[Fic] 2-B Classroom [SakuPara,Wmatsui,SayaMilky,MaYuki] EP.1

                ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก เสียงสาวเท้าถี่ๆดังขึ้นมาตามทางเดินในตรอกแคบๆร้างผู้คนเด็กหนุ่มร่างสูงบางสามคนกัดฟันกรอดขณะที่เร่งฝีเท้ายิ่งกว่าเก่า ที่ด้านหลังกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำสนิทกำลังวิ่งไล่กวดมาอย่างไม่มีท่าทีจะเหน็ดเหนื่อยให้เด็กหนุ่มในวัยสิบเจ็ดได้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่ออย่างอ่อนแรงก่อนที่จะวิ่งเลี้ยวหายเข้าไปหลังประตูไม้บานหนึ่งในวินาทีที่ทั้งสามวิ่งผ่านด้านหลังของไนท์คลับหรูซึ่งเปิดบริการทั้งคืน

 

“แฮ่กๆๆ เข้าไปสิวะเดี๋ยวมันก็หาเจอหรอก” เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กบางที่สุดดันหลังของเพื่อนอีกสองคนให้เข้าไปปะปนกลืนไปกับนักท่องราตรีด้านใน

 

“โทษทีแล้วกันที่ทำให้วุ่นวาย” เด็กหนุ่มตัวบางหน้าหวานที่เดินชะลอความเร็วอยู่ตรงกลางหันไปเอ่ยขอโทษกับเพื่อนสนิทอีกสองคน

 

“เอาเหอะน่าถึงนายจะเป็นลูกชายนักการทูตแต่ไอ้การนัดดูตัวแบบนี้มันโบราณชะมัด ฉันไม่ปล่อยนายโดนจับแต่งกับใครที่ไหนหรอก” ชายตัวสูงผู้เดินรั้งท้ายตบไหล่คนหน้าหวานแปะๆแล้วขยี้หัวอย่างหมั่นไส้

 

                กลุ่มคนที่พวกเขาวิ่งหนีไม่ใช่ใครที่ไหนไกลหรอกก็แค่เหล่าบอดี้การ์ดของคนตระกูลฝ่ายหญิงที่เด็กหนุ่มหน้าหวานถูกพ่อแม่หลอกไปดูตัวเท่านั้น…หน้าที่ของเพื่อนที่ดีอย่างพวกเขาก็ต้องไปช่วยออกมาสิจริงไหม ถ้าปลีกตัวอย่างสุภาพไม่ได้ก็แค่ลักพาตัวออกมา

 

“คงหนีมาพ้นแล้วล่ะ ยูยะมันรออยู่ข้างบนไปกันเหอะ” คนตัวเล็กว่าแล้วพยายามพากันแทรกตัวออกมาจากบรรดาวัยรุ่นทั่วๆไป สาวเท้าขึ้นไปที่ชั้นบนอย่างเคยชินที่ชั้นบนสุดของร้านอันเป็นห้องพักสุดหรูของเจ้าของกิจการ

 

                บรรยากาศในชั้นบนสุดแตกต่างกับด้านล่างลิบลับ ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีแสงไฟสลัวๆไม่มีความวุ่นวายที่ด้านในสุดของห้อง ชายหนุ่มอีกสามคนนั่งรออยู่ก่อนแล้วตรงนั้น…เจ้าของห้องเมื่อเห็นเพื่อนสนิททั้งสามคนแทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วจึงลุกขึ้นไปเตรียมเครื่องดื่มให้อย่างรู้ใจในขณะที่ทั้งสามคนเดินไปทิ้งตัวลงกับโซฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อน เด็กหนุ่มหน้าหวานมองเพื่อนๆทั้งห้าคนด้วยรอยยิ้ม….ตัวเขาที่ถูกเลี้ยงดูมาในกรอบ ถูกตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้มากมายในการดำเนินชีวิต เขารู้ว่าเพื่อนๆทุกคนในที่นี้เข้าใจเพราะเติบโตมาไม่ต่างกัน….คนห้าคนนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขานึกขอบคุณพ่อแม่ที่บังคับให้เขาเข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังที่สุดในเมือง กลุ่มเพื่อนที่คงหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในชีวิต….

 

                …ชื่อของเขาคือ มิยาวากิ ซากุระ ถูกตั้งชื่อนี้เพราะแม่อยากได้ลูกสาวและก็มีใบหน้าหวานๆร่างบางๆเหมือนกับผู้หญิง เขาเป็นคนที่ถูกตั้งกรอบในการเติบโตมากกว่าใครในกลุ่มเพราะพ่อเป็นนักการทูตที่มีหน้ามีตาทางสังคมและต้องวางตัวอย่างดีมาเสมอแม้ว่าพักหลังๆตั้งแต่ที่เขาได้เข้ากลุ่มกับเพื่อนกลุ่มนี้จะออกลายดื้อดึงขึ้นทุกวันก็เถอะแต่พ่อแม่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำไม่ได้แม้แต่จะว่ากล่าวถึงเพื่อนกลุ่มนี้…เพราะแต่ละคนน่ะ……

 

                ….อย่างเช่นคนแรกเลย โยโกยาม่า ยูยะ ที่บ้านทำกิจการไนท์คลับหรูหลายแห่งทั่วประเทศแต่ใครๆในกลุ่มนั้นรู้ดีว่ามันแค่อาชีพบังหน้าของมาเฟียรายใหญ่ที่สุดซึ่งครอบคลุมเอาพื้นที่ในแถบนี้ล่วงเลยไปกว่าครึ่งประเทศในการปกครอง…

 

                ….มัตสึอิ จุน คือหนึ่งในคนที่เข้าไปช่วยเขาออกมา ชายหนุ่มตัวสูง เลือดร้อน ขี้หงุดหงิด ขี้โวยวาย ชอบต่อยตีควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำตัวไม่สมกับเป็นทายาทของโรงพยาบาลมัตสึอิที่ใครๆต่างเคารพนับหน้าถือตาเอาซะเลย….

 

                …ยามาโมโตะ ซายามะ เป็นชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมที่สุดในกลุ่มและก็เป็นคนขี้บ่น เขามักจะอยู่กับยูยะด้วยความที่นิสัยคล้ายคลึงกันแถมยังรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆด้วย บ้านของเขามีหน้ามีตาไม่แพ้กับอีกสามคนด้านบนคือทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าหลายๆอย่าง บางครั้งก็แอบมีเอี่ยวกับธุรกิจมืดของตระกูลโยโกยาม่าเหมือนกัน….

 

                ….แต่ในกลุ่มของพวกเขาก็ใช่ว่าจะมีแต่คนมีฐานะ คาวาเอย์ ริมะ ที่ดูเหมือนน้องน้อยของกลุ่มเป็นผู้ชายตัวเล็กๆใสซื่อค่อนไปทางซื่อบื้อแต่ก็โหวกเหวกไม่แพ้จุน ที่บ้านของเขาเป็นเพียงร้านอาหารชุดหลังโรงเรียนที่กลุ่มเพื่อนมักจะไปฝากท้องบ่อยๆ….

 

                ….และคนสุดท้ายที่ดูจะไม่เข้าพวกที่สุดคือ คิซากิ ยู หนุ่มตัวเล็กเลือดร้อน หงุดหงิดง่ายและก็ชอบใช้กำลัง มีพ่อเป็นเพียงพนักงานบริษัทขี้เมาและถูกแม่ทิ้งตั้งแต่จำความไม่ได้……

 

                การถูกทอดทิ้ง ความกดดันจากสังคมมันเป็นยังไงเพราะพวกเขาคือคนที่เข้าใจมากที่สุดถึงได้อยู่ด้วยกันโดยการเติมเต็มสิ่งต่างๆที่อีกคนไม่มี….วันๆของพวกเขาช่างเรียบง่ายแต่ทั้งหมดนั้นทุกคนรู้ดีว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้อีกไม่นาน…..อีกไม่นานหรอกที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับชีวิตของคนสี่คนในกลุ่ม การเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล…. 

 

 

====================================================

 

เปิดเรื่องใหม่ละคร้าบบบบ ด้วยความที่พล็อตผุดขึ้นมาในหัวต้องทำเลยครับ

 

ฝากเรื่องนี้ด้วยนะครับ ไรท์ฺอาจจะค่อนข้างยุ่งแต่จะพยายามมาอัพเรื่อยๆนะครับ

Intro…SAKUPARU

 

                เพี๊ยะ! ใบหน้าเนียนใสของชายหนุ่มร่างบางหันไปตามแรงตบ ที่แก้มปรากฏเป็นรอยแดงอย่างเห็นได้ชัดเป็นหลักฐานถึงความเจ็บปวดที่เขาชินชาไปแล้ว..มิยาวากิ ซากุระ ที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนชื่อดังเบนหน้ากลับมามองหญิงวัยกลางคนตรงหน้าด้วยแววตาเรียบนิ่ง เมื่อคืนเขากลับดึกกว่าจะมาเหยียบบ้านได้ก็ล่วงเลยเข้าวันใหม่แล้วเพราะแบบนั้นเช้าวันนี้ก่อนที่จะออกไปโรงเรียนจึงต้องมารับโทษกับเรื่องที่ก่อไว้ ถึงจุนมันจะบุกเข้าไปลากเขาออกมาเองก็เถอะแต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือพวกกลุ่มเพื่อนของเขา….พ่อกับแม่ไม่ได้โง่

 

“ถ้าหมดธุระของแม่แล้วผมขอตัวนะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเรียบแล้วโค้งก่อนจะพาตัวเอาเดินผ่านคนเป็นแม่ที่ยืนโมโหหน้าแดงไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา

 

“นี่ลูกจะต้องให้พ่อกับแม่ขายหน้าอีกเท่าไรถึงจะพอใจ!!” เขากรอกตาตีหน้าเบื่อหน่ายขณะที่เดินออกจากบ้านไปไม่ยอมฟังเสียงคำดุด่าของผู้หญิงด้านหลัง เขาเองก็อยากจะถามเหมือนกันว่า ‘เมื่อไรจะเลิกบงการชีวิตผมสักที’

 

                พอออกมาจากบ้านพร้อมด้วยรอยแดงครบทั้งห้านิ้วที่แก้ม อากาศด้านนอกดีกว่าที่เขาคิดไว้ ลมอุ่นๆของเดือนเมษาพัดผ่านไปตามทางบวกกับเป็นช่วงเวลาเช้ามากๆทำให้รู้สึกอบอุ่นสบายกว่าวันไหนๆ กระทั่งผู้คนบนรถไฟฟ้ายังเบาบางกว่าวันอื่นๆพอทำให้เด็กหนุ่มยังอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

 

“ไอ้จุน! อย่าเอามือบังดิว่ะ!” เสียงก่นด่าของยูที่นั่งอยู่ด้านหลังคือสิ่งแรกที่เด็กหนุ่มได้ยินหลังจากที่เดินเข้าไปในห้อง ที่นั่งของเขาคือแถวที่สองนับจากข้างหลังและเป็นแถวที่สองนับจากประตูโดยมีจุนนั่งอยู่ที่นั่งข้างๆด้านหลังเป็นที่ของริมะกับยูที่ตอนนี้ถูกจุนใช้เป็นที่ลอกรายงานชั่วคราว ยูกับจุนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันยื้อแย่งสมุดรายงานเล่มบางไปมาราวกับเด็กกำลังแย่งของเล่น

 

โป๊ก! โป๊ก! “ลอกกันดีๆไม่เป็นไงฟ่ะถ้ารายงานมันขาดชาตินี้พวกนายไม่ต้องมาแตะต้องสมุดฉันอีกเลย!!” คนที่เข้าไปห้ามศึกก็คือซายามะผู้เป็นต้นฉบับ เขาตีหน้าดุเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งกุมหัวร้องโอดโอยก่อนที่จะเกิดอันตรายอะไรก็ตามกับสมุดของเขา

 

“ไงซากุระ โดนมาอีกแล้วหรอ” ทันทีที่เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงที่โต๊ะของตัวเองยูยะที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันกลับมาทักทายด้วยรอยยิ้ม รอยแดงที่แก้มไม่เหนือความคาดหมายของเพื่อนๆเท่าไรนักในเมื่อเรื่องที่พวกเขาทำกันเมื่อวานมันน่าโกรธจริงๆนี่นา

 

“อือ แล้ว….ริมะละ” เด็กหนุ่มขานรับในลำคอแล้วกวาดสายตาหาคนอีกคนที่น่าจะนั่งอยู่ด้วยกันด้านหลัง

 

“สายอีกตามเคยละมั้ง”

 

                ครืดดดดดดดดดด!!! สิ้นคำตองของซายามะก็เป็นเสียงเปิดประตูตามมาด้วยร่างเล็กๆของอาจารย์ประจำชั้น ‘โอชิมะ ยูโตะ’ ซังที่เดินเข้ามาทำให้เรื่องที่กำลังจะพูดกันต่อเป็นอันต้องพับเก็บไป จุนย้ายกลับมานั่งในที่ของตัวเองพอดีกับที่อาจารย์เดินไปถึงหน้าชั้น

 

“ไงโกลเด้นวีค เที่ยวกันเพลินเลยล่ะสิ” คำทักทายอย่างเป็นกันเองของอาจารย์เรียกยิ้มให้กับคนในห้องได้ไม่ยาก เจ้าตัวกวาดสายตาไปรอบๆห้องก่อนจะมาสะดุดเอาที่นั่งด้านหลัง

 

“คาวาเอย์ละ?”

 

“ยังไม่มาครับ” ยูตะโกนตอบกลับซึ่งยูโตะก็พยักหน้ารับอย่างรู้ดี

 

“งั้นเข้าเรื่องเลยละนะ….วันนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา” คำพูดของยูโตะเรียกเสียงฮือฮาให้กับคนในชั้นไม่น้อย เจ้าตัวหันไปพยักหน้าให้กับคนด้านนอกประตูก้าวเข้ามา….

 

                วินาที่ที่ผู้หญิงตัวเล็กเดินเข้ามาทั้งห้องเงียบสนิทไม่เว้นแม้แต่เด็กหนุ่มหน้าหวานที่นั่งอยู่ในแถวที่สี่ของห้อง….มิยาวากิ ซากุระ นิ่งเงียบจับจ้องไปที่เด็กใหม่ตรงหน้าชั้นอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เด็กสาวผิวขาวเนียน ตัวเล็กบอบบาง ดวงตากลมโต รวมๆแล้วก็น่ารักเอามากๆ ยิ่งไปกว่านั้น……

 

                ………..เหมือนใครบางคนที่สำคัญกับเขามากเหลือเกิน………

 

“ชิมาซากิ ฮารุกะ ย้ายตามพ่อที่เป็นนักการทูตกลับมาจากต่างประเทศจากนี้ไป…ดูแลเพื่อนกันด้วยล่ะ”

 

=========================================================

 

อินโทรคู่แรกพารูรุมาแค่นี้จริงๆ 555 แต่ยังไงก็เถอะผมโอชิพารูรุนะครับ

Intro…WMatsui

 

                ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! เสียงลูกบาสกระทบแป้นดังก้องไปทั่วโรงยิมในเวลาซ้อมของชมรมบาสเป็นเวลาเย็นมากแล้วสำหรับนักเรียนคนอื่นที่ไม่มีกิจกรรมชมรม มัตสึอิ จุนกัปตันทีมบาสในชุดวอร์มของโรงเรียนยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากขณะที่ก้มตัวลงหอบหายใจเอาอากาศเข้าไป วันนี้คนที่มาซ้อมบางตาทำเอาอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กปีหนึ่งหายไปไหนกันหมด

 

“เด็กปีหนึ่งมันไปไหนหมดนะ” เขาหันไปถามซากุระในชุดแบบเดียวกันที่นั่งกระดกน้ำอยู่ข้างๆ

 

“คงไม่มาแล้วละมั้ง” ซากุระตอบกลับเสียงเรียบ

 

“เฮ้อ! งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้กันเหอะ” จุนตบไหล่ของเพื่อนร่วมชมรมเบาๆเชิงชักชวน

 

“จะกลับก็กลับไป ฉันจะอยู่อีกหน่อย” คำตอบของซากุระในจุดนี้จุนก็พอจะเข้าใจว่าเขาไม่อยากกลับบ้านไปโดนบ่นหูชาอีก แต่เขาเบื่อพอแล้วกับความไม่รับผิดชอบของเด็กปีหนึ่งเขาพยักหน้าให้กับซากุระที่วางขวดน้ำแล้วกลับลงไปในสนามก่อนที่จะปลีกตัวออกมา

 

                ในห้องล็อคเกอร์ที่แยกออกมาจากโรงยิม มัตสึอิ จุนในชุดนักเรียนแขนสั้นหัวเปียกโชกเดินขยี้ผมออกมาจากห้องอาบน้ำของชมรม หยาดน้ำที่เขาไม่สนใจจะเช็ดออกเกาะพราวไปตามใบหน้าและลำแขนขาวเนียนขณะที่กำลังเก็บของเตรียมจะกลับไปก็รู้สึกได้ถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของห้อง

 

“วันนี้รีบกลับจังเลยนะ”

 

                ตึ่ง! จุนหันขวับไปมองทางต้นเสียงด้วยความตกใจจนหลังกระแทกกับล็อคเกอร์ด้านหลังอย่างแรงจังหวะเดียวกับที่บุคคลด้านในเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างหลังเขา…ชายหนุ่มตัวสูงผอมบาง ผิวขาวเนียนละเอียดจนผู้หญิงหลายๆคนต้องอิจฉายามมันต้องแสงไฟประกอบกับใบหน้ากลมๆผมดำสั้นระต้นคอ ริมฝีปากบางแม้มีรอยแตกเลือดซึมลงมาจรดคางแต่ก็ยังแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย….มัตสึอิ เรน ในสภาพเหมือนกับไปฟัดกับใครมา

 

“เอ๋? กลัวหรอ” สาบานได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้คือคนแรกๆที่จุนขอไม่อยากรู้จักกันตั้งแต่แรก…รุ่นพี่ปี 3 ที่ไม่ควรโคจรเข้ามาในชีวิตเขา เรนเป็นแค่คนคนหนึ่งที่เขาเคยไปมีเรื่องด้วยแต่ก็แพ้กลับมาเสียทุกครั้งนับแต่วันนั้นที่เขาโดนเรนซ้อมซะหมดสภาพหมอนี่ก็ติดใจอะไรเขาไม่รู้ถึงได้โผล่หน้ามายียวนกวนประสาทกันอยู่เรื่อยๆ

 

“ใครกลัวฟ่ะ! นายนั่นล่ะเข้ามาทำอะไรในห้องล็อคเกอร์ของชมรมบาส!!” จุนฝืนทำเสียงแข็งโวยวายกลบความสั่นแล้วก้าวถอยออกมาจากระยะที่มันไม่ปลอดภัยกับเขา

 

“คิดถึง” รอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าขาวๆทำเอาจุนเลือดสูบฉีดจนน่ากลัวโชคดีของเขาหน่อยตรงที่จุดนั้นมันมืดมากพอจะซ่อนใบหน้าแดงๆของเขา แต่เรนดูเหมือนจะไม่ยอมเมื่อเขาเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้าไปใกล้จนจุนหลังติดกับผนังหมดทางหนี

 

“ยะ อย่ามาล้อเล่นนะเฟ้ยยยย!!!” หมับ!! จุนตะโกนกลับอย่างเหลืออดแล้วปล่อยหมัดที่ล้มใครต่อใครมามากมายด้วยความกลัวอีกฝ่ายจะเข้ามาใกล้มากกว่านี้ แต่นั่นนับเป็นความผิดพลาดของเขาเมื่อเรนรับมันไว้ได้และอาศัยจังหวะนั้นดึงแขนให้เขาเซเข้าไปในอ้อมกอด

 

“คิกคิก นายหน้าแดงอยู่นะ” เรนหัวเราะคิกคักอย่างพอใจในสีหน้าที่จุนแสดงออกมา

 

“พูดบ้าอะไรของนาย!!” จุนออกแรงสุดตัวผลักอกของรุ่นพี่จอมกวนประสาทให้ถอยออกไป

 

“ฮะฮะ นายคงมีปัญหาแล้วล่ะ” เรนขยี้หัวของชายหนุ่มตรงหน้าตามด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีให้จุนต้องหน้าแดงยิ่งกว่าเก่า เขาหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปเพื่อปรับอารมณ์ก่อนที่จะต้องระเบิดมันออกมา….

 

“อย่ามายุ่งกับฉัน!!!!!!!!!” ตะโกนออกไปสุดเสียงแล้วปัดมือของเรนออก เขาได้โอกาสรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันทีด้วยสัญชาตญาณที่บอกว่าตรงนั้นมันไม่ปลอดภัย……ใช่ ไม่ปลอดภัยเลยที่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้

 

“หมอนั่นนี่น่ารักจังเลยน้า” เรนมองตามหลังคนที่วิ่งสุดฝีเท้าออกไปแล้วคลี่ยิ้ม…..เด็กที่มีดวงตาก้าวร้าวในครั้งแรกที่เจอ สายตาที่ไม่เคยคิดว่าจะยอมแพ้แม้จะล้มลงจนเกินขีดจำกัดของร่างกายนั้นมันดันถูกใจเขาเข้าอย่างจัง…….ไม่ว่ายังไงเจ้าของแววตานั้นต้องสยบให้กับเขา สักวันเด็กนั่นจะต้องเลิกพยศแล้วยอมแพ้……

 

==================================================

 

เบิ้ลอิกลายเป็นคู่วายไปแล้วคร้าบบบบบบบบบ 555 >< พอดีผมชอบลุคนี้ของทั้งคู่น่ะ เลือกไปผู้จริงๆชายคู่ไปเลย

Intro…SAYAMILKY

 

                ถ้าหากกล่าวถึงปี 2 ห้อง B สิ่งแรกที่นักเรียนคนอื่นๆคิดถึงก็คงเป็นเหล่าลูกคุณหนูคุณนายหรือคนค่อนข้างมีชื่อเสียงในสังคม และ ‘วาตานาเบะ มิยูกิ’ สาวฮอตอันดับต้นๆของห้องคนเป็นใครคนแรกๆที่จะถูกนึกถึง แต่ใครก็ตามที่จะเข้ามาจีบคงต้องคิดแล้วคิดอีกว่าควรจะเข้าไปทักทายได้จังหวะเวลาไหนเพราะถึงแม้นักตกปลาแห่งห้อง 2-B จะชอบบริหารเสน่ห์ ผูกสัมพันธ์ไปทั่วตามประสาคนขี้เล่น มนุษย์สัมพันธ์ดีแต่หากเจ้าตัวไม่อยากเล่นด้วยแล้วล่ะก็หกหนุ่มหล่อประจำห้องพร้อมจะเข้ามากีดกันทุกวิถีทาง….

 

“น้าาาาาา ซายาเน่ช่วยฉันหน่อยยยยย” ยามาโมโตะ ซายามะ ขมวดคิ้วมองเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่กำลังส่งสายตาออดอ้อนเขาทุกวิถีทางอย่างเบื่อหน่าย…แววตาแบบนี้ใครเจอเข้าไปคงรีบสนองสิ่งที่เจ้าตัวต้องการให้ทันทีแต่คงไม่ใช่เขาคนนึงล่ะ

 

“เรื่องอะไรเล่า! ทำไมฉันต้องไปกับเธอด้วย งานพวกนั้นมันน่าเบื่อจะตายไป!” ซายามะว่ากลับ…เรื่องของเรื่องก็คือสุดสัปดาห์จะมีงานเลี้ยงของสังคมไฮโซโดยที่ตระกูลวาตานาเบะเจ้าของธุรกิจเพชรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเป็นเจ้าภาพ นั่นทำให้สองแฝดวาตานาเบะ ‘วาตานาเบะ มิยูกิ’ และ ‘วาตานาเบะ มายุ’ แฝดคนพี่จำต้องร่วมงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ก็ยูยะคุงกับจูจังไม่ว่างนี่นาถ้าซายาเน่ไม่ไปคอยเป็นไม้กันหมาให้ฉันจะให้ฉันควงยูจังหรือริจจังไปรึไงเล่า” มิยูกิเถียงกลับแบบไม่ยอมแพ้เพราะยามาโมโตะ ซายามะคือตัวเลือกสุดท้ายของเธอแล้วถึงจะเป็นตัวเลือกที่ตื้อยากอันดับต้นๆก็เถอะ

 

“ถึงฉันไม่ใช่ลูกพนักงานบริษัทธรรมดาฉันก็ไม่ไปกับเธอหรอก” ยูที่นั่งลอกงานอยู่ด้านหลังห้องเงยหน้าขึ้นมาตอบให้ซายามะถอนหายใจออกมาดังๆอย่างรำคาญ

 

“แล้วซากุระละ?”

 

“ซัคคุงไม่ไปหรอกซายาเน่ก็รู้” มิยูกิเหลือบมองไปทางซากุระที่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างสนใจเมื่อได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา

 

“แฟนคลับเธอก็มีตั้งเยอะกระดิกนิ้วนิดเดียวก็ตามไปเป็นพรวนแล้ว”

 

“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากพวกนายแล้ว”

 

“มายุก็ไปนี่! ควงมายุไปแล้วกัน”

 

“ได้ที่ไหนเล่า! นี่! ไม่อยากไปขนาดนั้นเลยรึไง” มิยูกิขึ้นเสียงอย่างเหลืออด นี่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นนะยอมแพ้เธอตั้งแต่ส่งสายตาอ้อนแล้วไม่รอให้อารมณ์เสียแบบนี้หรอก….นี่ซายามะมันเป็นเกย์ใช่ไหมรึได้ไม่รู้สึกถึงความน่ารักของเธอเลย

 

“เฮ้อ! เออๆก็ได้ๆ” สุดท้ายที่เห็นว่าคนตรงหน้าโกรธจริงๆทำให้ซายามะจำต้องแพ้ลูกตื้อ เขาตกปากรับคำก่อนที่จะโดนมิยูกิกระโดดสวมกอดให้เด็กหนุ่มต้องกรอกตาอย่างรำคาญ……..ยัยคนนี้มันน่ารักตรงไหนกันนะ

 

================================================

 

ตามมาด้วยคู่หนุ่มซึนกับสาวนักตกปลา เอ่อ….พี่เน่ไม่เห็นความน่ารักของมิลจริงๆหรอครับ ‘_’

Intro…MAYUKI

 

                หากกล่วงถึงสองแฝดวาตานาเบะ…สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนมีต่างกันคือบุคลิกการคบคน ‘วาตานาเบะ มิยูกิ’ เป็นคนประเภทที่เข้ากับใครก็ได้และจะมีความสุขมากเมื่อมีผู้คนรายล้อมคอยเอาอกเอาใจรอบตัว แต่ไม่ใช่กับ ‘วาตานาเบะ มายุ’ แฝดคนพี่ที่มักจะพูดคุยกับคนที่สนิทและทำตัวขี้อ้อนกับเฉพาะคนบางคนเท่านั้น นั่นทำให้กลุ่มคนที่สนิทกับคนทั้งคู่ที่สุดซึ่งก็คือหกหนุ่มหล่อของห้องหวงมายุยิ่งกว่ามิยูกิราวกับเป็นน้องสาวคนเล็ก….ไม่ว่าใครที่จะเข้ามาจีบย่อมต้องผ่านสายตาทั้งหกคู่เท่านั้น ยกเว้นก็แต่คนคนหนึ่งที่ไม่มีใครในกลุ่มอยากยุ่งด้วยแล้วเปิดโอกาสให้เต็มที่…..

 

“แก้วนี้ท่าทางไม่ค่อยดีเลยแหะ ใส่อะไรไว้รึเปล่าเนี่ย” มัตสึอิ จุนในชุดลำลองเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงยีนส์ยกแก้วของเหลวสีฟ้าใสขึ้นส่องกับแสงไฟสลัวๆในผับอย่างระแวง เขาเพิ่งไล่ให้หนุ่มหน้าจืดที่อาจหาญมาชวนมายุดื่มต่อหน้าต่อตาเขาเตลิดไปโดยทิ้งเครื่องดื่มน่าสงสัยเอาไว้

 

“นายก็ลองสิ” มายุตอบกลับแล้วยกแก้วในมือของตัวเองขึ้นดื่ม วันนี้เธอแค่มีอารมณ์อยากจะออกมาเที่ยวแบบที่นานๆครั้งจะเจอแต่เธอไม่กล้าพอที่จะนั่งดื่มคนเดียวหรอก…สุดท้ายก็มีมัตสึอิ จุนกับโยโกยาม่า ยูยะมานั่งประกบได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ทั้งคู่ผลัดกันส่งสายตาเย็นยะเยือกให้กับใครก็ตามที่พยายามจะเข้าหาเธอทำให้เธอนั่งดื่มได้อย่างสบายใจจนตอนนี้ แก้วของเหลวหลายสีสันอันเป็นอนุสรณ์ของคนใจกล้าถูกทิ้งไว้แก้วแล้วแก้วเล่าจนแทบจะไม่มีที่วาง

 

“มายุเนี่ยยังฮอตเหมือนเดิมเลยนะ แต่สั่งมาทิ้งแบบนี้น่าเสียดายของเป็นบ้า” ยูยะว่าขึ้นแต่เขาไม่กล้าพอจะเสี่ยงกับเครื่องดื่มที่ใครจะใส่อะไรไว้รึเปล่าหรอกนะ

 

“นายได้กำไรตั้งเท่าไร กับแค่เครื่องดื่มไม่ได้ดื่มแค่กี่แก้วทิ้งๆไปซะก็หมดเรื่อง” จุนที่ยังจับจ้องแก้วเครื่องดื่มในมือตอบ ใจเขาอยากจะพามายุขึ้นไปนั่งดื่มข้างบนมากกว่าแต่คงได้บรรยากาศไม่เหมือนกัน

 

“เหหห เครื่องดื่มเต็มตะแบบนี้ดื่มกันหมดหรอขอผมนั่งด้วยคนสิ” เสียงทุ้มๆดังแทรกเสียงเพลงจากด้านหลังทำให้จุนกับยูยะชะงักกึกกับเหยื่อผู้กล้าหาญรายใหม่….ทั้งคู่พร้อมใจกันหันขวับไปมองด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

 

“นาย! อ่ะ….ยูกิซัง!!!” แทนที่จะได้ด่าสวนได้เป็นอันต้องพร้อมใจกันลุกขึ้นพรึบพับเมื่อเห็นว่าคนใจกล้าคนล่าสุดคือใคร…. ‘คาชิวากิ ยูกิ’ ปี 3 ห้อง A หนุ่มหล่อร่างสูงลูกชายคนเดียวของ สส.คาชิวากิ ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในละแวก….คนคนเดียวที่พวกเขาไม่อยากข้องเกี่ยว เพราะกลัวก็ส่วนหนึ่งแต่อีกส่วนใหญ่ๆน่ะ…..

 

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะยูกิ ไนท์คลับเนี่ยดูไม่เหมาะกับคุณเลยนะ” มายุทักขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่ยูกิทิ้งตัวลงข้างๆอย่างถือวิสาสะและไม่มีใครห้ามปราม

 

“คุณลุงบอกให้มาตามหาเด็กขี้เหงาที่พอไม่มีคนเล่นด้วยก็หนีออกไปเที่ยวข้างนอกเพลินจนเลยเวลากลับบ้าน” ยูกิยิ้มกริ่มตอบแล้วยกนาฬิกาให้ดู

 

“เอ๋? พูดเรื่องอะไรกัน…แค่ยูกิไปทำธุระที่ต่างจังหวัดและไม่ได้แวะมาหาแค่อาทิตย์เดียวฉันไม่เหงาหรอกค่ะ” มายุยิ้มตอบแต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มเย็นๆให้ยูกิต้องกลืนน้ำลายลงคอ ดูท่าทางเขาจะถูกงอนซะแล้วสิยัยเด็กน้อย

 

“ยังไงก็เถอะ เวลานี้คงต้องเชิญคุณหนูวาตานาเบะกลับบ้านแล้วล่ะนะครับ คุณพ่อจะเป็นห่วงเอา” ว่าจบก็ลุกขึ้นและส่งมือให้มายุจับเป็นการชวนซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีอยู่แล้วว่าลองหลานชายคนสนิทที่คุณพ่อรักนักหนามาตามถึงที่ยังไงก็คงไม่มีทางขัดได้อยู่แล้ว

 

                นั่นล่ะคือเหตุผลส่วนใหญ่ที่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วย…..บรรยากาศอบอุ่นรอบๆตัวของทั้งคู่แบบนั้น ลองมายุเล่นด้วยแล้วก็หมายความเป็นนัยๆว่าเธอเลือกคนคนนี้แล้วนั่นล่ะ…เพราะฉะนั้นคนที่จะยุ่งเกี่ยวกับมายุได้มีแค่คาชิวากิ ยูกิเท่านั้น

 

=============================================

 

และคู่สุดท้ายนะครับ มายูกิ….บุคลิกพี่กรเรื่องนี้ดูอบอุ่นๆหน่อยๆนะครับเนี่ย ขัดกับอิทธิพลที่พวกจุนกลัวกันสุดๆ

ปักธงรอ

รอเลย

มาปูเสื่อรอค่าา

รอค่า

ปลูกบ้านรอเลย ^ ^

ตอกเสาเข็มรอเลย
ว่า…เบื้ลออเป็นเกย์!! ไม่นะม่ายยย
แต่แบบนี้ก็น่ารักดีนะ ไม่ค่อยได้เห็นจูจังในสภาพนี้เท่าไหร่
แบบเฮียรุก เจ้าเล่ห์ๆ กับอิจุน บ่าวรับผู้อ่อนด๋อย

แล้วปรี้ยุยคู่กับใครละทีนี้

มีความบอยแบนด์ =\\\\=
ไหงเบิ้ลอิเป็น yaoi หละคะ555 ตกใจเลย
แต่เหมาะดีนะคะ เฮียเมะจูเคะแบบนี้ ชอบๆ
รอนะค๊าา

                “ทำไมคุณจะต้องมายุ่งวุ่นวายกันเรื่องของพวกเราด้วย” ท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องพยาบาลยามเย็นไร้นักเรียน ชายหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มสภาพเปรอะเปื้อนเลอะเทอะบนเตียงพยาบาลพึมพำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดกับเด็กสาวท่าทางเรียบร้อยตรงหน้า มือเรียวขาวบรรจงทายาลงไปตามแผลฟกช้ำตามตัวของเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างไม่สะทกสะท้ายถึงแม้เขาคนที่เธอกำลังท้าทายอยู่จะเป็นเด็กหนุ่มผู้น่ากลัวเป็นคนแรกๆของห้องก็เถอะ

 

                “ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ช่วยนี่คะ” มิยาวากิ ซากุระถอนหายใจออกมาดังๆกับคำตอบของเด็กสาวซึ่งไม่ผิดจากที่เขาคิดไว้มากนัก

 

                “…” เขาเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างเพราะผู้หญิงตรงหน้าดื้อรั้นเกินกว่าที่จะมาเสียเวลาต่อปากต่อคำด้วยประกอบกับคงเพราะหมดแรงจากเรื่องเมื่อครู่นิดหน่อย

 

                “บ้านของมิยาวากิซังอยู่ที่ไหนหรอคะ ถ้าไม่รังเกียจให้คนของฉันไปส่งไหม” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเงียบไปเธอก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเขาคงเหนื่อยแล้ว เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาไปมีเรื่องกับเด็กโรงเรียนอื่นมาก็ไม่รู้หรอกว่าผลมันเป็นยังไงแต่เขาเดินกลับมานั่งหมดสภาพอยู่ที่ม้านั่งหน้าโรงเรียนทำให้เธอที่นั่งอ่านหนังสือทำรายงานอยู่แถวนั้นพอดีต้องพามาทำแผลที่ห้องพยาบาลโดยที่เขาไม่เต็มใจนัก

 

                “คืนนี้ผมจะไม่กลับบ้าน” ซากุระตอบเสียงเบาแล้วเอนหลังลงไปกับเตียงพยาบาล

 

                “เอ๊ะ?” หญิงสาวหน้าตาน่ารักตีหน้างงใส่ให้ซากุระต้องเบนหน้าหนีตัดรำคาญ

 

                “บ้านของผมเป็นนักการทูต ขืนกลับไปสภาพนี้ผมคงโดนคุณแม่ด่าเละ” ซากุระตอบ เพราะตั้งแต่เข้าเรียนมาได้สองอาทิตย์กว่าๆคุณพ่อกับคุณแม่คงตกใจน่าดูที่อยู่ๆเขาก็ทำตัวฉีกกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่พวกท่านเคยตั้งให้แบบนี้ ส่วนหนึ่งมันเพราะความกดดันตั้งแต่เด็กแต่อีกส่วนใหญ่ๆนั่นเพราะเขาได้พบกับพวกจุน ที่พึ่งเพียงแห่งเดียวที่เขาสบายใจ คนเพียงไม่กี่คนที่บอกกับเขาว่า ‘อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ’

 

                “แต่ว่า….”

 

                “คุณกลับไปได้แล้ว….” เด็กหนุ่มแทรกตัดบท สีหน้านิ่งๆที่เขามักจะแสดงออกมาอยู่เป็นประจำถูกส่งไปให้เด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ

 

                “แล้วมิยาวากิซังจะไปอยู่ที่ไหนละคะ คืนนี้น่ะ” เธอยังคงไม่วางใจเรื่องของเขา อาจจะเป็นเพราะโดยปกตินิสัยเธอมันเป็นแบบนั้นอยู่แล้วก็ได้ใครหลายๆคนจึงมักจะชื่นชมเธอ

 

                “นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับคุณหรอก มืดแล้วคนที่บ้านจะเป็นห่วงเอานะ” ซากุระตอบกลับอย่างรำคาญ ไม่เห็นเคยมีใครกล้าเซ้าซี้เขาขนาดนี้เลย

 

                “ได้ยังไงละคะก็ในเมื่อฉันรู้เห็นกับเรื่องนี้แล้วนี่”

 

                หมับ! มิยาวากิ ซากุระกระโจนพรวดลงจากเตียงและคว้าข้อมือบางๆของเด็กสาวเอาไว้ ออกแรงฉุดเล็กน้อยให้เธอลุกขึ้นตามมา ขืนปล่อยแบบนี้ต่อไปเธอได้ถามเขาไม่หยุดแน่

 

                “คนขับรถของคุณรอที่หน้าโรงเรียนใช่ไหม ผมจะไปส่งเลิกเซ้าซี้ถามผมแล้วก็เลิกยุ่งกับพวกเราซะ…แค่เมินเฉยเหมือนคนอื่นๆมันยากนักรึไง” ประโยคสุดท้ายเขาบ่นกับตัวเองเบาๆขณะที่ออกแรงลากผู้หญิงร่างบางตรงหน้าไปด้วยกัน

 

                “ยังไงก็เถอะถ้าไม่ยอมกลับบ้านคุณพ่อคุณแม่จะเป็นห่วงเอานะคะ” เด็กสาวยังไม่ละความพยายามๆทั้งที่คนเดินนำยังคงออกแรงเพิ่มมาขึ้นและก้าวยาวขึ้น

 

                “ผมจะไปนอนบ้านยูยะพอใจรึยัง” ซากุระหันมาตอบด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยอารมณ์ เขาปล่อยของมือของเด็กสาวและผลักไหล่เธอเบาๆไปทางประตูรั้วของโรงเรียนซึ่งอยู่ตรงหน้าอีกไม่ไกล

 

                “อ๊ะ! เดี๋ยวก่อนค่ะมิยาวากิซัง…”

 

                “อะไรอีก…”

 

                แปะ! วินาทีที่เขาซึ่งกำลังจะเดินจากไปหันกลับไปตามคำเรียกของเด็กหญิงน่ารำคาญ ปลาสเตอร์สีอ่อนแปะลงมาบนคิ้วของเขาอย่างแผ่วเบา สัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนทำให้เขาไม่กล้าแม้จะขยับกาย ยิ่งรอยยิ้มอ่อนโยนที่อยู่ตรงหน้าทำเอาอารมณ์ที่คุกกรุ่นถูกโยนทิ้งไปตรงไหนแล้วก็ไม่รู้ ถูกลากไปดูตัวมาก็เยอะแต่กลับไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่จะ….ส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจได้มากขนาดนี้มาให้

 

                “อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ไปส่งมิยาวากิซังที่บ้านของโยโกยามะซังด้วยเถอะค่ะ” คำขอร้องของเธอทำให้เขาได้สติ สะบัดหัวไล่ความมึนงงจากความใกล้ชิดออกไปและกลับมาตีหน้านิ่งอีกครั้ง

 

                “ไม่ต้อง….คุณกลับไปเถอะ” เขารู้แล้วล่ะว่าเธอดื้อขนาดไหน ออกไปไล่ก็ไม่ไปถึงได้ต้องคว้าข้อมือนั้นอีกครั้งและลากไปส่งถึงรถยุโรปคันหรูที่จอดเทียบอยู่หน้าโรงเรียน สัญลักษณ์ของตระกูลใหญ่ผู้มีเชื้อสายของราชวงศ์เด่นหราอยู่ด้านหน้าของรถทำให้เขามั่นใจว่าถูกคันแน่นอน…หญิงสาวที่ใครๆในห้องต่างเคารพชื่นชม ทั้งสูงศักดิ์ สุภาพสมดั่งที่กุลสตรีญี่ปุ่นควรจะเป็นไหนจะยังจิตใจที่พร้อมจะโอบกอดผู้อื่นเอาไว้ด้วยความรัก ความอบอุ่นอ่อนโยนที่ใครๆต่างก็ต้องการครอบครอง

 

                “แล้วมิยาวากิซังจะไม่โดนดักทำร้ายอีกหรอคะ” เด็กสาวตรงหน้ายังไม่ยอมแพ้

 

                “บ้านยูยะอยู่ถัดจากตรงนี้ไปอีกหนึ่งสถานีและผมยังเดินไหวนั่นก็หมายความว่าผมยังเอาตัวรอดได้ ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมาเป็นห่วง” ซากุระตอบ มองคนขับรถของตระกูลเด็กสาวที่อ้อมมาเปิดประตูรอแล้วจึงดันหลังให้เขาเข้าไปนั่ง ที่ใจกล้าพอจะทำกริยาเสียมารยาทแบบนี้เพราะมันมืดเอามากๆแล้วหรอกนะ

 

                “….อ้อ! แล้วก็นะ” เด็กสาวในรถเหลียวมองเขาเล็กน้อยอย่างสงสัยเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเธอก่อน จริงๆเป็นครั้งแรกที่เขาคุยกับเธอเลยล่ะ กลุ่มผู้ชายด้านหลังห้องที่น่าเป็นห่วงพวกนั้นน่ะเธอคุ้นเคยกับยุยะคุงคนเดียว

 

                “คุณ…..จะเรียกผมว่า ซากุระ เฉยๆก็ได้” ถือเป็นผู้หญิงคนที่สามถัดจากคู่แฝดก็แล้วกัน ที่พวกเขาจะยอมรับ…เขาต่อประโยคนั้นในใจแล้วปิดประตูรถให้กับคนด้านในที่ยังนั่งอึ้งกับคำพูดของเขาโดยไม่ให้สิทธิ์เธอถามอะไรอีก รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่มุมปากอย่างอารมณ์ดี

 

                                เขาน่ะ เหมือนจะเจอแล้วล่ะผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากจะลองเอาหัวใจเป็นเดิมพันต่อสู้ดูสักครั้ง ไม่ได้อยู่ข้างเธอ ไม่ได้เป็นผู้ชายที่เธอเลือกก็ไม่เป็นไร…เขาเองไม่รู้หรอกว่ากับแค่พลาสเตอร์แผ่นเล็กๆแผ่นเดียวที่หัวคิ้วมันควรจะมีอิทธิพลมากมายขนาดไหนต่อหัวใจ แต่ความอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นที่ส่งมา มีค่ามากแล้วสำหรับคนอย่างเขา ชีวิตที่เหมือนจะดีแต่มันช่างห่วยแตกสิ้นดีในความคิดของเขา

 

                แต่ก็นะ….พระเจ้ามักจะเล่นตลกกับชีวิตของคนเราเสมอ หลังจากนั้นเพียงแค่สองเดือนทั้งๆที่เขายังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อเธอเลยด้วยซ้ำ เขายังจำได้ดีราวกับมันเล่นวนซ้ำๆอยู่ในความฝัน ในตอนนั้นที่อยู่ยืนอยู่ตรงหน้า…ผู้หญิงตัวเล็กๆ ผิวขาวๆ หน้าตาน่ารักที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม และแววตาเศร้าๆที่เขาเกลียดที่สุด

 

                “ขอโทษนะซากุระคุง…ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับซากุระคุงน่ะสนุกมากเลยล่ะ จะเป็นความทรงจำที่ฉันจะไม่มีวันลืมเลยแม้มันจะเป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆของชีวิตก็ตาม….”

 

 

 

                โครม!!! เสียงโครมครามที่ดังขึ้นรอบกายปลุกเด็กหนุ่มให้หลุดอออกจากห้วงความฝัน มือเรียวบางยกขึ้นขยี้ตาอย่างสลึมสลือทั้งยังไม่ตื่นดี…เมื่อกี้ ฝัน? งั้นหรอ คิดแล้วหัวใจก็พลันเจ็บแปลบๆเหมือนโดนเข็มนับพันทิ่มแทง ว่ากันว่าความฝันที่ร้ายที่สุดคือฝันดีที่ไม่มีจริง ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเป็นหรอกนะตั้งแต่วันนั้นที่เธอหายไปภาพในวันนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่มีทีท่าจะจืดจาง ยิ่งในวันนี้วันที่มีใครคนหนึ่งเข้ามาตอกย้ำมัน…เด็กใหม่คนนั้น ชิมาซากิ ฮารุกะ ที่หน้าตาเหมือนเธอไม่มีผิดเพี้ยน ผิดกันก็ตรงบรรยากาศรอบกายที่ไม่เหมือนกันสักนิด

 

                “ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนวะ” จุนที่นั่งอยู่ข้างๆหันไปถามซากุระส่ายหน้าตอบแล้วเบนสายตาลงไปที่ต้นเสียง คาวาเอย์ ริมะนั่งกองอยู่กับพื้นข้างๆเก้าอี้เขา ทั้งเสียงและแรงกระแทกคงทำให้เขาตื่นจากการพักงีบหลับระหว่างคาบเรียน

 

                “หมดคาบแล้วหรอ” เขาหันกลับไปถามเพื่อนสนิท จุนพยักหน้ารับแล้วบุ้ยใบ้ไปทางประตูที่มีเด็กสาวสองคนในเครื่องแบบของชั้นปีหนึ่งยืนอยู่ หนึ่งในนั้นคือคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

 

                “คุณหนูทาชิมะมาหาแนะ ว่าจะปลุกพอดีเลย”

 

                “อือ” เขาขานรับในลำคอ กุมขมับที่ยังปวดตุบๆแล้วลุกขึ้นเดินไปหารุ่นน้องทั้งสองอย่างไม่รีบร้อนแต่นั่นช่างกวนประสาทสิ้นดีในสายตาของเด็กสาวด้านนอกห้อง

 

                “อรุณสวัสดิ์ค่ะรุ่นพี่มิยาวากิ” เด็กสาวผมสั้นท่าทางเรียบร้อยโค้งทักทายเขาอย่างมีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่อง แต่กับคนข้างๆเนี่ยสิ….

 

                “กว่าจะเสด็จออกมาได้นะคะ” คุณหนูทาชิมะ เมรุ ว่าตีหน้าหมั่นไส้ใส่ชายหนุ่มร่างบางตรงหน้าซึ่งก็หาได้ทำให้เขาสะทกสะท้านไม่

 

                “ใครจะไปคิดละครับว่าคุณหนูทาชิมะจะเดินมาหาถึงที่…ว่าแต่ ช่วยทำตัวน่ารักๆเหมือนมิโอะจังหน่อยจะได้มั้ย” ว่าแล้วมือก็อยู่ไม่สุขเลื่อนไปลูบหัวของเด็กสาวผมสั้นอย่างเอ็นดู

 

                เพี๊ยะ! และก็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดว่ามือเขาจะต้องโดนยัยเด็กหวงของข้างๆปัดออกอย่างแรงจนรู้สึกแสบนิดๆ สายตาดุๆตวัดมองชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างเคืองๆแล้วก้าวเข้าไปหาอีกก้าว

 

                “เมื่อวานนี้ทิ้งกันได้นะคะ” ซากุระเลิกคิ้ว เมื่อวานนี้ที่หมายถึงก็คงจะเป็นงานดูตัวที่เขาโดนลากไปนั่นล่ะ..ตระกูลมิยาวากิกับตระกูลทาชิมะไม่รู้เหมือนกันว่าแอบไปคุยอะไรกันไว้ตอนไหนรึเปล่า ท่าทางเขาจะโดนหลอกไปกินข้าวกับเธอบ่อยที่สุดแล้วล่ะเอาง่ายๆก็ตั้งแต่เด็กจนโต ถึงจะมีไปกับผู้หญิงคนอื่นบ้างแต่พูดเลยว่าเขาสนิทกับเมรุที่สุด

 

                “ที่หงุดหงิดเนี่ย เพราะพี่ทิ้งเมรุไว้ให้เสียหน้ารึเพราะไม่พอใจที่ต้องเผชิญชะตากรรมคนเดียวครับ” ซากุระคลี่ยิ้มน้อยๆแล้วลูบหัวคนที่เปรียบเหมือนน้องสาวของเขาเบาๆอย่างต้องการจะปลอบ

 

                “ใช่สิ! ก็เพราะพี่ชายไม่อยู่นั่นล่ะมันถึงได้เป็นแบบนี้ยังไงเล่า! นี่แปลว่าคุณน้ายังไม่บอกใช่ไหม!” เมรุขมวดคิ้ว แอบขึ้นเสียงน้อยๆอย่างงอนๆแต่รูปประโยคทำให้วากุระตีหน้าซีเรียสแล้วเลิกคิ้ว

 

                “เมื่อคืนพี่ไม่ได้นอนบ้าน” เมรุกลอกตาอย่างปลงตกกับนิสัยเสียๆในพักหลังๆของพี่ชายคนละสายเลือด

 

                “คุณน้าคุยกับคุณแม่เมื่อวาน พวกเขาบอกว่ามันถึงเวลาที่จะจริงจังกับเรื่องของเราได้แล้ว” สีหน้าของชายหนุ่มยิ่งจริงจังเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาพลาดไปเมื่อคืน แบบนี้มันก็เอ่ยปากขอหมั้นกันกลายๆน่ะสิ

 

                “อะไรของคุณแม่เนี่ย” ซากุระกุมขมับ เหลือบตามองตัวจริงของเมรุที่ยืนอยู่ข้างๆ…โทโมนากะ มิโอะ เพื่อนร่วมห้องที่เป็นลูกสาวนักการทูตเหมือนๆกัน อยากจะเอ่ยปากขอโทษก็ไม่รู้จะทำยังไงแต่เพราะรอยยิ้มเล็กๆที่เขาได้รับกลับมาทำให้รู้ว่ามิโอะไม่ได้ติดใจอะไรกับเขา จะมีก็แต่คนกลางตัวประเด็นนั่นล่ะที่ดูจะไม่พอใจที่สุด

 

                “เพราะเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ สุดสัปดาห์นี้ในงานเลี้ยงต้อนรับท่านทูตชิมาซากิหวังว่าจะไม่เห็นพี่ชายมารอรับที่หน้าบ้านนะคะ” นั่นคงเป็นเป้าหมายหลักๆที่เธอถ่อมาหาเขาถึงห้อง ซากุระพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยคราวนี้หัวเด็ดตีนขาดยังไงจะไม่ส่งเสริมความคิดผิดๆของพ่อแม่เด็ดขาด ไม่รู้เอาตาที่ไหนมองถึงคิดว่าในบรรดาผู้หญิงรอบๆตัวเขาดูจะชอบเมรุที่สุด เพราะเขารู้ต่างหากว่าไม่ว่ายังไงในอนาคตข้างหน้าเมรุจะไม่มีทางหันมาชอบเขาเขาถึงควงเมรุออกงานบ่อยๆ

 

                “เข้าใจแล้วๆ มิโอะจังไม่ต้องห่วงนะครับเลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว” ซากุระตอบรับส่งๆให้กับเมรุก่อนจะหันไปลูบหัวเชิงปลอบเด็กสาวผมสั้นที่ดูท่าทางจะคิดหนักเรื่องนี้ขึ้นมา  มิโอะเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆแล้วพยักหน้ารับ

 

                “อ๊ะ! มิโอะทำข้าวกล่องมาเผื่อรุ่นพี่มิยาวากิด้วยถ้าไม่รังเกียจช่วยรับไปหน่อยได้มั้ยคะ” ว่าแล้วก็ยื่นข้าวกล่องในห่อสีหวานมาให้ด้วยท่าทางอายๆ

 

                “ขอบคุณนะครับ ว่าแต่ทำให้เอามาให้ผมล่ะ” ซากุระถามไปก็แอบขนลุกเกรียว ไม่ต้องเหลียวหลังไปดูก็รู้ว่าเมรุพร้อมจะขย้ำคอเขาเต็มที่ติดอยู่อย่างเดียวคือสาวผมสั้นตรงหน้านี้ล่ะ ให้ตายเถอะเด็กน้อยจะฆ่ากันทางอ้อมรึไงนะไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้เมรุจะกระโดดบีบคอเขาเมื่อไรไม่รู้

 

                “แทนคำขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่เขาใจมาโดยตลอดแล้วก็ช่วยเหลือในหลายๆเรื่อง” ซากุระยกยิ้มเอ็นดูกับเขาแล้วทั้งสองคนเหมือนน้องสาวคนสำคัญที่อยากจะดูแล อยากช่วยเหลือในทุกๆเรื่องที่ทำได้ เขาหันกลับไปยิ้มแบบที่ไม่ค่อยทำเท่าไรนักให้เมรุก่อนจะขอตัวกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับข้าวกล่องที่ทุ่นแรงเขาไปมากโข

 

                “กล่องนี้ของใครเนี่ย ทำไมนายรับมา” พอเข้ามาในห้องริมะก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วใคร่รู้ ก็แน่ล่ะเขาไม่เคยรับของจากแฟนคลับนี่นา

 

                “มิโอะทำมาให้” ซากุระตอบ

 

                “เอ๊ะ! นายจะแย่งแฟนน้องเรอะ!!”

 

                โป๊ก!! “โอ๊ย!” ริมะกุมหัวที่ถูกเพื่อนร่างบางเขกลงไปพลางร้องโอดโอยเกินพอดี ทุบมาได้แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง ดูสิเขกเสร็จก็เฉดตัวเองกลับที่นั่งไปเฉยเลยพ่อคนโลกส่วนตัวสูง

 

                “แล้วจุนกับซายามะไม่ลงไปกินข้าวหรอ” ยุยะที่นั่งกินข้าวกล่องของตัวเองอยู่เงยหน้าขึ้นมาถาม ปกติแล้วคนที่ลงไปกินข้าวก็จะมีซากุระ ซายามะ จุนแล้วก็ยูแต่วันนี้ยุมันโดดเรียนไปตั้งแต่คาบที่สาม ซากุระเองก็มีข้าวกล่องแล้วด้วยเขายังไม่เห็นวายามะจะเขยื้อนไปไหนเลยทั้งๆที่ก็ล่วงเลยเวลาพักมามากแล้ว อิหรอบนี้ข้าวด้านล่าหมดก่อนแน่ๆ

 

                “จุนมันยังปั่นรายงานไม่เสร็จเลย” ซายามะตอบกลับ สายตาเบื่อจดจ้องไปที่ชายหนุ่มด้านหลังที่ก้มหน้าก้มตาปั่นงานยิกๆ ท่าทางเขาคงไม่ได้กินข้าวแล้วล่ะ

 

                “หือ?” ยามาโมโตะ ซายามะ เลิกคิ้วให้กับกล่องข้าวสีหวานไม่ต่างกับของในมือซากุระที่ลอยอยู่ตรงหน้า พอมองตามมือขาวๆไปก็พบกับเจ้าของที่ส่งยิ้มรออยู่

 

                “ตอบแทนที่ยอมไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อน ถ้ารอจูจังไม่ไหวก็ช่วยรับไว้หน่อยนะ” ถ้าแต่เวลาอื่นเขาคงปฏิเสธไปแล้วแต่ตอนนี้เขาหิวมากจริงๆถึงได้รับของที่วาตานาเบะ มิยูกิส่งมาให้เอาง่ายๆ

 

                “ช่วยไม่ได้แหะ ขอบใจก็แล้วกัน” เขาแอบอยากถามว่าถ้าวันนี้จุนทำรายงานเสร็จแล้วไปกินข้าวกับเขา ชะตากรรมของข้าวกล่องนี้จะเป็นยังไง….คงจะแจกจ่ายไปให้กับแฟนคลับคนอื่นๆหรือไม่ก็คงลงไปอยู่ในถังขยะเหมือนทุกครั้ง “ครั้งหน้าฉันจะรับเอาไว้ก็ได้ ทิ้งของแบบนี้ได้ทุกวันชักเสียดายแล้วล่ะ”

 

                “แบบนี้ฉันก็กินข้าวคนเดียวสิเห้ย!!!” จุนโวยวายแทรกเข้ามา เขารวบกองรายงานที่เพื่งเสร็จสดๆร้อนๆเอาไว้แล้วลุกพรวดขึ้น มิยูกิคลี่ยิ้มขบขันเล็กน้อยก่อนที่จะจากไปด้วยรอยยิ้มกับคำพูดน่ารักที่สุดของซายามะตั้งแต่รู้จักกันมา หนุ่มซึนประจำห้องอาจจะตกไม่ยากอย่างที่ใครๆคิดก็ได้

 

                “นายชักช้า” ซายามะตอบกลับแบบไม่ทุกข์ร้อนแล้วลงมือแกะห่อข้าว

 

                “จำเอาไว้เลย” คาดโทษได้แค่นั้นเพราะเห็นว่าใกล้จะหมดเวลาพัก เขาคว้ากระดาษรายงานทั้งหมดแล้วพรวดพราดวิ่งออกจากห้องไป สาวเท้ายาวๆไปตามทางโถงทางเดินอย่างเร่งรีบโดยที่ไม่ทันได้ดูทาง…

 

                โครมมมม!! มัตสึอิ จุนเป็นเด็กหนุ่มตัวสูง แม้ร่างกายไม่กำยำจนน่ากลัวแต่ก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเขาคงไม่เป็นฝ่ายบาดเจ็บจากการปะทะหากไม่ใช่เพราะคนที่เขาวิ่งชนตัวสูงใหญ่กว่าเขาค่อนข้างพอสมควร

 

                “อะ โอ๊ยยยย” เขาโอดครวญเบาๆแล้วพยุงตัวเองขึ้นมา กองรายงานกระจัดกระจายให้ต้องลุกลี้ลุกรนวิ่งเก็บไม่มีเวลามาสนใจคู่กรณีที่เห็นเพียงแวบเดียวก็พบป้ายบอกชั้นปีสาม

 

                “นายน่ะ เป็นอะไรรึเปล่า” เพราะน้ำเสียงคุ้นเคยทำให้เขาเงยหน้ามอง

 

                “ยูกิซัง!” จุนอุทานชื่อของชายตัวสูงอย่างตกใจ เขาวิ่งชนยูกิซัง!!!

 

                “นายจะรีบไปไหน ไม่เป็นอะไรนะ” คาชิวากิ ยูกิเลิกคิ้วถามสายตามองสำรวจรุ่นน้องอย่างห่วงๆ

 

                “ครับไม่เป็นอะไร” จุนตอบกลับเหลือบซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงใครบางคนที่มักจะอยู่ตัวติดกับคาชิวากิ ยูกิเสมอ เขาไม่อยากเจอหรอกแต่ไม่อยู่เป็นแพ็คคู่กันแบบนี้มันแปลก

 

                “เรนไม่อยู่หรอก”

 

                “ครับ?” ยูกิคลี่ยิ้มเล็กน้อยที่รุ่นน้องทำหน้าเหรอหราใส่

 

                “นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าจะรีบไปไหน ถึงจะเป็นมัตสึอิ จุนก็เถอะระวังๆหน่อย” ยูกิตักเตือนพอเป็นพิธีแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามัตสึอิ จุนไม่มีใครกล้าหาเรื่องหรอกนอกจากมัตสึอิอีกคนน่ะนะ

 

                “ผมรีบไปส่งรายงานครับ ยังไม่ได้กินข้าวเลย”  จุนตอบกลับพรางลูบท้ายทอยแก้เขิน ว่าแล้วท้องก็หิวขึ้นมาอีก ยูกิเห็นแบบนั้นก็ยกยิ้มก่อนจะส่งข้าวกล่องปริศนาในมือให้ “ครับ?”

 

                “ถ้ายังไม่ได้กินก็เอากล่องนี้ไปเถอะ” จุนรับกล่องข้าวมางงๆดูจากผ้าที่ห่อไม่ใช่ของจากแฟนคลับอะไรแบบนั้นหรอกมั้ง ยูกิซังเองก็ไม่รับของจากแฟนคลับนี่นา

 

                “แล้วยูกิซังล่ะครับ” จุนถามกลับเมื่อยุกิทำท่าจะเดินจากไป

 

                “ฉันกินแล้วล่ะ กล่องนั้นน่ะของเรน…แต่ หมอนั่นคงไม่ได้กินแล้วล่ะ” ชื่อของบุคคลที่สามทำให้จุนยิ่งงงหนัก ของเรนแล้วทำไมถึงมาอยู่กับยูกิซัง แถมคงไม่ได้กินแล้วด้วย “หมอนั่นมันโดนพวกโรงเรียนอื่นดักชกหน้าโรงเรียนน่ะ ไม่ได้ตั้งตัวมั้งเลยสะบักสะบอมกลับมานอนอยู่ห้องพยาบาลโน้นไม่มีแรงลุกมากินหรอก”

 

                “โรงเรียนไหนหรอครับ”

 

                “หื้ม?”

 

                “ครับ?” เพราะยูกิเลิกคิ้วถามเขาถึงต้องขานเสียงสูงถามกลับ สงสัยอะไรแค่อยากรู้

 

                “เปล่า ไม่คิดว่านายจะสนใจน่ะ” ยูกิยิ้มตอบกวนๆ

 

                “ไม่ครับ ไม่สนใจ แค่อยากรู้” จุนสวนทันควัน

 

                “งั้นก็ไปถามหมอนั่นเองเถอะ ไปดูที่ห้องพยาบาลมาเมื่อกี้ไม่ได้หลับหรอกจริงๆแค่หัวแตกกับมีแผลตามตัวนิดหน่อยคงเพราะทางนั้นพกมีดด้วย ก็เลยไม่มีอารมณ์กินข้าว” ว่าจบแค่นั้นแล้วเดินหายไปอย่างรวดเร็ว

 

                “เดี๋ยวก่อนสิครับยูกิซัง!?! โธ่!” จุนขมวดคิ้ว มองข้าวกล่องในมืออย่างชั่งใจว่าจะไปดีไหม…จริงๆเขาไม่อยากเจอหมอนั่นนักหรอก แต่ว่าใครกันนะที่บังอาจมากระตุกหนวดเสือขนาดนี้ มัตสึอิ เรนเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในโรงเรียนไม่รู้รึไงนะ แล้วก็หมอนั่นมีศัตรูเยอะขนาดไหนกันมันถึงมีเรื่องได้ทุกวัน บ้านก็ออกจากรวยมีฐานะทำตัวอย่างกับนักเลงข้างถนน ชอบใช้กำลังกดขี่คนอื่นแถมยังกวนประสาทสิ้นดี บอกทีเถอะว่าพ่อหมอนั่นเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพอากาศที่ใครๆต่างก็เคารพ

 

                                คิดไปคิดมาขาก็พาเดินมาถึงหน้าห้องพยาบาลซะแล้ว มัตสึอิ จุนเงยหน้ามองป้ายที่ติดอยู่บนประตูอย่างตกใจเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้ว มือข้างหนึ่งจับที่ลูกบิดทั้งชื้นเหงื่อแม้จะขยับสักปลายนิ้วยังไม่กล้า เข้า หรือไม่เข้า

 

                ครืดดดดด! ยังไม่ทันตัดสินใจหาคำตอบให้ตัวเองดีคนในห้องก็เปิดประตูสวนออกมา จุนเบิกตากว้างมองคนตรงหน้าแอบดีใจนิดนึงที่ไม่ใช่มัตสึอิ เรนแต่อีกใจก็ไม่รู้ทำไมหน้าถึงซีดลงเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือใคร…ฟุรุคาว่า ไอริ คนที่ใครๆก็รู้กันทั่วว่าคบกับเรนมันอยู่

 

                “เพื่อนเรนหรอ” เฮ้ย!! จุนอ้าปากค้างเมื่อไอริอาศัยวินาทีที่เขาช็อคอยู่เหลียวกลับไปถามแฟนหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง เรนชะโงกหน้าอออกมาดูก่อนจะคลี่ยิ้มร้ายๆแล้วพยักหน้ารับ “งั้นฉันไปนะ”

 

                “ขอบคุณนะไอริณ” จุนแอบเบะปากในเมื่ออยู่ๆคำพูดหมอนั่นมันก็ดูดีขึ้นมาเฉยๆ ไอ้คนกวนประสาทมัตสึอิ!

 

                “เลิกยิ้มแบบนั้นสักทีเหอะน่า” จุนว่าก่อนจะปิดประตุห้องลงเมื่อคล้อยหลังไอริแล้ว

 

                “ไม่นึกแหะว่านายจะหา ไม่แผลอะไรหรอ บังเอิญรึว่ายูกิมันบอก” เรนถามก่อนจะเอนหลังลงไปกับเตียงพยาบาล ตามตัวมีผ้าพันแผลชุ่มเลือดกับแผลแตกบนศีรษะ โดนๆมาก็ไม่ใช่น้อยพอได้เห็นสภาพหนุ่มรุ่นพี่ชัดๆก็พลันต้องกัดฟันกรอด ไม่ร้ว่าโกรธที่หมอนั่นมันโดนดักทำร้ายอย่างขี้ขลาดรึเพราะมีคนมาหยามชื่อเสียงโรงเรียนกันแน่ หรือไม่ก็คงทั้งสองอย่าง “อ๊ะ! นั่นข้าวกล่องฉันนี่”

 

                “ตอนนี้มันเป็นของฉัน” จุนตอบกลับแล้วนั่งลงข้างๆเตียง มือแกะห่อข้าวออกมาเงียบๆ

 

                “เห แต่ฉันเป็นคนทำมันนะ” เรนขมวดคิ้วแบบไม่จริงจังนัก

 

                “ว่าแล้วเชียวรสชาติโครตห่วย” จุนยักไหล่หลังจากส่งมันเข้าปากไปคำนึงแล้ว ถึงปากจะว่าแบบนั้นก็ยังมีคำต่อๆไปอยู่ดี

 

                “ห่วยนักก็เอาคืนมาสิ” เรนเอื้อมมือไปคว้าของของตัวเองกลับมาแต่จุนที่ไวกว่าขยับหลบทัน

 

                “ได้ไง ยูกิซังให้ฉันแล้วมันก็เป็นของฉันสิ” จุนตอบกลับ

 

                “แต่จริงๆมันเป็นของฉันและฉันก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ชะ อั๊ก!” พูดไม่ทันจบก็โดนจุนตัดรำคาญยัดปลาหมึกคำโตๆเข้ามาจนแทบขยับไม่ได้ มือเรียวยกขึ้นอุดปากไม่ให้ของข้างในทะลักออกมาอย่างทุลักทุเลให้จุนต้องยกยิ้มกับท่าทางตลกๆนั่นอย่างอารมณ์ดี

 

                “พวกไหนมันทำนาย” จุนถามขึ้น

 

                “อะไอ” เรนถามกลับทั้งยังมีปลาหมึกเต็มปาก

 

                “โรงเรียนไหนมันทำนาย” จุนถามย้ำด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

 

                “วันนี้มาแปลกแหะ จะไปเอาคืนให้รึไง” จริงๆก็แปลกตั้งแต่หมอนี่มาหาถึงห้องพยาบาลแล้วล่ะ แถมยังเงียบๆดูจะหงุดหงิดกว่าปกติด้วยสิ

 

                “บอกมาเหอะน่า ฉันแพ้นายแค่คนเดียวแต่จะไม่ยอมให้นายไปแพ้ใครหรอกมารุมตอนที่ไม่ตั้งตัวแบบนั้นมันขี้ขลาดชัดๆ” จุนตอบ เรนคลี่ยิ้มกับนิสัยรักศักดิ์ศรีเกินตัวของรุ่นน้อง นั่นอาจจะเป็นลักษณะที่เขาสนใจในตัวจุนที่สุดก็ได้

 

                “ทัตสึยะ โรงเรียนเอกชนโตเกียว” จุนพยักหน้าไปพรางเคี้ยวข้าวไปพราง มันเป็นภาพที่น่ารักมากทีเดียวสำหรับเรนที่มองอยู่ “แต่ว่านะไม่ยักกะรู้ว่าเป็นห่วงกะขะ อั๊ก!”

 

                “ใครเป็นห่วงนาย!!!” ยักข้าวคำโตกว่าปลาหมึกเข้าปากรุ่นพี่เสร็จก็กระแทกกล่องนั้นลงบนโต๊ะข้างๆแล้วลุกออกไปทันที ท่าทางหงุดหงิดไม่สนใจคนที่หน้าแดงอยู่กับปากที่หุบไม่ลงสักนิด

 

                “ทัตสึยะ….สินะ”

.

.

.

                                คล้อยบ่ายหมดเวลาพักเข้าไปเวลา ณ ห้อง 2-B ที่กลับมาเข้าสู่ช่วงเวลาน่าเบื่ออีกครั้งอาจารย์โอชิมะ ยูโตะหอบเอกสารเดินเข้ามาในห้องอย่างอารมณ์ดีในขณะที่นักเรียนต่างพากันแยะย้ายกลับโต๊ะ

 

                “หื้ม? แล้วจุนละ” ยูโตะเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าเจ้าหนุ่มเมื่อเช้ามันหายไป

 

                “มีธุระนิดหน่อยน่ะครับ กลับไปแล้ว” ซากุระที่นั่งอยู่ตะโกนตอบเหลือบมองที่นั่งว่างข้างตัวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจที่เพื่อนสนิทมันโดดเรียนไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง….แต่ จะว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ไม่ใช่ซะทีเดียวละมั้ง

 

                “ไปคนเดียวแบบนี้จะไหวมั้ยนะ” ริมะกระซิบถามซากุระที่นั่งข้างหน้า

 

                “นั่นสิ” ซากุระกระซิบตอบ

 

                “ตามไปดีไหมอ่ะ” คนตัวเล็กถามกลับ

 

                “นั่นมันเรื่องของจุน บอกว่าจะไปคนเดียวก็คงไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่งล่ะไว้ตามไปดูตอนเลิกเรียนเอาแล้วกัน” ยูยะหันไปห้าม

 

                “โธ่! แบบนั้นมันอีกตั้งหลายชั่วโมง” เขาห่วงจุนจริงๆนะ

 

                “คาวาเอย์!!!!” ริมะได้แต่กรอกตาที่อาจารย์ประจำคาบดันเป็นยูโตะซัง สนิทกันก็จริงแต่ดุชะมัดแบบนี้จะไปตามจุนได้ยังไงเล่า!!!

.

.

.

                “คนเดียวก็พอ” จุนพึมพำราวกับรับรู้ได้ว่าเพื่อนสนิททั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องเรียนคงกำลังร้อนใจที่เขาบอกว่าจะมาบวกกับพวกโรงเรียนโตเกียวคนเดียว ดวงตาคมกวาดมองรอบตัวที่อยู่กลางวงของกลุ่มคนที่เขามาหา “พวกนายคนไหนคือทัตสึยะ”

 

                “ใส่ชุดนักเรียนของซากุระอิซาโอะมาหยามกันถึงที่แบบนี้ มีธุระอะไรกับฉัน” คนที่ดูจะเป็นหัวหน้าและเจ้าของชื่อเอ่ยถามขึ้นมา ใบหน้าคมกระตุกยิ้มอย่างดูถูกให้ชายหนุ่มร่างบางผู้มาคนเดียว

 

                “ธุระน่ะฉันมีแน่นอน แกน่ะรู้จักสัตสึอิเรนสินะ”

 

                “เรน? อ๋อ! หมอนั่นที่บอกกันว่าเก่งที่สุดในโรงเรียนน่ะหรอ แกเป็นลูกน้องมันรึงะ…” พลั่ก!!!!! ยังพูดไม่ทันจบดีหมัดหนักๆของเด็กหนุ่มก็พุ่งเข้าอัดกับท้องของชายหน้าคมอย่างแรงและเร็วจนมองไม่ทัน พอหัวหน้าโดนทำร้ายคนอื่นๆก็พากันกรูเข้าใส่ร่างบางๆของคนตรงกลางจนชุนละมุน

 

                พลั่ก!!! ตุบ!! จุนคว้าเอาคือเสื้อของชายคนหนึ่งเหวี่ยงออกไปให้พ้นทางทั้งที่ตัวก็บาดเจ็บพอสมควร เขาล้มลงไปได้หลายคนแล้วแน่นอนว่าเกินครึ่งจากที่มีอยู่เป็นสิบคนตอนนี้มีที่ยืนโซซัดโซเซอยู่สี่และหัวหน้าที่ชื่อทัตสึยะคนนั้นก็ยังไม่ร่วงลงไป

 

                “แกเป็นใคร ต้องการอะไร!!” ชายข้างๆทัตสึยะตะโกนถาม มัตสึอิจุนกระตุกยิ้มแล้วปล่อยหมัดใส่คนคนนั้นเพียงหมัดเดียวก็น็อคลงไปกองกับพื้น สะบัดมืออีกครั้งก็เก็บคนด้านซ้ายที่ฉวยโอกาสตอนเขา(เกือบ)เผลอลงไปได้อีกคน

 

                “กำลังคำถามนี้อยู่เลย!” พลั่ก!!! สิ้นคำก็หมุนตัวเตะเข้าไปที่ก้านคอของด้านที่พุ่งเข้ามาด้านหลังอีกคน เขาหมดแรงแล้วแค่ยืนยังโงนเงนแต่ก็ไม่คิดจะล้มลงไปหรอก…ไม่อยากแพ้ใครอีกนอกจากหมอนั่น

 

                “แก!!!!” ทัตสึยะเหลืออดแล้วที่เพื่อนต้องร่วงลงไปทีละคนต่อหน้าต่อหน้า เลือดขึ้นหน้าจนพุ่งเข้าหาจุนอย่าวไร้สติและโกระแค้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับหนึ่งร่างบางที่จะปล่อยหมัดฮุกเข้าไปที่ท้องของชายตรงหน้า เตะสกัดขาอีกทีแล้วสับลงที่ต้นคอจนล้มลงแต่ก็ยังมีสติ….จุนคุกเข่าลง คว้าเอากลุ่มผมหนาๆของชายหนุ่งผู้สิ้นแรงขึ้นมาให้จ้องหน้าของชัดๆแล้วกระตุกยิ้มเย็นๆ

 

                “ฉัน…คือ มัตสึอิ จุน”

 

=============================================================

 

ลงมาแล้วจนได้สำหรับตอนแรกของเรื่องนี้ สตาร์ทกันด้วยผู้หยิงปริศนากับซากุระ

 

และคู่เบิ้บอิกันเลยแล้วกันนะครับ แล้วคุ่อื่นจะตามมาในตอนต่อๆไป ฝากด้วยนะครับ

เอ๋ อิพี่เรนมีแฟนแล้ว แต่สนใจจุน นิสัยไม่ดีเลยนะ

น้องมันเริ่มหวั่นไหว ชอบ(แต่ไม่รู้ตัว)เข้าให้แล้วนะ

แบบนี้จุนเสียใจแย่เลย ป่ะ ไปหาเรนะจังกันดีกว่า(มาจากไหนฟะ)

 

อยากรู้เหมือนกันนะ ใครคือผู้หญิงปริศนาคนนั้น

ซอลล์ซังรึเปล่า หรือพารุ(ก็คนเดียวกันป่ะ)