[Short Fic] Counselling (Wmatsui) -OUTRO- 23/10/56
– Counselling –
INTRO
01 02 03 04 05
OUTRO
-INTRO-
ฉันเปิดแฟ้มสีฟ้าอ่อนที่ด้านในมีเอกสารรายงานเกี่ยวกับประวัติของผู้ป่วยที่ฉันต้องเข้าไปพูดคุยด้วย จริง ๆ เคสนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉันโดยตรงเสียทีเดียว ถ้าอาจารย์ของฉันไม่คิดเคสอื่นไปเสียก่อน
เด็กสาววัยมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจฆ่าตัวตาย…. หลายครั้งหลายครา ล่าสุดเธอพยายามกรีดข้อมือตัวเอง ถ้าไม่ได้เพื่อนของเธอเข้าไปพบ และโทรแจ้งตำรวจ ป่านนี้เธอคงได้ตายสมใจเป็นแน่ ซึ่งนั่น… ไม่ดีเลย ไม่ดีเอามาก ๆ
ภูมิหลังของเด็กสาวคนนี้… สาเหตุที่ทำให้อยากฆ่าตัวตาย ฉันพลิกกระดาษแต่ละหน้าและอ่านมันอย่างถี่ถ้วน
…การสูญเสียคนรักในอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอเป็นคนขับโดยมีคนรักและพ่อแม่ของเธอนั่งไปด้วย อุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น และพาเอาชีวิตคนรักของเธอไป ที่สำคัญยังพาเอาชีวิตของพ่อแม่ของเธอไปด้วย
“จะน่าเศร้าอะไรขนาดนั้น”
ฉันขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา รูปภาพของเธอ…. คงเป็นก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ หญิงสาวหน้าคม ไว้ผมยาวประบ่า ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยพลัง และความสดใส ซึ่งฉันคิดว่าถ้าฉันลงไปเจอเธอที่ห้องผู้ป่วย ฉันคงไม่มีทางได้เห็นใบหน้าแบบในรูปนี้เป็นแน่
………………………..
และก็เป็นอย่างที่ฉันคิด ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูว่างเปล่า แม้เธอจะมองมาทางฉัน แต่เหมือนแววตาของเธอจะดูหมองหม่น และเลื่อนลอย อุบัติเหตุนำพาความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เข้ามาในชีวิตของเธอจริง ๆ
ฉันยิ้มอ่อนโยนให้เธอ ส่วนเธอทำแค่หันมองไปทางอื่น ก่อนจะก้มมองแขนตัวเองที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ทั้งสองข้าง เธอพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง แต่โชคดีที่มีคนช่วยเธอเอาไว้ได้ทุกครั้ง
เด็กสาวที่ฉันเชื่อว่าครั้งหนึ่งเธอเคยร่าเริงสดใส ตอนนี้เธอดูผอมบางกว่าในรูปที่ฉันเห็น ขอบตาคล้ำ ใบหน้าซูบเซียว เป็นธรรมดาที่การสูญเสียย่อมนำพาความหมดหวัง หม่นหมอง เศร้าใจ ทุกข์ระทมมาให้ ซึ่งแต่ละคนจะมีการจัดการที่แตกต่างกันไป ในเคสนี้ ฉันคิดว่ามันเป็นการสูญเสียที่หนักหนาไม่น้อย และเธอเองก็ไม่พร้อมจะรับมือ ไม่พร้อมจะจัดการกับปัญหาทุกอย่าง เธอจึงเลือกที่จะหนีปัญหาโดยการฆ่าตัวตาย
“มัตสึอิ จูรินะ” ฉันเรียกชื่อของเธอ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง “ชื่อของเธอใช่มั้ย”
เงียบ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังจะให้เธอตอบหรอก ฉันแค่ยิ้ม… แค่ยิ้มให้กับเธอแค่นั้น เด็กสาวที่ถูกโรคซึมเศร้าเล่นงาน การไม่ตอบคำถามถือเป็นเรื่องธรรมดา
“ฉันเป็นนักจิตบำบัด ชื่อว่า มัตสึอิ เรนะ เธอคงรู้ใช่มั้ย ว่าทำไมฉันถึงมาคุยกับเธอแบบนี้”
“จะมาเกลี้ยกล่อมให้ฉันเลิกคิดเรื่องฆ่าตัวตายใช่มั้ย”
เธอถามด้วยน้ำเสียงไม่เต็มเสียงนัก และหันมองหน้าฉันด้วยแววตาของคนที่บ่งบอกได้ว่า เธอไม่เหลืออะไรให้แคร์อีกแล้วในชีวิต ชีวิตที่ไม่เหลือใคร ทั้งพ่อแม่ และคนรัก
“ก็คงจะอย่างนั้น แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะ ฉันจะไม่ทำอะไรให้เธออึดอัดเกินไป คิดซะว่าฉันเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเธอก็ได้ เราแค่พูดคุยกันเฉย ๆ” คำพูดที่ออกไปพร้อมรอยยิ้ม มักจะทำลายกำแพงระหว่างผู้บำบัดกับผู้ถูกบำบัดได้เป็นอย่างดี
“ฉันคงเหมือนพวกโรคจิต” เธอก้มลงมองข้อมือของตัวเองอีกครั้ง ด้วยใบหน้าแสนเศร้า
“ไม่หรอก เธอแค่อยู่ในช่วงเวลาที่ยังไม่สามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ก็เท่านั้น”
“แล้วถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณ คุณจะทนได้หรอ”
เธอเงยหน้ามองฉัน กับคำถามที่มาพร้อมแววตาที่เศร้าหมองลงไปอีก ฉันไม่ได้ตอบคำถามนั้น และการที่ฉันเงียบ ไม่ได้แย้งอะไร ก็เหมือนเป็นตัวเปิดสวิสต์ให้เด็กสาวคนนี้ได้ระบายออกมา
“ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว ในชีวิต ทั้งพ่อ แม่ และก็อากาเนะ” เธอพูดถึงชื่อเด็กสาวอีกคน ที่เธอคบหามาได้กว่าสามปี “วันนึงฉันเคยคิดว่าฉันเป็นคนที่มีความสุขที่สุด แต่พอมาอีกวัน ฉันก็พบว่าคนที่ฉันรักได้ตายจากฉันไปหมดแล้ว วันนั้น…. วันนั้น….” เธอรื้อฟื้นความหลังของเธอขึ้นมา ความหลังที่แสนเจ็บปวด “ฉันเห็นอากาเนะค่อย ๆ หมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา ได้ยินเสียงพ่อแม่ที่แสนเจ็บปวดจากทางด้านหลังรถ ในขณะที่ตัวฉันทำอะไรไม่ได้เลย ฉันช่วยอะไรใครไม่ได้เลย และเป็นฉันคนเดียวที่รอดจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เหลือเพียงฉันอยู่แค่คนเดียว แล้วฉันจะอยู่ไปเพื่อนใคร มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ทำไมฉันถึงไม่ตายไปด้วย ทำไม”
เธอระบายคำพูดที่แสนอัดอั้นออกมาพร้อมน้ำตา ฉันส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอ และปล่อยให้เธอได้ร้องไห้กับเรื่องราวที่เธอคิดว่ามันแสนเจ็บปวดทรมาน
ฉันรอจนเธอสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ ก่อนจะออกจากห้องของเธอ มันก็ไม่แปลกหรอกนะที่ด็กคนนี้จะเศร้ากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉันเองได้ฟังก็ยังอดไม่ได้ที่จะเศร้าไปด้วย ฉันมีสิทธิ์ที่จะเห็นอกเห็นใจเธอได้ แต่เก็บความรู้สึกของเธอมาคิดมากไม่ได้ สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือ….
ให้เธอยอมรับความเศร้านั้นและก้าวเดินต่อไปให้ได้
……………………..
อื้ม….. พูดอะไรปิดท้ายดีล่ะครับ
อิ้ม…..
อื้ม…..
ขอใช้ความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาเดิมพันกับเรื่องนี้เลยครับ //ไม่ใช่!!!!!
เอาเป็นว่า ฝากเบิ้ลอิไว้อีกสักเรื่องแล้วกันครับ
เบิ้ลอิดราม่าสินะ หึๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แบบนี้น่าสนเหมือนกัน ไหน… ขอทัศนาสักนิดเถอะ
ถ้าไม่อัพล่ะก็….. หึๆๆๆๆ #ลับหอกรอ
ไม่ทราบว่าหมดคนนี้อยู่โรงบาลไหนอ่ะ
พอดีว่าตอนนี้รู้สึกเป็นโรคซึมเศร้าแบบเซ็กซี่
อยากได้หมอมาปรึกษา//ไม่ใช่และ
พี่นกโผล่มาแต่ชื่อจริงๆ….
คุณเรนะเป็นหมอค่ะ
คุณเรนะเป็นหมอค่ะ
เป็นหมอนะคะ ! ! ! !
เคยมีคนรู้จักป่วยๆแบบนี้เหมือนกัน…
หวังว่าน้องจูจะหายดีนะคะ ; A ;
โอ้ เรนะซังเป็นหมอจิตเวช ส่วนน้องจูเป็นคนที่พยายามฆ่าตัวตาย
เรนะซังช่วยรักษาหัวใจและจิตวิญญาณที่แตกร้าวของจูด้วยเถอะ TT o TT
โถ่ น้องจูววว ช่างน่าสงสาร
*///* ปักหมุดรอเลยเค่อะเรื่องนี้แหม่ๆ
เรนะเป็นหมอ
เรนะเป็นหมอ
เรนะเป็นหมอ
– ///-
เปิดเรื่องมาชีวิตจูรินะก็เศร้าซะแล้ว
จูคงไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้นะT^T
ดราม่าอีกแล้วหรอไรท์เตอร์
โว้ว เฮียเรนเป็นหมอล่ะ
แต่สงสารพี่นกแฮะ มีตัวตนแค่ชื่อ ตัวตายไปแล้ว
ไ่ม่เป็นไรนะจู เดี๋ยวชีวิตจูจะมีเฮียแทนอากาเนะเอง #โดนตรบ
ปล.ญาติเราเคยไปฝึกงานฝ่ายจิตเวช เค้าบอกว่าตอนดูแลคนไข้สนุกดี(?)
/ต้มมาม่ารอ
หวังว่าจะไม่ได้กินมัน ;w;
ด้วยความที่เป็นเบิ้ลอิ จะขอติดตามค่ะ
เรนะเป็นหมอออ โฮกกกกก ////
น้องจูเป็นคนไข้ แอร๊ยยยยย ////
แปะๆๆ รอๆๆ น้องจูดูน่าสงสารจริงๆ หุหุ
สงสารพี่นกมากกว่าจูอีก ยังไม่โผล่ตัวก็ตายซะละ ;w;
คุณหมอสู้ๆค่ะ รักษาให้หาย
ให้จูได้พบรักใหม่(กับเค้า) *3* ปุฮิปุฮิ
ช่วงนี้นิยมเสพม่ามาจร้า!
ติดตามๆ
ดราม่าแต่ต้นเลย…โถน้องจูของพี่
เรนะเป็นนักบำบัด เท่มากค่ะเฮียอรั้ยย.. (≧▽≦)
ติดตามค่ะ
พอเจอเรนะโลกของจูก็จะกลายเป็นสีชมปูววว ว #เม้นนี้แหวกดราม่า 555
หวังว่าเรนะจะรักษาให้หายได้เนอะ จูน่าสงสาร (_ _)
ติดตามค่ะ^^
เบิ้ลอิเรื่องใหม่ *0* น่าติดตามมากค่าา
น่าสนใจจริงๆ เรนะเป็นหมอ น้องจูเป็นคนไข้ แอร๊ยยย..
สู้ๆนะไรเตอร์ *^*
คุณหมออออว์ แอร๊ย -///-
จูน่าสงสาร ชิวิตเศร้าเหลือเกิน ( ; ^ ; )
ฟิคที่อ่านช่วงนี้พี่นกตายไป2เรื่องละ ฮ่าๆๆ
กรี๊ดดดดดดดด คุณหมอคะะะะ -////-
ชีวิตน้องจูนี่น่าสงสาร แต่พี่นกน่าสงสารกว่าเรื่องไหนๆก็ตาย Orz
รอตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะ ^^
-01-
ฉันอ่านทวนชาร์ตรายงานของเด็กสาวที่ฉันเป็นเจ้าของเคส ก่อนที่อาจารย์หมอของฉันจะเคาะประตู และเปิดประตูเข้ามา
“เป็นยังไงบ้าง เคสของเด็กคนนั้น”
“ดูจากอาการแล้ว คิดว่าเธอว่าน่าจะอยู่ในอาการ Acute Stress Disorder เป็นผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าน่ะค่ะ”
“อืม” อาจารย์หมอพยักหน้ารับน้อย ๆ “งั้นก็ไม่ได้เป็นผลมาจากยีนส์โดยตรง”
“ค่ะ ถ้าเกิดจะรักษา ฉันยังไม่อยากอยากใช้ยากับเธอเท่าไหร่ บางทีเธออาจจะพอพูดคุยกันได้ และฉันคิดว่าฉันจะลองใช้วิธี Counseling กับเธอคนนั้นก่อน ส่วน Psychotherapy คงไม่จำเป็น เพราะต้นตอของอาการในส่วนที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของเด็กคนนี้ค่อนข้าง ชัดเจน ไม่ได้มีภูมิหลังที่ต้องวิเคราะห์ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร”
“เบื้องต้นให้รักษาด้วยวิธีนี้ก่อนก็แล้วกัน แล้วเราได้พบกับน้าของเขาแล้วใช่มั้ย”
อาจารย์หมอถามถึงญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของเด็กสาวคนนั้น
“ค่ะ”
“น้าของเด็กคนนั้น อาจารย์ก็พอรู้จักอยู่บ้าง ยังไง อาจารย์ฝากเด็กคนนี้ด้วยนะ”
“ค่ะ”
ฉัน ตอบรับอีกครั้ง ก่อนที่อาจารย์หมอจะเดินออกจากห้องทำงานของฉันไป ส่วนฉัน… เริ่มต้นอ่านชาร์ตรายงานของเธออีกครั้ง มัตสึอิ จูรินะ เด็กสาวที่เรื่องราวร้าย ๆ พรากเอาชีวิตที่สดใสของเธอไป
………………………..
เช้าอีกวัน ฉันเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย เธอตื่นแล้ว และมองเหม่อไปนอกหน้าต่าง เธอสูญเสียครอบครัวและคนรักไปได้กว่าสามเดือน และเป็นสามเดือนที่เธอไม่สามารถยอมรับเรื่องร้าย ๆ พวกนั้นได้ จากคนที่มีเพื่อนฝูงมากมาย ร่าเริง และมีความสุข ก็กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ออกไปไหน ไม่ไปเรียน ไม่ติดต่อใคร นั่นยิ่งทำให้เธอจมอยู่กับความเศร้า และกลายเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรวดเร็ว
และ เป็นสามเดือนที่เธอพยายามจะจบชีวิตของเธอ ครั้งแรกเธอพยายามผูกคอตาย ดีที่น้าของเธอผิดสังเกต จึงเข้าไปในห้องของเธอและช่วยเธอเอาไว้ได้ ครั้งที่สอง… เธอเล่นกินยานอนหลับเกือบหมดกระปุก ดีที่ส่งหมอแล้วล้างท้องทัน และครั้งนี้ก็กรีดข้อมือตัวเอง ถ้าเกิดว่าเพื่อนที่มหาวิทยาลัยไม่แวะมาหาเธอ ฉันคงไม่ได้เจอกับเธอหรอก
บางทีดวงของเธอยังไม่ถึงคราวตายก็เป็นได้
“จูรินะ” ฉันเรียกชื่อคนอายุน้อย เธอค่อย ๆ หันมามองฉัน “เห็นพยาบาลบอกว่าเมื่อคืนเธอผวา และสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลายรอบ”
เธอพยักหน้ารับช้า ๆ และก้มหน้า ไม่ยอมสบตากับฉัน
“เป็นอย่างนี้มานานรึยัง” ฉันเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงข้าง ๆ เตียงของเธอ
“ตั้งแต่….” เธอตอบไม่ทันจบก็เงียบไป มือของเธอกำผ้าห่มเอาไว้แน่น
ฉัน เฝ้ามองเธออยู่แบบนั้น รอดูว่าเธอจะร้องไห้ออกมารึเปล่า ถ้าร้อง… บทสนทนาของฉันกับเธอคงจบแค่นี้ ทุกครั้งที่คุยกัน การสนทนาของเธอกับฉัน มักจบลงที่การร้องไห้ของเธอ ซึ่ง…ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไหร่
“ทำไมฉันถึงมีชีวิตอยู่” เธอเงยหน้าขึ้นมาถามคำถามกับฉัน
“แล้วทำไมเธอถึงอยากฆ่าตัวตายล่ะ” ฉันตอบเธอเป็นคำถาม
“เพราะ… เพราะฉันไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร”
“อยู่เพื่อตัวเธอเองยังไงล่ะ”
“แต่ตัวฉันเอง… ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่อยาก… ไม่อยากเลย” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ “ชีวิตที่มันไม่เหลือใครแบบนี้…”
“อย่าพูดว่าเธอไม่เหลือใครสิ ยังมีคนอีกมากมายอยู่รอบตัวเธอ ทั้งเพื่อน ๆ หรือน้าของเธอ”
คำพูดของฉันทำให้เธอเงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะมองสบตากับฉัน…
“แต่ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”
ฉันยิ้มอ่อนโยนให้เธอ และจับมือของเธอเอาไว้ ดวงตาของเธอเริ่มมีน้ำตาออกมาคลอหน่วย
“ฉันรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับเรื่องพวกนี้ ฉันรู้ว่าเธอทรมาน ที่จะต้องทนอยู่กับความเจ็บปวด แต่เธอยังมีอีกหลาย ๆ คน ที่รักและยังแคร์เธออยู่นะ ถ้าเธอจากไป เขาเหล่านั้นอาจจะเป็นแบบเธอก็ได้ แต่เธออยากให้คนที่รักเธอเป็นเหมือนเธอตอนนี้อย่างนั้นหรอ…”
ฉันรู้ว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเธอมันยังมีอยู่ แต่ฉันก็รู้อีกแหละว่า เธอยังไม่พร้อมจะเข้าใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น
“แต่ตอนนี้ฉันเองก็ทรมาน” เสียงของเธอสั่น สั่นขึ้นกว่าเดิม
“ฉันจะช่วยเธอเอง”
ฉัน พูดก่อนจะลุกขึ้นยืน และลูบศีรษะของเด็กสาวเบา ๆ คราวนี้เธอร้องไห้ออกมาจริง ๆ อาจเพราะการที่มีคนอีกคนเข้ามาแชร์ความรู้สึกร่วมกัน มันช่วยกระตุ้นต่อมน้ำตาได้เป็นอย่างดี ฉันปล่อยให้เธอร้องไห้อีกครั้ง และฉัน…อยากจะให้มันเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายของเธอเหลือเกิน เด็กสาวในวัยแบบเธอ ไม่ควรจะต้องมาเสียน้ำตามากมายขนาดนี้ ไม่ควรเลย
………………………….
ฉันยืนอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล พร้อมแก้วที่มีเครื่องดื่มรสเข้ม เครื่องดื่มที่พอจะทำให้ฉันทำงานได้ไปจนถึงเที่ยงคืนของวัน
ฉัน กำลังคิด… คิดเรื่องที่จะคุยกับเด็กคนนั้น ไม่รู้ทำไม ฉันไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอเลย ไม่อยากแม้สักนิด เธอควรจะสดใส ร่าเริง และมีชีวิตชีวา เหมือนกับรูปถ่ายของเธอ
การ สูญเสียไม่ว่าเป็นใครก็คงไม่อยากเจอ ยิ่งการสูญเสียคนสำคัญไปพร้อมกันแบบจูรินะ กับคำถามที่เด็กคนนั้นถามฉัน ถ้าเป็นฉันอย่างนั้นหรอ ถ้าเป็นฉันเจอแบบเธอ… ถ้าเป็นตอนที่ฉันอายุเท่ากับเธอ เป็นฉันคนที่ไม่ได้เรียนจิตวิทยาคลินิก เป็นฉันคนที่ไม่ได้เรียนจิตวิทยาการปรึกษาล่ะก็… บางทีอาจจะเป็นยิ่งกว่าเธอก็ได้
แต่เอ… นี่ฉันเริ่มจะคิดเรื่องของคนไข้มากเกินไปรึเปล่านะ แย่แล้วสิ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะแบบนี้
…………………………..
ฉันยิ้มให้กับเด็กสาวที่ยังคงทำหน้าเศร้าไม่เปลี่ยนแปลง ผิดจากเมื่อวานนิดหน่อยที่คราวนี้เธอหันมองมาทางฉัน และจ้องมองฉันอยู่แบบนั้น ฉันมองดูจานใส่แอปเปิ้ลที่วางอยู่ข้างเตียงของจูรินะ น้าของเธอคงเป็นคนปลอกเอาไว้ให้
“ไม่กินหรอ” ฉันถามและชี้ไปทางแอปเปิ้ลในจาน เธอส่ายศีรษะ ไม่ได้ตอบอะไร “ทานยารึยัง”
และเธอก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ เมื่อวานยังพูดเยอะกว่านี้อีก สงสัยคงต้องรับมือแบบวันต่อวัน
“ถ้าออกจากโรงพยาบาล ฉันอยากให้เธอกลับไปเรียนหนังสือได้มั้ย” ฉันลองถาม เธอส่ายศีรษะอีกครั้ง “ทำไมล่ะ”
“มันไม่เหมือนเดิม”
ฉันพยักหน้ารับ ไม่เหมือนเดิมที่ว่า คงหมายความว่า มันไม่มีคนที่เธอรักอยู่ข้าง ๆ กายเหมือนเดิม
“ถึงอย่างนั้น ยังไงมันดีกว่าที่เธอจะกลับไปใช้ชีวิตแบบแต่ก่อน เพราะการเอาแต่เก็บตัว มันจะยิ่งทำให้เธอแย่ลง”
“แต่ฉันลืมเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ ไม่อยากเห็น ไม่อยากกลับไปคิดถึง” เธอเม้มปากเล็กน้อย “คุณหมอเข้าใจมั้ย”
ฉันยิ้ม ไม่ได้ยิ้มกับคำถามของเธอ แต่ยิ้มกับคำเรียกของเธอ
“ฉันไม่ได้เป็นหมอ” คำตอบของฉัน ทำให้สีหน้าของเธอ ดูประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นแค่นักจิตบำบัด”
“คะ” กลายเป็นเธอสนใจเรื่องของฉันไปแล้วสิ
“นักจิตบำบัดไม่ได้เรียนจบทางด้านแพทยศาสตร์ซะทีเดียว ซึ่งต่างกับจิตแพทย์” เธอทำหน้าไม่เข้าใจ แต่เอาเถอะ ฉันไม่คิดว่าเธอจะพยายามเข้าใจมันหรอก แค่เธออยู่กับเรื่องของเธอ ก็คงคิดมากพอแล้ว “เรียกแค่ชื่อเฉย ๆ เถอะ”
เธอพยักหน้ารับ แต่ก็ไม่ได้เรียกชื่อฉันออกมา
“เข้าเรื่องของเธอดีกว่า เอาเป็นว่า ตอนออกจากโรงพยาบาล ฉันอยากให้เธอกลับไปลองใช้ชีวิตแบบเมื่อก่อน เรียนหนังสือ อยู่กับเพื่อน ๆ ออกไปข้างนอก ทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ”
“ฉันทำไม่ได้แน่ ๆ ถ้าเกิดว่าไปข้างนอก และเห็นสถานที่ ที่ฉันกับอากาเนะมีความทรงจำร่วมกัน หรือ สถานที่ที่ฉันเคยไปกับพ่อแม่”
“ฉันคิดว่าเธอทำได้นะ” ฉันจับหลังมือของจูรินะให้กำลังใจ
“แต่ว่า… ยิ่งเจอ ฉันยิ่งลืมมันไม่ลง” เธอดูมีทีท่าไม่มั่นใจเอาเสียเลย “ฉันจะต้องมีคำถามกับตัวเองแน่ ๆ ว่าทำไมฉันถึงไม่ตายไปพร้อมกับพวกเขา… ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงต้องมาเกิดขึ้นกับฉัน ถ้ามันไม่มีเหตุการณ์แบบครั้งนั้น ทุก ๆ คนก็จะยังอยู่กับฉัน อยู่ข้าง ๆ ฉัน…”
“เธอไม่ผิดหรอกนะ ที่เธอจะมีคำถามพวกนั้น แต่เหนืออื่นใด ที่ฉันอยากให้เธอไปเรียน ไปพบปะเพื่อนฝูง ก็เพราะฉันอยากให้เธอหยุดคิดเรื่องพวกนั้นยังไงล่ะ” ฉันยังคงยิ้มให้กับเธอเหมือนทุกวัน “เธอบอกฉันได้มั้ยล่ะ ว่าถ้าเธออยู่แค่ในบ้าน เธอไม่ได้คิดอะไรแบบนี้เลย”
เงียบ จูรินะเงียบไปทันที ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาฉันไป ความคิดเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ แต่ต้องหาวิธีจัดการกับความคิดฟุ้งซ่านออกไปให้ได้
“จูรินะ” ฉันเรียกเด็กสาวตรงหน้า เธอเงยหน้ามามองฉันอีกครั้ง “เธอทำได้อยู่แล้ว”
“แต่ว่า…” ฉันไม่ปล่อยให้เธอได้ปฏิเสธ
“และสัญญากับฉันนะ ว่าเธอจะไม่พยายามฆ่าตัวตายอีก”
เธอ เงยหน้ามองฉันอยู่นาน และสุดท้ายพยักหน้ารับออกมา ว่าง่ายกว่าที่คิดแฮะ แต่จะพยักหน้ารับไปอย่างนั้นรึเปล่า ฉันเองก็ไม่แน่ใจ อารมณ์ของคนที่มีภาวะซึมเศร้านั้น แปรปรวนได้มากกว่าที่คิด เรื่องนั้นฉันรู้ดี ก็คงต้องดูกันต่อไป ฉันก็หวังเพียงแต่ว่า เธอคนนี้ จะยอมฟังที่ฉันพูด และกลับไปเป็นเด็กสาวที่ดูสดใสร่างเริงเหมือนเดิม
………………………..
TBC.
เนื้อเรื่องออกจะหนักไปหน่อยแต่ก็รู้เรื่อง
ยังไงมันก็ดราม่าใช่มั้ยไรท์เตอร์