยพารุแปป รู้สึกผิดต่ออัตสึมินะจัง